บอลลูนวิเศษกับไข่ยักษ์มหัศจรรย์ – อิสระ พันธุ์ยาง
เสียงออดแผดสนั่นเขาสะดุ้งตื่น นั่งงัวเงียมองโต๊ะทำงานระเกะระกะ กัดฟันลุกยืนมองเข็มนาฬิกาบนผนัง ผลักบานประตูออก ปะทะเปลวแดดแสบหน้า ได้ยินเสียงเครื่องจักรก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินไกล ๆ
รีบเร่งลงจากอาคาร ผ่านสนามฟุตบอล เด็กนักเรียนตะโกนเจี๊ยวจ๊าว เขาปั้นยิ้มโบกมือทักทาย แล้วก้มหน้าเดินไปยังอาคารชั้นประถมต้น
เขาก้าวขึ้นอาคารเชื่องช้า รู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมา หยุดยืนพักริมบันได หายใจเข้าออกลึก ๆ จดจ่อกับปัจจุบัน เรียกเร่งความคิดจากสมอง ไม่มีสิ่งใดปรากฏ
“ครูทศมาแล้ว ครูทศมาแล้ว” เสียงใสซุกซนของเด็กหญิงหน้าเปื้อนยิ้มเอ่ยกับเพื่อน ๆ เป็นสัญญาณ เขายิ้มเนือย ๆ ให้โมงยามตรงหน้า มองเก้าอี้พลาสติกมุมห้อง เดินหยิบมาวางหน้ากระดานไวท์บอร์ด ทุกสายตาจับจ้อง
“เห็นครูมาแล้ว ต้องทำยังไงคะ นักเรียน” เขาเงยหน้าสบตาครูประจำชั้นประถมศึกษาปีที่ 3 เธอหลบตาทันที เขายังจำบทกวีและภาพเหมือนที่เคยให้เธอได้
จากการฝากฝังของรุ่นพี่ เขาจึงได้เป็นครูในโรงเรียนเอกชนกลางเมืองหลวงแห่งนี้คาดหวังจะได้สอนศิลปะตามที่จบมา แต่ผู้อำนวยการกลับมอบหมายให้เขาสอนวิชาการงานอาชีพชั้นประถมศึกษาปีที่ 1 ถึง 4 และทำหน้าที่เป็นบรรณารักษ์ไปด้วย ถึงแม้ไม่ได้จบครูมาโดยตรงแต่เขาก็หลงรักการสอนเพราะเคยออกค่ายอาสาสมัยเรียนมหาลัยเขาเรียนรู้งานต่าง ๆ ในโรงเรียนได้รวดเร็ว แต่ลึก ๆ แล้ว เขามีบางอย่างรบกวนในใจเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเล่าให้ใครฟังได้จริงอยู่ว่าในสายตาคนอื่น เขามีไอเดียใหม่ ๆ เสมอ แต่อีกด้าน เขาบกพร่องเรื่องงานบันทึกหลังการสอนการประเมินและตัดเกรดนักเรียน รวมถึงเรื่องราวผิดพลาดในอดีตที่มักถูกครูในโรงเรียนสืบค้นขึ้นมาพูดต่อ เขาพยายามไม่สนใจ คิดแต่ว่าจะสร้างการเรียนรู้ที่มีคุณภาพให้นักเรียนได้อย่างไร แต่นานวันเข้า มุมมองที่เขามีต่อระบบการศึกษาและวิธีคิดของโรงเรียนแห่งนี้ก็ส่อแววเลวร้ายลง ความกระตือรือร้นค่อย ๆ เหือดแห้งจนกลายเป็นความเบื่อหน่ายพักหลัง ๆ เขาเพียงแต่สอนตามหนังสือเรียนให้หมดคาบไปเท่านั้น เพราะถึงอย่างไร ความคิดส่วนใหญ่ของครูที่นี่ก็ไม่ตรงกับเขา จะแย้งก็กลัวถูกสวนกลับ
หลังนักเรียนทำความเคารพทั้งห้องเงียบจนได้ยินเสียงเครื่องปรับอากาศ เขานั่งลงบนเก้าอี้เชื่องช้า ทุกสายตามองมาที่เขา ชั่วอึดใจเขาได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นเบา ๆ จากหลังห้อง เด็กหญิงถักเปียสวมแว่นนั่งตัวสั่น คล้ายมีหยาดน้ำเปื้อนใบหน้า เธอกำลังเขียนบางอย่างลงในหนังสือ เขาถอนหายใจยาว แสดงสีหน้าเหน็ดเหนื่อย
“นี่มันเวลาเท่าไหร่แล้วน้องแก้ว ทำไมชักช้าแบบนี้ เพื่อน ๆ เขาส่งกันหมดแล้วนะคะ” ครูประจำชั้นพูดขึ้นเสียงดัง เด็กหญิงถักเปียสะอื้นแรงขึ้น เขาเอือมระอากับเหตุการณ์ตรงหน้า
บ่อยครั้งเหลือเกินที่น้องแก้วทำงานส่งไม่ทันเพื่อน เธอมีปัญหาเกี่ยวกับกล้ามเนื้อมือและสายตา เธอมักสะอึกสะอื้นเวลาทำเหมือนเพื่อน ๆ ไม่ได้ เขาเคยพยายามหาวิธีแก้ไข แต่ความไม่ยืดหยุ่นของระบบโรงเรียนทำให้วิธีการของเขาถูกมองว่าชักช้า ไม่ได้ผล เขาเคยเชื่อว่า เด็กวัยนี้ควรที่จะได้เขียนได้วาดอย่างอิสระ ไม่จำเป็นต้องคัดลายมืออยู่บนเส้นบรรทัดมากนัก มันฝืนธรรมชาติของเด็ก แต่คนไม่ได้เรียนจบครูอย่างเขาพูดและทำอะไรก็ไม่มีน้ำหนักมากพอ
“เปิดหนังสือไปหน้า 38” เด็ก ๆ ค่อย ๆ เปิดหนังสือเรียนบางคนยังหาหน้า 38 ไม่เจอ ภาพตรงหน้าชวนเบื่อหน่าย เขารู้สึกพะอืดพะอมขึ้นมา พยายามนั่งหลังตรง พินิจท่าทางนักเรียนแต่ละคน หวนนึกถึงบรรยากาศการเรียนการสอนเมื่อครั้งเป็นครูใหม่ ๆ
ตอนนั้นเขามักจะนำสิ่งของต่าง ๆ เช่น แปรงสีฟัน หวี แก้วน้ำ มาให้นักเรียนสังเกต และชวนพูดคุยเกี่ยวกับประสบการณ์ที่มีร่วมกับวัตถุเหล่านั้น บวกกับการเล่าเรื่องประกอบ ให้นักเรียนได้คาดเดาและแต่งเรื่องต่อ มีครั้งหนึ่งเขาต้องสอนเรื่องเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกาย เขาพลิกดูเนื้อหาในหนังสือเรียนแล้วส่ายหน้า ไม่มีช่องว่างให้คิดสร้างสรรค์และคิดเชื่อมโยงได้เลย เขาจึงออกแบบกิจกรรมชื่อว่า ‘ก็แค่เสื้อผ้า’ ขึ้นมา เขาให้นักเรียนนำเสื้อผ้าและเครื่องแต่งกายที่ชอบที่สุดมาใส่เรียนในชั่วโมงการงานอาชีพ บรรยากาศตอนนั้นครึกครื้นสนุกสนาน เด็ก ๆ อยู่ในชุดที่ตัวเองชอบ เคลื่อนไหวคล่องแคล่วมีชีวิตชีวา แต่ขณะเดียวกันเขาก็สังเกตเห็นนักเรียนบางคนพูดจาล้อเลียนเสื้อผ้าของเพื่อน สำหรับเขา เหตุการณ์นี้อยู่เหนือความคาดหมาย แต่จะให้ปล่อยไปคงไม่ได้ ตอนนั้นเขาทำได้เพียงแค่เรียกนักเรียนสองสามคนที่เกี่ยวข้องมานั่งพูดคุยกันว่ารู้สึกอย่างไรเมื่อเพื่อนพูดแบบนี้กับเรา แล้วเราจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร นักเรียนคนที่ถูกล้อตอบแผ่วเบาว่าเสียใจ ไม่รู้ว่าจะทำยังไง ส่วนนักเรียนคนที่ล้อก็ถูกถามคำถามเดียวกัน คำตอบเรียบเฉย บอกว่า สนุกดี แต่เพื่อนคงไม่ชอบ และไม่รู้จะทำยังไงต่อ เขานิ่งฟัง ยอมรับกับตนเองเช่นกันว่าไม่รู้จะทำอย่างไรต่อ การจะให้ไปตัดสินคาดโทษใครนั้นคงเกินความสามารถ แต่เรื่องนี้อยู่ในใจเขาเรื่อยมา เหมือนรอวิธีการคลี่คลายปัญหาที่เหมาะสม แล้วเขาก็ทำกิจกรรมต่อ โดยให้นักเรียนจับคู่กันสังเกตชุดของเพื่อนแล้ววาดภาพ จากนั้นให้เขียนคำถามเกี่ยวกับชุดของเพื่อน แล้วผลัดกันเขียนคำตอบลงในสมุดไร้เส้น ใกล้หมดชั่วโมง เขาให้เด็กๆ แต่ละคู่ออกมานำเสนอผลงานหน้าชั้นเรียน
“ชุดนี้พ่อซื้อให้ครับ ผมชอบเพราะว่าเคยใส่ไปเที่ยวกับพ่อ”
“ชุดนี้เป็นของพี่หนูตอนเด็กชอบเพราะหนูรักพี่”
“ชุดนี้แม่หนูตัดให้ค่ะชอบเพราะว่ามีลายดอกไม้ตรงนี้”
ตอนนั้นเขารู้สึกอิ่มเอม คิดว่าสิ่งที่พยายามสอดแทรกในกิจกรรมนี้คงประทับแน่นในใจเด็ก ๆ ได้ แต่พอครูฝ่ายวิชาการรู้จึงถามเขาว่าเด็กๆ จะได้อะไร และตรงกับตัวชี้วัดไหม ได้ให้เด็ก ๆ ทำแบบฝึกหัดในหนังสือหรือเปล่า เขาใช้เวลาอยู่นานในการอธิบายเป้าหมายของกิจกรรม ผลจบลงคือเขาต้องกลับไปสอนให้ตรงตำรา กิจกรรมแบบนี้ไว้ค่อยทำนอกเวลาเรียนจะดีกว่า
“อ่านหน้า 38 ถึงหน้า 43 พร้อมกัน เริ่ม..” พูดจบ อาการพะอืดพะอมรุนแรงขึ้นกว่าเก่า เขาตัดสินใจเดินออกจากห้อง ตรงเข้าห้องน้ำ ทรุดลงเกาะชักโครก อาเจียนโครกครากเสียงดัง นั่งเช็ดน้ำตา อ่อนเปลี้ยเพลียแรง ภาพคืนก่อนหวนมา
“จะสนเหี้ยไรวะ มึงก็สอนแบบของมึงไปดิ เอกสารก็เมค ๆ เอา คนอื่นแม่งก็เมคไม่ใช่เหรอ” เพื่อนสนิทของเขากระแทกเสียงก่อนวางแก้วเหล้าบนโต๊ะ เขานั่งคอตกคิดวกวนสับสน เขาอยากเป็นครูจริงหรือ ความสุขของการเป็นครูคืออะไร ถ้าเขาไม่เป็นครู เขาจะไปทำอะไร แล้วเด็ก ๆ จะได้เรียนแบบไหน คำถามมากมายผุดขึ้นจนยากจะหาคำตอบ
“กูอยากลาออกว่ะ” เสียงเขาแผ่วเบา เจ็บร้าวในอก มืดมนไร้ทางออก สิ่งที่เขาพยายามทำมาตลอดดูเหมือนไม่มีความหมายในสายตาคนอื่น ๆ เมื่อเย็นก่อนเลิกงาน ครูฝ่ายวิชาการเรียกเขาเข้าพบ ทบทวนถึงหน้าที่และนโยบายของโรงเรียน เขาไม่เห็นด้วยกับการสอบโอเน็ตอยู่แล้ว และยิ่งไม่เห็นด้วยที่เด็ก ๆ จะต้องเอาเวลาในการทำกิจกรรมอื่น ๆ มานั่งติวข้อสอบ
นับครั้งไม่ถ้วนที่เขาพยายามอธิบายต่อคนอื่นว่าการสอบนั้นไม่ใช่เครื่องมือการวัดความสามารถที่แท้จริง แต่เขาก็ไม่มีวิธีอื่นเสนอ
“เธอไม่ได้จบครูมาจะไปรู้อะไร” เขากัดฟันแน่น
“พี่ชื่นชมเธอนะ ที่พยายามทำอะไรใหม่ ๆ แต่เธอจะเอาเวลาติวข้อสอบของนักเรียน ป.6 มาทำหนังสั้นไม่ได้”
“แต่นั่นมันคาบชมรมของผมนะครับ เด็ก ๆ กำลังสนุกกับการทำหนัง ผมไม่อยากให้เด็ก ๆ สูญเสียโอกาสเรียนรู้” เขาจ้องหน้าคู่สนทนานิ่ง
“อนาคตนักเรียนเธอรับผิดชอบไหวไหมล่ะ หนังสั้นค่อยทำเมื่อไหร่ก็ได้ ผู้อำนวยการก็แจ้งในที่ประชุมแล้วไม่ใช่เหรอ”
“สรุปที่ติวกันหน้าดำคร่ำเครียดนี่เพื่อเด็กหรือเพื่อโรงเรียนกันแน่ครับ พี่เคยถามเด็กบ้างไหมว่าอยากทำอะไร อยากเป็นอะไร รู้สึกยังไง”
“เธอไปคุยกับผู้อำนวยการเองแล้วกัน”
“เหี้ย! ลาออกแล้วจะไปทำไรวะ งานแม่งยิ่งหายาก ๆ อยู่ กูว่ามึงอย่าคิดมากเลย สอน ๆ ไปตามหน้าที่เถอะ เอ้า! แดกเหล้าดีกว่า” เขาไม่ปฏิเสธย้อมใจให้ด้านชา ทำอะไรไม่ได้ก็ไม่ต้องทำไม่ต้องฝืน เอาตัวเองให้รอดก็พอ หรือจะหากินกับการสอนพิเศษไปด้วย ผู้ปกครองโรงเรียนนี้มีฐานะทั้งนั้น ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ลูกตนไม่น้อยหน้าใคร หรือจะเอาขนมมาขายเด็ก ๆ ในช่วงพักกลางวันด้วย แต่ในโรงเรียนก็มีร้านค้าขายขนมอยู่แล้ว ทั้งน้ำหวาน น้ำอัดลม วันไหนที่ขนมหวานมื้อกลางวันเหลือ แม่บ้านมักจะเอามาใส่ถ้วยขายหลังเลิกเรียนเห็นไหม ทุกอย่างเป็นไปในแบบของมัน คิดอะไรมาก จะหางานเพิ่มให้ตัวเองทำไม จะคิดจะสร้างอะไรใหม่ ๆ ทำไม
ความคิดเขาทักท้วงวกวน ยิ่งคิดยิ่งดื่ม ดื่มแทบทุกคืน ดื่มให้ผ่านแต่ละวัน ดื่มให้ความเป็นไปของระบบการศึกษา
“ช่างแม่ง!” เขายิ้มร่า สนุกสนานกับบรรยากาศรอบข้าง มองหาสาว ๆ กระซิบกับเพื่อนอย่างรู้ใจ ต่อที่ไหนไปตามกัน
เขาโซเซออกจากห้องน้ำ ยืนสูดอากาศอยู่พักใหญ่ ยังรู้สึกพะอืดพะอมอาการเช่นนี้เขาคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่ตอนนี้กลับหนักหนาเหลือเกิน ทั้งร่างกายและจิตใจรวดร้าว
ประตูห้องเรียนเปิดออก เขาพยายามทำตัวให้ปกติ ยิ้มสบตากับนักเรียนทุกคนความคิดสองฝั่งยังโต้เถียงกันในหัวเขาหันหลังหยิบปากกาไวท์บอร์ด กำลังจะเขียนคำสั่งบนกระดาน แต่ต้องหยุด หันขวับกลับมา เสียงสะอื้นของน้องแก้วดังขึ้น ฟังเจ็บปวดกว่าทุกครั้ง เขารีบเดินเข้าไปหา เห็นเธอบีบมือตัวเองแน่น น้ำตาไหลพราก บนโต๊ะมีหนังสือเรียนคณิตศาสตร์กางอยู่ รอยปากกาแดงขีดเครื่องหมายผิดเต็มไปหมด เขาย่อตัวลง กระซิบบางอย่างกับเธอ เธอยื่นมือข้างหนึ่งให้เขาดู เขารู้สึกรวดร้าวอย่างบอกไม่ถูก นึกทบทวน ข่มตนเอง เรียกสติกลับมา เขาลูบฝ่ามือที่มีรอยช้ำยิ้มให้ แล้วกระซิบบางอย่าง น้องแก้วพยักหน้ารีบเช็ดน้ำตามองมาที่เขา เขายิ้มอีกครั้งก่อนลุกเดินมาหน้าห้องเรียน
“นักเรียน ปิดหนังสือ ดูอะไรบนกระดานนะ” เขาข่มอารมณ์รวดร้าวไว้แนบเนียน นักเรียนทำตามอย่างงง ๆ เขาเริ่มวาดวงกลมขนาดใหญ่บนกระดานไวท์บอร์ด เด็ก ๆ จับจ้องไม่ไหวติง เขาหันกลับมาทำท่าคึกคักพร้อมถามนักเรียนว่าเห็นแล้วนึกถึงอะไร เด็ก ๆ ยกมือพลัดกันตอบ เขายิ้มแบบมีเลศนัย แล้วหันหลังกลับไปวาดรอยแตกขนาดเล็กกลางวงกลมนั้น เด็ก ๆ ส่งเสียงฮือฮาคาดเดากันไปต่าง ๆ นา มีเด็กคนหนึ่งพูดขึ้นว่า “นั่นคือไข่ ไข่ใบใหญ่” มีคนเออออตาม บางคนว่าคือลูกฟุตบอลกำลังแตก มีคนเห็นด้วย เขายิ้มอีกครั้ง เริ่มสนุก คราวนี้เขาเพิ่มรอยแตกในวงกลมจนทั่ว ทั้งห้องเงียบคล้ายรอเฉลย เขาไม่รอช้า วาดเส้นตรง เส้นโค้ง เส้นหยัก พุ่งออกมาจากรอยแตกทุกรอย เด็ก ๆ ฮือฮา ใบหน้าฉงน เขาปล่อยบรรยากาศไว้สักพัก นั่งลงสังเกตสีหน้าท่าทางนักเรียน น้องแก้วดูร่าเริงขึ้น เขาส่งสัญญาณให้นักเรียนเงียบเสียง ครู่หนึ่งมีใครสักคนพูดขึ้น “ครูทศเล่านิทานให้ฟังหน่อยครับ ผมอยากฟังนิทาน” ใครอีกคนพูดขึ้นอีก“ใช่ค่ะ ไม่ได้ฟังนิทานนานแล้ว” แล้วอีกหลายคนก็พูดในทำนองเดียวกัน เขาเงียบมองสีหน้าท่าทางเด็ก ๆ พลังที่เคยหลับใหลมานานแสนนานเหมือนจะตื่นขึ้น เขาลืมอาการพะอืดพะอมและความเศร้าใจ สมองเริ่มตื่นตัว ความคิดเริ่มก่อร่าง หัวใจพองโต ความรู้สึกเก่า ๆ โลดแล่นเต็มเปี่ยม บรรยากาศห้องเรียนกลับมาคึกคักอีกครั้ง แต่แล้วเขากลับหดหู่ ไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะพูดเขาไม่มีนิทานอะไรจะเล่า เวลาที่ผ่านมาเขาไม่ได้เตรียมการสอนเลยและไม่แสวงหาไอเดียใหม่ ๆ เข้าตัว ตกเย็นก็ออกสังสรรค์กลับมาดึกดื่นบางวันยันเช้า เข้าสอนล่าช้า ขาดงานจนโดนเรียกเตือน
เสียงรบเร้าของนักเรียนดังขึ้นเรื่อย ๆ ดังเสียจนเขาอยากหนีไปให้พ้น
“เงียบเสียงหน่อยค่ะ นักเรียน จะหมดเวลาแล้ว เตรียมตัวทำความสะอาดห้องด้วยนะคะ” นักเรียนเงียบลงทันที มองหน้ากันเลิ่กลั่ก เขามองเข็มนาฬิกา
“ครูทศมีการบ้านให้เด็ก ๆ ไหมคะ” เขามองตามเสียง เธอหลบตา
“ช่วยแต่งนิทานจากภาพที่ครูวาดมาให้ครูอ่านหน่อยนะ” เขาพูดแผ่วเบาไม่มองหน้าใคร แล้วลุกออกจากห้องทันที
เขาก้มหน้าตรงเข้าห้องธุรการ เป็นการตัดสินใจที่ดีแล้ว เขาบอกตนเอง คนรับเรื่องแปลกใจเล็กน้อย แต่ไม่ถึงกับตกใจ เขาเขียนเหตุผล ระบุวันเวลาชัดเจน ก้มหน้าเดินออกมา ถึงห้องสมุด เขาทรุดลงบนเก้าอี้ ทบทวนการตัดสินใจเมื่อครู่ เขาเชื่อว่าครูทุกคนไม่อยากลงโทษนักเรียนด้วยความรุนแรง แต่มันมีระบบและโครงสร้างบางอย่างบีบบังคับให้ครูเหล่านั้นต้องเลือกใช้วิธีนี้ เพราะคิดว่าง่ายและได้ผลเร็ว แต่เขาไม่คิดว่าน้องแก้วจะถูกตีจนร้องไห้ เธอต้องการเวลา ต้องการความเข้าใจ ต้องการวิธีการที่เหมาะสม แต่ก็อีกนั่นแหละ ใครจะมานั่งออกแบบวิธีการที่เหมาะสมให้กับเด็กแต่ละคน ทุกอย่างรีบเร่ง ทุกกระบวนการสนองเป้าหมายความเป็นหนึ่ง ใครไม่ทันก็ถูกไล่ต้อน ไม่ไหวก็ถูกทิ้งไว้ข้างหลัง จะมีเด็กอีกกี่คนที่เป็นแบบนี้ แล้วเขาล่ะ ตัวเขาเองจะทำอะไรได้บ้าง ตระหนักถึงปัญหาตรงหน้าจริงหรือ
ความคิดตีกันยุ่ง ใกล้หมดวันเหมือนใกล้หมดแรง เวลาที่เหลืออยู่เขาจะใช้มันอย่างไร เกิดคำถามนับร้อยนับพัน ในที่สุดร่างกายก็สั่งให้เขาพัก ความหลับใหลโอบกอดเขาไว้ในห้องสมุดเงียบเชียบ
ชั่วอึดใจ แสงสว่างวาบวับประกายสีสันเจิดจ้ารอบกายเขา เขาสะดุ้งตื่น พบตนเองยืนอยู่กลางทุ่งโล่ง ท้องฟ้าปลอดโปร่ง ลมแผ่วเบา คล้ายได้ยินเสียงนกขับขาน ผีเสื้อหลากสีโบยบินเริงร่า แล้วฟากฟ้าก็ปรากฏบอลลูนยักษ์ลอยเด่นทายท้าดวงตะวัน สีสันสดใสประดับลวดลายดอกไม้ เขาเพ่งมองไม่ละสายตา คลับคล้ายว่าเคยพบเห็นที่ไหน แล้วต้องชะงักงันเมื่อมีเด็กหญิงแว่นผมเปียพยายามโบกมือไปมาอยู่บนบอลลูนลูกนั้น เธอฉีกยิ้มตะโกนเรียกเขา หัวใจเขาพองโต เธอนั่นเอง เขาจำเธอได้ เขาออกเดินตามบอลลูนนั้นไป เด็กหญิงยังตะโกนเรียกชื่อเขาไม่ขาด บนทุ่งโล่งเบื้องหน้า เขาพบไข่ยักษ์ใบหนึ่งนอนแน่นิ่งใกล้ต้นไม้ใหญ่ บอลลูนบนฟ้าหยุดนิ่ง เด็กหญิงโผบินลงมาเคียงข้างเขา เขาแปลกใจเล็กน้อยแต่ไม่เอ่ยถาม ทั้งคู่ยืนจ้องมองไข่ยักษ์ด้วยความฉงน จู่ ๆ เกิดรอยปริแตกรอบไข่ แสงสว่างวาบทั่วทั้งบริเวณ กลิ่นหอมอบอวลในความรู้สึก เด็กหญิงจับมือจูงเขาเข้าใกล้ไข่ยักษ์ เขาตามไปอย่างว่าง่าย มีช่องประตูปรากฏกลางไข่ใบนั้น เด็กหญิงเอื้อมมือเปิด เธอก้าวเข้าไปก่อน เอ่ยชวนเขาด้วยสายตา เขาไม่รอช้า ในนั้นมีแต่ดอกไม้หลากสีและฝูงผีเสื้อบินร่า แต่แล้วภาพพลันมืดลง เขาควานคว้าหาเด็กหญิงไม่พบ มีเสียงสะอื้นไห้ดังขึ้นรอบกาย เขาหันไปมาพบแต่ความมืด เสียงร่ำไห้นั้นดังขึ้นเรื่อย ๆ เขาทรุดตัวกอดเข่าฟุบหน้า แล้วแสงสว่างก็พลันวาบขึ้นอีกครั้ง
“ครูทศหลับ เธอวางตรงนั้นก็ได้แก้ว เร็วเข้า” เขางัวเงียตื่นขึ้นมา เห็นแผ่นหลังของเด็กหญิงสองคนเลือนราง ประตูห้องสมุดปิดลง เขากะพริบตาปรับแสง พบใบงานจำนวนหนึ่งวางตรงหน้า หยิบใบบนสุดขึ้นดู ‘บอลลูนวิเศษกับไข่ยักษ์มหัศจรรย์’ เลื่อนสายตาลงดูชื่อเจ้าของใบงาน แล้วจ้องมองภาพวาดสีสวยสด พร้อมอ่านลายมือโอนเอนบอกเล่าเรื่องราวในภาพ เขานิ่งงันอยู่อย่างนั้น อ่านซ้ำอีกรอบ อีกรอบ และอีกรอบ…
เขาวางใบงานลง ลุกขึ้นเปิดประตู ก้าวลงอาคาร กลับไปยังห้องธุรการอีกครั้ง
Photo by Ali Abdul Rahman on Unsplash