ดาดฟ้า – อิสระ พันธุ์ยาง

 

บันทึกถึงเธอผู้ดำรงอยู่ในความทรงจำแตกสลาย 27/11/2562

คุณยินยอมสละลมหายใจเพื่อให้ใครที่รักมีชีวิตนิรันดร์แม้เธอจะอยู่แสนไกลกับใครอีกคน ความจริงคือเธอไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งกับคุณ ทั้งที่คุณเปิดเปลือยหมดลมหายใจและจิตวิญญาณเพื่อเธอ คงไม่เพียงพอที่กาลเวลาจะเข้ามาพิสูจน์คำรัก คุณสถาปนาความฝันบนความจริงให้เธอรับรู้ บอกกล่าวสม่ำเสมอว่าเธอคือแรงผลักดันสำคัญในการมีชีวิตอยู่  แต่ผลสุดท้ายไม่เป็นเช่นนั้น ค่ำคืนผ่านพ้นยาวนานแสนเหน็บหนาว คุณปวดร้าวกับการคิดถึงเธอ ทุกสิ่งอย่างที่เป็นเธอในความทรงจำของคุณยังเด่นชัดในคืนค่ำที่คุณเดียวดาย เธอมองไปข้างหน้าด้วยสายตาของผู้กล้าพร้อมใครเคียงข้าง ส่วนคุณยังอาลัยรักเมื่อครั้งเก่า เข็มนาฬิกาในตัวคุณไม่ยอมเดินไปข้างหน้า คุณพยายามทำชีวิตให้ดีให้เหมาะให้ควร เพื่อว่าสักวันเธอจะหันมองแล้วเลือกคุณเป็นคู่ชีวิต ความหวังนั้นลางเลือนแต่พอมีหวัง คุณกำลังหลอกตัวเองใช่หรือไม่ คุณกรอกหูตัวเองเสมอว่าเธอยังรักคุณอยู่ เปิดข้อความนั้นอ่านซ้ำไปซ้ำมา บางครั้งคุณอยากตายด้วยมือตนเองดีกว่ารอให้ใครย่ำเหยียบประณามว่าคุณมักมากไม่รู้จักพอ ความรักคุณผิดบาปในสายตาผู้อื่น เราต่างมีเจ้าของในนามของความถูกต้องจอมปลอม เราหมดสิทธิ์เลือกความวิเศษสุดในชีวิตให้กับตนเอง ก้มหน้าตรากตรำทำสิ่งถูกต้องไปจนวันตาย ลึก ๆ แล้วเราอาจโหยหาซึ่งกันและกันตลอดเวลา เผลอย้อนคิดถึงวันวานที่มีเพียงเราในห้องหับเรียบง่ายแห่งนั้น เสียงหัวเราะยังกังวานในความเศร้าของปัจจุบัน ท่าทางอ่อนหวานทว่ายียวนของเธอยังโลดแล่นในความทรงจำ คุณอยากบอกเธอว่าคุณรักเธอมากแค่ไหน แต่คุณต้องเก็บกดไว้ในพื้นที่ส่วนลึกที่มีเธอเป็นแค่จินตนาการ คุณบอกรักเธอต่อหน้าสิ่งของเครื่องใช้ที่คุณขอเธอเป็นที่ระลึกก่อนจากกัน คุณกำลังพาตัวเองไปสู่ความหมายใหม่ โดยไม่ลืมจะพกพาเธอไปด้วย ทุกที่ที่คุณอยู่ มีเธอเคียงข้างเสมอ แม้ว่าในจินตนาการก็ตาม

 

เขาบรรจงปิดสมุดบันทึกเล่มเก่า ภายในห้องคับแคบกลิ่นอับชื้นของเสื้อผ้าคละเคล้าควันบุหรี่และสุราก้นขวด นาฬิกาเรือนนั้นตายมานานร่วมเดือน แต่เขายังเหม่อมองทุกครั้งเมื่อคิดถึงเธอ บนเตียงย่นยับว่างเปล่า มีกลิ่นน้ำรักจากมือเขาติดอยู่ทุกมุม เครื่องปรับอากาศครางเสียงสั่นพร่าก่อนเงียบหายไป แก้วน้ำใบนั้นยังคงวางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือ มีเม็ดยากระจัดกระจายอยู่โดยรอบ ร่วมห้าปีมาแล้วที่เขานอนหลับไม่เต็มตื่น บางคืนสะดุ้งจากฝันร้าย กว่าจะหลับลงอีกทีก็จวนสว่าง บันทึกความรู้สึกของเขานับร้อยหน้าไม่ช่วยให้เช้าวันใหม่สดชื่นรื่นรมย์ขึ้นมาเลย ทุกอย่างยังเงียบงันในห้วงคำนึงของผู้แพ้อยู่เสมอ

 

บนชั้นสาม ลมเย็นโชยเข้ามาหลังเปิดหน้าต่างยืนมองแสงไฟระยับพราวของตึกสูงยามค่ำคืน เขาพัดพาตนเองกลับสู่เมืองที่เคยหันหลังให้ ความพยายามครั้งนั้นเป็นศูนย์ ซ้ำยังทิ้งปัญหามากมายรอให้สะสาง

 

ฟากฟ้าทะมึนหม่นมืดพาหัวใจห่อเหี่ยวร่ำร้องถึงรักเก่า เขาเดินไปที่ประตูห้องเช่าราคาถูก เปิดมันออกอย่างช้าเชือน ดับไฟทุกดวงในห้องก่อนมุ่งหน้าขึ้นสู่ดาดฟ้า

 

เขาเลือกใช้บันไดหนีไฟเนื่องด้วยลิฟท์ตัวนั้นดันเสียมาร่วมสัปดาห์ ผ่านพ้นชั้นสี่ ภาพเก่าหวนผุดขึ้น ครั้งเมื่อเขายังมีชื่อเสียงในฐานะนักดนตรีใต้ดิน นานมากแล้วที่กีต้าร์ตัวนั้นถูกจำนำเพราะเงินในกระเป๋าไม่เพียงพอรับผิดชอบลูกสาวทั้งสอง ระหว่างก้าวขึ้นชั้นห้า เขาเห็นภาพตนเองกำลังประคองมือเด็กนักเรียนให้จับคอร์ดกีต้าร์  ก้าวสู่ชั้นหก ภาพงานวิวาห์ของเขาลอยเด่นชัดจนสัมผัสได้ถึงเสียงขบวนขันหมากกลางท้องทุ่ง ระหว่างที่เขาหยุดพัก ใบหน้าลูกสาวทั้งสองปรากฏในแววตาพร่าเลือน น้ำตาเขาเริ่มรินไหล มีความคิดหนึ่งบอกให้เขากลับลงไป แต่เขากัดฟันพาตัวเองมาถึงชั้นเจ็ด เหงื่อเริ่มชุ่มโชก เขาเห็นภาพตนเองกำลังขะมักเขม้นถากไถพื้นที่รกร้างจนกลายเป็นแปลงเกษตร ยังจำกลิ่นผืนดินได้ดี เสียงไก่ขัน ปลาสะบัดว่ายในบ่อ ดอกฟักทองชูช่อ หมู่แมลงร่วมผสมเกสร เสียงชาวบ้านชื่นชมในความอดทน เขายิ้มทั้งน้ำตาเมื่อรู้ว่าที่ดินแปลงนั้นต้องตกเป็นของผู้อื่นเนื่องจากลูกสาวคนเล็กเกิดป่วยเป็นโรคร้าย งานประจำเขาก็ไม่มี สุดท้ายต้องทิ้งฝันเกษตรกร แบกหน้ากลับเข้าเมืองพร้อมคำประณามดังตามติดหลัง เดินขึ้นชั้นแปด เสียงกระซิบคำรักของหญิงสาวที่เขามอบหัวใจให้ดังแว่วมาจนต้องทรุดตัวลงนั่ง แม้เป็นรักที่ผิดบาปในสายตาคนอื่น แต่เขาไม่เคยรักใครได้มากเท่านี้ ฉากสุดท้ายก่อนร่ำลายังเด่นชัดแม้ผ่านมาร่วมห้าปี เธอเดินไปตามทาง มีครอบครัวเคียงข้าง เขาไม่อาจทำใจยอมรับได้ว่าชีวิตนี้จะไม่มีเธอ ล่วงเลยถึงชั้นเก้าเขาไม่อยากเดินต่อ ทรุดลงตรงราวบันได กอดเข่าฟังเสียงลมหายใจตนเอง

 

ถึงดาดฟ้า เขาผลักบานประตูเกรอะกรังสนิมออก ลานโล่งสลัวเบื้องหน้าปะทะสายตาพาใจสั่นไหว แสงไฟจากยอดเสาเอนเอียงส่องซีดเซียวเดียวดายลงพื้นเกิดเงารูปร่างประหลาด เสียงลมหวีดหวิวเย็นเยือกกัดกินผิวกาย รถราอื้ออึงด้านล่างพาห้วงคิดของเขาวกวนในความระทม แผ่นฟ้าไร้ร้างดาวที่เคยนำทาง มีเพียงหมู่เมฆหม่นคล้ำก่อตัวรวมกันราวใบหน้าอสูรกายที่พร้อมจะดูดกลืนวิญญาณอ่อนแอ เขาหยุดยืนอ่อนล้า เงยหน้ามองฟ้าราวจะควานหาซากผุพังแห่งความหวัง จะเหลือฝันใดอีกเล่าให้ชีวิตไร้ค่านี้ได้ยึดถือ งานในเมืองบีบรัดจิตวิญญาณอิสระไว้ในกรงขังที่มีผู้ป้อนอาหารเป็นเงินตราและตำแหน่ง เขาไม่ใช่คนเสแสร้งแกล้งทำมาแต่ไหนแต่ไร แต่เพื่อเงินจำเป็นต้องหลอกตนเองไปพร้อม ๆ กับหลอกผู้อื่น ยอดขายประกันของเขาตกลงต่ำเตี้ยเรี่ยดิน มันไม่เคยอยู่ในความคิดแต่แรกเริ่ม เพียงแต่ตอนนั้นมันหมดทางเลือก ความรู้ความสามารถทางศิลปะมลายสูญไปพร้อมรักครั้งนั้นเสียเนิ่นนาน เมื่อไม่มีรักเขาจึงหมดสิ้นแรงบันดาลใจใด ๆ ในการสร้างสรรค์

 

เขาหยิบมือถือขึ้นพิมพ์ข้อความบอกลาทุกคนที่ปรารถนาดีต่อเขา สูดลมหายใจเอาอากาศของเมืองใหญ่เข้าไป ก่อนคายออกมาเป็นกลิ่นเน่าเหม็นของความเจริญ สองเท้าก้าวขึ้นไปยังรั้วกั้นริมดาดฟ้า เอื้อมมือเกาะพยุงร่างตนเองขึ้นนั่งบนขอบรั้ว เหลือบมองลงเบื้องล่างพาลพาหัวใจระทึกสั่นแต่แล้วกลับสงบราวกำลังภาวนา ชีวิตด้านล่างยังยื้อแย่งแข่งขัน ใครมือยาวสาวได้สาวเอา ตักตวงผลประโยชน์ใส่ตนและพวกพ้อง แสงไฟระยิบระยับเต้นร่าไปกับจังหวะขับขานของเมืองยามราตรี พร้อมแล้ว เช็ดน้ำตาที่รินไหล ภาพฝันถึงเธอยังเด่นชัด เขาค่อย ๆ หลับตาลง ขยับร่างตนเอง ตั้งท่าคล้ายนกกำลังจะเหินบินสู่เวหา เขาจะไปในที่ ๆ ความทรงจำถึงเธอเป็นจริง เขาบอกรักเธอเป็นครั้งสุดท้ายในความเงียบของสายลม ลาก่อนที่รัก…

 

พลันสะดุ้งเฮือกสุดตัว ยั้งมือไว้บนขอบรั้ว เกร็งทั้งร่างสั่นสะท้านลนลาน เสียงครวญครางของหญิงสาวล่องลอยมาจากมุมใดมุมหนึ่งบนดาดฟ้า เขาหันหน้าไปมา พินิจเสียงนั้นอย่างจริงจัง ไม่อยากเชื่อผัสสะตัวเอง เสียงครวญครางนั้นกระตุ้นความอยากรู้อยากเห็นจนหลงลืมวินาทีสุดท้ายของชีวิต มันเป็นซุ่มเสียงลึกลับชวนค้นหา ท่วงทำนองที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อน มีทั้งความสุขล้นระคนความอึดอัดทรมาน แล้วเขาก็ตัดสินใจลงจากขอบรั้วกั้นดาดฟ้า พาร่างตนเองเดินตามเสียงครวญครางนั้นไป

 

แล้วต้องตกตะลึงกับภาพเบื้องหน้า ร่างทั้งร่างเขาสั่นเกร็ง หายใจไม่ทั่วท้อง ดวงตาเบิกโพลงราวพบเข้ากับสิ่งประหลาด หญิงสาวร่างผอมนอนพิงผนังตรงมุมสลัวข้างประตูทางเข้าดาดฟ้า เธอเปลื้องกางเกงขายาวสีดำกองไว้ที่เข่า เสื้อพนักงานร้านสะดวกซื้อถูกปลดกระดุมออก เผยเสื้อยืดสีดำด้านในที่ถูกถลกขึ้นจนเห็นเนินอกอวบอัดภายใต้การรัดรึงของชุดชั้นใน เธอหลับตาเกร็งใบหน้าบิดเบี้ยว ครางเสียงกระเส่าเนิบช้าตามแรงรุกเร้าช่วงล่างจากนิ้วมือของตนเอง เขายืนมองร่างนั้นเคลื่อนไหวในแสงสลัว ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็น คล้ายโลกทั้งใบหยุดหมุน มีเพียงเขาและเธอบนดาดฟ้าของตึกแห่งนี้ และเธอยังทำต่อไปราวกับว่าชีวิตที่เหลือกำลังบรรลุความฝันของตน เธอสอดมือข้างหนึ่งเข้ากางเกงในสั่นระริกนวดคลึง สองขาเกร็งเบียดไปมา มือข้างหนึ่งบีบบดบริเวณเนินอก นี่มันอะไรกัน เขาคิด หรือว่าตนเองได้ตายไปแล้ว หรือว่าตนเองได้ผกโผไปสู่ดินแดนใหม่ที่ซุกซ่อนอยู่ในจิตสำนึก

 

เธอร้องลั่นเสียงหลง เมื่อลืมตาขึ้นพบเขายืนจ้องมองอยู่อย่างนั้น เขาสะดุ้งตกใจทำอะไรไม่ถูก เธอรีบเร่งสวมใส่เสื้อผ้า สีหน้าอับอายราวกับทำบาปต่อหน้าองค์พระ เขายังยืนจ้องมองอยู่อย่างนั้น ไม่แน่ใจในสิ่งที่เห็นสักเท่าไหร่ เธอเป็นใครคล้ายว่าเคยเห็นหน้า และยิ่งสร้างความแปลกใจให้เขายิ่งขึ้นไปอีก ในขณะที่เธอดึงเสื้อยืดสีดำด้านในลงเพื่อติดกระดุมเสื้อนอก เขาแวบเห็นลวดลายบนเสื้อยืดตัวนั้นชัดเจน ความทรงจำรุกเร้าเฆี่ยนตีเขาแทบร้องคราง ลายเสื้อตัวนั้น ลายนั้น กระชากภาพวันวานกลับมาตรงหน้า

 

เธอกำลังลุกขึ้น เขาขยับเข้าใกล้เธอ มือข้างหนึ่งรั้งแขนเธอไว้ คำถามมากมายผุดขึ้นจนยากจะเรียบเรียง เธอตกใจ พยายามสะบัดมือเขาออก ใบหน้าฉายแววหวาดกลัว ทั้งคู่ยื้อยุดฉุดกันอย่างเงียบเชียบ มันเป็นความเงียบที่สื่อสารบางอย่างออกไปชัดเจน ในที่สุดเธอก็สะบัดแขนจนหลุด หรือว่าเขางวยงงจนเผลอปล่อยเธอไปก็ไม่ทราบ เธอออกวิ่งตรงไปยังประตูบานนั้นทันที เขาหันตามอย่างอาลัยอาวรณ์ แต่จู่ ๆ เสียงสัญญาณเตือนภัยก็แผดคำรามขึ้น โหยหวนลากยาว สะกดทั้งสองให้นิ่งงันอยู่เช่นนั้นราวนาที เมื่อรวบรวมสติขึ้นได้ นั่นเป็นสัญญาณเตือนว่าเกิดเหตุไฟไหม้ และเหมือนดั่งเวลาไม่เคยรีรอใคร เธอลนลานตรงไปที่ประตู พรวดพราดเปิดมันออก แล้ววิ่งหายลงไปอย่างรวดเร็ว เขายังยืนสับสนกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เสียงสัญญาณเตือนภัยดังขึ้นอีกระลอก มีเสียงเอะอะโวยวายดังขึ้นมาจากด้านล่าง เสียงไซเรนอื้ออึงทั่วอาณาบริเวณ เขาพยายามเรียกสติตนเองกลับมา ได้กลิ่นเหม็นไหม้ลอยอบอวลขึ้นมาตามอากาศ สองเท้าก้าวไม่ออก ไร้เรี่ยวแรงตัดสินใจ

 

เสียงวิ่งกระหืดกระหอบดังใกล้เข้ามาจนเจียนชนร่างของเขาอยู่แล้ว เขาสะดุ้งอีกครั้งเมื่อเห็นเธอคนนั้นปรากฏอยู่เบื้องหน้า

 

“พี่!!! ไฟไหม้!!!”

 

เขาไม่ตอบอะไร ยังสับสนว่าเธอกลับขึ้นมาทำไม

 

“ไหม้ที่ชั้นเจ็ด หนูลงไปไม่ได้ มันลามขึ้นมาข้างบนแล้ว เร็วพี่” เสียงสั่นพร่าของเธอฉุดภวังค์สับสนของเขา คราวนี้ทุกอย่างยิ่งโกลาหล เสียงไซเรนกึกก้องใกล้เข้ามา ควันไฟพวยพุ่งขึ้นเชื่องช้า แรงกระแทกจากฝ่ามือของเธอฉุดเขากลับมาปัจจุบันอีกครั้ง ซึ่งนี่เป็นการกลับมาปัจจุบันจริง ๆ เป็นการกลับมาอย่างตื่นตัวและหวาดกลัว

 

ทั้งสองสบตากันเนิ่นนานพอที่จะต้องงัดคำพูดอะไรบางอย่างออกมา แต่ไม่มีใครกล้าจะถามไถ่อะไรใครก่อนทั้งนั้น มันเป็นความบังเอิญชนิดที่องค์เทพก็ไม่อาจคาดคิด เขาพยายามจดจ่ออย่างรู้ตัวกับสถานการณ์คับขันตรงหน้า เธอดูลนลานอย่างไรชอบกล แน่ล่ะ ความตายกำลังย่างกรายมาเยือน อีกฝ่ายพร้อมเปิดอกอ้ารับโดยดี อีกฝ่ายยังอยากมีชีวิตอยู่ต่อเพื่ออะไรสักอย่าง แล้วในที่สุดความอึดอัดก็ถูกทำลายลง

 

“ทำอะไรสักอย่างดิวะพี่” เธอเขย่าแขนคล้ายหวังพึ่งเขา

 

“ตายเหรอ กลัวอะไร” เขาพูดออกมาอย่างเย็นชา จ้องมองแววตาเธออย่างเลื่อนลอย

 

“ไอ้เหี้ยเอ้ย! กูไม่อยากตาย” เสียงเธอแผดขึ้นจนเส้นเอ็นลำคอปูดโปน สีหน้าโกรธเกรี้ยว

 

“ใครแม่งให้ขึ้นมาบนนี้ล่ะ” เขาตวาดสุดเสียง มองเหม่อไปรอบ ๆ รู้สึกรำคาญอย่างบอกไม่ถูก

 

“แล้วพี่ล่ะขึ้นมาทำไม” เธอสวนกลับ แต่น้ำเสียงฟังอ่อนลง จ้องมองอีกฝ่ายคล้ายคาดคั้นคำตอบ

 

 

ด้านล่างนั้น รถดับเพลิงและรถตำรวจรวมทั้งรถกู้ภัยจอดกันเนืองแน่น ควันไฟดำทะมึนลอยคลุ้งอยู่ในอากาศ ทั้งคู่เริ่มแสบตา พร้อมกับหายใจเข้าออกลำบาก เขาหย่อนตัวลงนั่ง ก้มหน้าเงียบนิ่ง เธอเดินไปมาทั่วดาดฟ้า พยายามตะโกนขอความช่วยเหลือ ไม่นานเรี่ยวแรงที่จะเอาชนะความตายตรงหน้าของเธอก็หมดลง เธอเซซวนทิ้งกายลงนั่งไม่ห่างจากเขา ก้มหน้าก้มตาร้องไห้เยี่ยงเด็กทารก เขาเงยมองด้วยความสมเพช เหตุใดมนุษย์ถึงกลัวตายขนาดนี้ และเมื่อนึกถึงความตาย ห้วงเหวดำมืดนั้นได้ส่งเสียงเรียกเขาอีกครั้ง เขาลุกขึ้นยืน เธอเช็ดน้ำตาเหลียวมอง

 

“เอ้ย!!!! พี่จะทำอะไร” เธอร้องลั่นเมื่อเห็นเขาเดินไปที่รั้วกั้นดาดฟ้า พยายามปีนขึ้นไปบนนั้น เธอวิ่งสุดแรง กระโดดดึงแขนข้างหนึ่งของเขา จนร่างเขาล้มคว่ำลงมาทับร่างเธอ เขารู้สึกเจ็บระบมไปทั่ว แต่เธอคงเจ็บไม่น้อยกว่ากัน

 

“ทำห่าอะไรของพี่วะ” เธอเขย่าร่างของเขาทั้งน้ำตา เขาลุกขึ้นก้มหน้ากอดเข่า ตัวสั่นสะท้าน รู้สึกเหมือนตนเองได้กระทำความผิดบาปลงไป เธองุนงงสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น

 

ความเงียบงันผ่านไปขณะรอบข้างโกลาหล เปลวไฟลุกลามขึ้นมาทุกขณะ ควันสีดำปกคลุมฟ้ามืดมิด มันมืดหม่นยิ่งกว่าทุกคืนที่เขาและเธอเคยสัมผัส

 

“เสื้อที่น้องใส่” เขาปริปากพูดออกมาเสียงสั่น เธอหันไป สีหน้าแปลกใจ

 

“อะไรนะ”

 

“เสื้อยืดที่ใส่นั่น” เขาพูดวนไปมาคล้ายคนกำลังเสียสติ เธอพยายามจับใจความสำคัญ

 

“ตัวนี้เหรอ” เธอค่อย ๆ ปลดกระดุมเสื้อพนักงานร้านสะดวกซื้อด้านนอกออก เผยให้เห็นเสื้อยืดสีดำด้านใน บัดนี้ความเหนียมอายของเธอมลายสิ้น ไม่ต่างจากความหวังที่จะรอดชีวิตกลับไป เขาหันมอง แววตาคลอหยาดน้ำ หัวใจเต้นแรง ความกลัวไม่เคยแผ่สยายปีกปกคลุมเขาได้เลย

 

“เสื้อวงดนตรี ทำไมอ่ะพี่” เธอถามเสียงสั่นแปลกใจ ขณะทีท่าลุกลนอยู่ไม่สุข ควันไฟลอยขึ้นมาเรื่อย ๆ ทั้งคู่เผลอยกมือขึ้นปิดหน้าอย่างจำนน

 

“น้องรู้จักเหรอ” เสียงเขาคล้ายกระซิบจากก้นบึ้งความทรงจำ

 

“รู้จักดิพี่ ไม่รู้จักจะใส่ทำไม ใส่มาตั้งแต่สมัยเรียนแล้ว พี่รู้จักเหรอ” เธอพูดมั่นใจ มีความภาคภูมิปรากฏขึ้นในน้ำเสียง เขาส่ายหัว ก้มหน้าลงต่ำ คล้ายกำลังข่มก้อนสะอื้นในลำคอ

 

“ถ้าไม่เพราะเพลงของวงนี้ หนูฆ่าตัวตายไปแล้ว” เธอระบายถ้อยคำต่อเนื่อง ไม่ปล่อยให้ความเงียบกดทับความรู้สึกด้านใน เขาเงยหน้าขึ้นทันที พยายามจ้องมองหน้าเธอเหมือนต้องการอะไรบางอย่าง เธอเริ่มผ่อนคลายคล้ายยอมรับสถานการณ์ตรงหน้าได้แล้วระดับหนึ่ง โวยวายไปคงไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น ดังนั้นเธอจึงยกมือป้องหน้าแล้วเล่าต่อ

 

“สมัยเรียนแฟนเคยพาหนูไปดูวงนี้เล่นที่งานอะไรเนี่ยแหละ จำไม่ได้ หนูไม่เคยฟังเพลงแนวนี้เลย แต่พอได้ฟังมันก็รู้สึกชอบ มันทำให้ได้ปลดปล่อยตัวเอง แต่แฟนหนูแม่งเสือกทิ้งหนูไปมีคนใหม่ ตอนนั้นหนูไม่อยากอยู่เลย เคยคิดฆ่าตัวตายวันละหลายรอบ พอเปิดเพลงวงนี้ฟัง ความคิดหนูค่อย ๆ เปลี่ยน จนหนูคิดว่า ความรู้สึกทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับเรา มันมาจากเราทั้งนั้น ไม่ว่าจะเศร้าจะสุข เพลงบางวงมันให้พลังกับเราจริง ๆ นะพี่”  พูดจบเธอเงยหน้าเหม่อมองควันสีดำ แล้วเริ่มรู้สึกหายใจไม่ค่อยออก ดวงตาเริ่มแสบคันมีน้ำคลอออกมามากขึ้น ส่วนเขาก็ไม่ต่าง

 

“ขึ้นมาทำแบบนี้บนนี้บ่อยไหม” เขาตัดสินใจถาม แม้ลึก ๆ จะโกรธตัวเอง เธอหันหน้าหนีเหมือนไม่ได้ยิน เริ่มโก่งตัวไอเสียงดัง

 

“มันแปลกมากเหรอ” เธอพูดขณะค่อย ๆ ก้มตัวลงต่ำ เขาไม่แสดงกิริยาท่าทางอะไรต่อคำถามนั้น

 

“เกิดมาครั้งนึง หนูก็อยากรู้ว่าถึงจุดสุดยอดมันเป็นยังไง” เธอพูดเสียงสั่นเครือ ตอนนี้ควันดำเริ่มโอบคลุมทั่วทั้งสอง เขาพยายามมองหน้าเธอ แสงไฟบนนี้ถูกตัดเมื่อชั่วโมงก่อน บัดนี้ความมืดกำลังโอบคลุมทั้งเขาและเธออย่างช้า ๆ

 

“แค่ถึงจุดสุดยอดนี่นะ บนดาดฟ้าเนี่ยนะ” เขาพูดปนอารมณ์ขัน ซึ่งไม่รู้ว่าตนเองมีอารมณ์นี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ เธอชะงักเล็กน้อย เผลอคิดย้อนกลับไป อาจไม่ใช่เรื่องใหญ่ในสายตาคนอื่น ๆ โดยเฉพาะสายตาผู้ชายที่เอาแต่ความสุขตนเพียงฝ่ายเดียว เธอฟังเพื่อนสาวแลกเปลี่ยนประสบการณ์สวาทอย่างถึงพริกถึงขิง เธอรู้สึกเสียดายระคนเศร้าใจที่ผู้ชายที่ผ่านเข้ามาในชีวิตเธอไม่เคยคำนึงถึงเรื่องนี้เลย หลัง ๆ มานี้เธอมักปฏิเสธแฟนหนุ่มอยู่เสมอ อ้างว่าเหนื่อยจากงาน ไม่มีอารมณ์ แต่ทุกครั้งที่มีโอกาสอยู่ลำพัง เธอมักแสวงหาวิธีการถึงจุดสุดยอดจากหลายแหล่งข้อมูล เธอค่อย ๆ ลองทำทุกวิธี แต่ไม่มีวิธีไหนเลยที่พาเธอสมปรารถนาได้ เช่นเดียวกับคืนนี้ เธอเข้าห้องน้ำในหอพัก ลองใช้นิ้วนวดคลึง แต่อารมณ์กลับหม่นหมองลงเรื่อย ๆ เธอหนักใจและสิ้นหวัง อยากผ่อนคลายความอึดอัดใจนี้ จึงตัดสินใจขึ้นมาดาดฟ้า ที่ ๆ แฟนหนุ่มเคยเซอร์ไพรส์วันเกิดเธอเมื่อปีก่อน ขึ้นมาสูดอากาศพักหนึ่ง หวังให้ใจปลอดโปร่งโล่งสบาย แต่จู่ ๆ อารมณ์สวาทพลันก่อร่างขึ้นช้า ๆ เธอตัดสินใจปล่อยอารมณ์บนดาดฟ้าเพียงลำพัง และขณะทำนั้นช่างตื่นเต้น รุ่มร้อน มากกว่าครั้งไหน ๆ

 

“ก็คนมันไม่เคยถึงนี่หว่า” เธอตอบ เผลอหัวเราะ ไม่คิดว่าจะได้พูดเรื่องแบบนี้กับคนแปลกหน้าในสถานการณ์เช่นนี้ แต่แปลกที่รู้สึกโล่งใจ เขาเงียบไปพักหนึ่ง เสียงไซเรนด้านล่างโหยหวนชวนสั่นสะท้าน

 

“พี่จะทำแบบนั้นไปทำไม มีปัญหาอะไรนักหนาชีวิต แก่ขนาดนี้แล้ว” เธอพูดต่อ หวังให้อีกฝ่ายเปิดใจกับตนบ้าง ไหน ๆ ความตายก็รออยู่ตรงหน้า ทั้งสองเริ่มมองหน้ากันไม่เห็น เขาเงียบไม่ตอบ ขณะนี้รู้สึกแสบตาและสำลักควัน

 

“อยากถึงจุดสุดยอดรึเปล่า” เขาถามเสียงดัง เธอหันมองหาเขา ไม่อยากเชื่อหูตนเอง แต่ยังไม่ทันจะตอบ มือและร่างของเขาก็โผเข้ามาโอบกอดเธอแน่น จมูกซุกไซ้ต้นคอ ไล่ลามลงมาถึงเนินอก สองมือนวดคลึงรวดเร็ว เธองุนงงแต่ปล่อยร่างไปตามแรงปรารถนาลึกเร้นของตนเอง มันเป็นการปล่อยอะไรบางอย่างขณะร่างกายย่ำแย่ต่อสภาพการณ์ตอนนี้ แล้วทั้งคู่ก็ไม่สนทนาเป็นภาษาพูดอีกต่อไป ทั้งสำลักทั้งแสบตา แต่ยังคงทำตามแรงปรารถนา เธอร้องครางทั้งที่สำลัก เขาหลับตาสอดใส่ในร่างนั้นรุนแรง ทั้งคู่กำลังจูงมือกันไปในที่ ๆ หนึ่ง เขาค้นพบบางอย่างบนดาดฟ้าแห่งนี้เช่นเดียวกับเธอ แรงถาโถมสะบัดสะบั้น ทะลุทะลวง จนเธอเผลอร้องลั่นหยิกกัดเนื้อหนังของเขา ร่างเธอเกร็งสั่นสะท้าน รับรู้ถึงจุดหมายที่ตนเองโหยหามาทั้งชีวิต เขาปล่อยความคิดไปกับความรู้สึกลึกเร้น เหมือนได้มีชีวิตใหม่แม้ว่าความตายตรงหน้ากำลังมาเยือน

 

เธอใกล้จะถึงจุดสุดยอด เขาเร่งจังหวะต่อเนื่อง แต่อยู่ดี ๆ เขาก็หยุด แสงไฟสว่างวาบขึ้นจากด้านบน เสียงอื้ออึงของใบพัดขนาดใหญ่กวัดแกว่งไปมาในอากาศ พร้อมเสียงตะโกนเรียก เธอบอกให้เขาทำต่อไป ทำต่อไป แต่เขาหยุดค้างอยู่เช่นนั้น

 

แล้วหน่วยกู้ภัยทางอากาศก็หย่อนบันไดลงมาให้เขาและเธอขึ้นไป เขาหันกลับมามองที่เธอ แววตาแดงช้ำคู่นั้นบ่งบอกถึงความรวดร้าว

 

เขาตัดสินใจเดินหน้าต่อไป แม้ว่าจะมีใครจ้องมองอยู่เบื้องบน…

 

 

Photo by Alex Grodkiewicz on Unsplash

 


 

อิสระ พันธุ์ยาง

อิสระ พันธุ์ยาง

สรรค์สร้างเสียงเพลงแห่งความมืดในนาม Lotus Of Darkness เพียรพยายามสร้างงานเขียนเพื่อทำความเข้าใจมนุษย์ ชีวิตที่เหลือวาดหวังออกเดินทางแสวงหาความจริง ขณะนี้นั่งหายใจรดแป้นพิมพ์ กลั่นกรองตัวอักษรนับแสน แทนชีวิตและจิตวิญญาณ

Comments

comments

You may also like

Leave a comment

error: