เนตร – เอพริษา

วันที่ 1

มิราตื่นขึ้นมากลางดึกเหมือนหลายๆคืนที่ผ่านมา เธอเป็นนักเขียนนวนิยายแนวแฟนตาซีที่มีชื่อเสียงและเคยทำงานได้รวดเร็ว สมองปลอดโปร่ง แต่ช่วงนี้หญิงสาวไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมถึงมีความผิดปกติทางร่างกาย หรือจะพูดให้ถูกคือความผิดปกติทางสมอง มิราสังเกตว่าตนเองสมาธิสั้น ว่อกแว่ก ไม่เป็นตัวของตัวเอง ขี้ระแวงและ…รู้สึกเหมือนมีใครจ้องมอง

ที่เธอชอบสะดุ้งตื่นกลางดึก ก็เพราะรู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองนั่นเอง

ความผิดปกติที่เป็นมาตั้งแต่เริ่มเขียนนวนิยายเรื่องใหม่

เมื่อนึกถึงตรงนี้สายตาของมิราก็เหลือบไปที่โต๊ะเขียนหนังสือของตนอย่างอัตโนมัติ หญิงสาวมองฝ่าความมืดไปยังวัตถุชิ้นหนึ่งที่อยู่ข้างๆคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนของเธอ ท่ามกลางความมืดยังคงมองเห็นรางๆว่า วัตถุชิ้นนั้นมีขนาดเท่าฝ่ามือเด็ก มันคือหินขนาดเขื่องก้อนหนึ่งที่มีรูปร่างแปลกตา มีลักษณะเป็นทรงรีที่มีมุมแหลมจรดกันทั้งสองด้านคล้ายกับดวงตามนุษย์ และที่พิกลกว่านั้นคือ หินนั่นมีร่องเป็นทรงกลมมนอยู่ด้านในคล้ายกับลูกตา

มิราได้หินก้อนนี้มาอย่างลึกลับ ขณะเดินทางไปเที่ยวน้ำตก ‘นางไศล’ กับเพื่อน ในตอนนั้นมิราแทบหมดหวังกับอาชีพที่ใฝ่ฝัน นั่นคือการเป็นนักเขียน เธอส่งต้นฉบับไปหลายที่ บางที่ปฏิเสธ และบางที่ยังรอการตอบรับ

ชินี เพื่อนสนิทของมิรา ไม่อยากเห็นสภาพเศร้าสร้อยของเธออีกต่อไป จึงเอ่ยว่า

“เธออาจอยู่กับที่ อยู่ในบ้าน ในเมือง ในที่เดิมๆเกินไป ไอเดียเลยไม่พุ่ง ไปเที่ยวกันมั้ย”

“ไม่หรอก เธอก็รู้ว่าฉันไม่ชอบไปเที่ยว”

“เอาน่า ไปเที่ยวครั้งนี้อาจได้พล็อตเรื่องใหม่ก็ได้นะ”

“เธอจะพาฉันไปเที่ยวไหนเหรอ มิติอนาคตรึไง”

“บ้าน่า…ก็ไปน้ำตกนางไศลไง”

“หือ…ที่ไหนน่ะ ไม่เคยได้ยิน”

“เป็นน้ำตกที่ยังไม่เปิดให้ท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ เพราะชาวบ้านกลัวว่าถ้ามีคนนอกเข้าไป อาจมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นในหมู่บ้าน หรือนักท่องเที่ยวอาจเจอเรื่องประหลาด”

“เรื่องประหลาดอะไร!” มิราถามอย่างสนใจ แม้จะเชื่อครึ่งไม่ครึ่ง แต่ถ้าสถานที่ที่เธอกำลังจะไปมีตำนานลึกลับก็อาจนำมาดัดแปลงเป็นนวนิยายเรื่องใหม่ได้

“เขาว่ากันว่า น้ำตกนี้มักมีหินรูปร่างแปลกๆ บางทีเป็นหินนำโชค เอ…ฉันว่าชาวบ้านคงกลัวนักท่องเที่ยวไปแย่งหินนำโชคเขามากกว่าเลยไม่ยอมเปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่ช่างเถอะ ที่อยากให้ไปน่ะก็เพราะ น้ำตกนางไศลน่ะสวยมากๆๆๆ ก.ไก่ล้านตัว”

หินนำโชค…นางเอกได้หินนำโชคมาจากน้ำตกลึกลับ เมื่อนำกลับไปที่บ้านก็พบว่าหินนั้นมีวิญญาณพี่สาวของเธอจากอดีตชาติ ที่รอคอยการแก้แค้น…

พล็อตใหม่!

แล้วมิราก็ตกลงทันทีอย่างไม่ลังเล

ขณะที่ชินีกำลังเลือกมุมถ่ายรูป มิราก็ออกสำรวจบริเวณรอบๆเพื่อเก็บรายละเอียดสภาพแวดล้อมเผื่อได้ใช้บรรยายฉาก น้ำตกที่ว่านี้สวยลึกลับจริงๆ มิราดื่มด่ำความงามธรรมชาติจนกระทั่งเท้าพาเธอเดินเข้าไปยังป่าลึก ลึกจนแทบไม่ได้ยินเสียงน้ำตก

ฉับพลัน! มีหญิงชราปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันตรงหน้า นางมอบหินนี้ให้มิรา

“เนตรไศล…แม่หนูรับไปเถิด แม่หนูเป็นผู้ถูกเลือก”

“มันคืออะไรคะ”

“เนตรไศล…หินมหัศจรรย์…”

จังหวะนั้นเสียงของชินีก็ดังขึ้น

“มิรา! หาตั้งนาน นึกว่าแมวคาบไปกินแล้วซะอีก มาถ่ายรูปทางนี้เร็ว”

หญิงสาวหันไปรับคำเพื่อน อดขำไม่ได้ เข้าป่าไม่พูดถึงเสือ แต่พูดถึงแมวแทน…แล้วหันกลับมาหาหญิงชราอีกครั้ง แต่ปรากฏว่าเธอพบเพียงหินรูปทรงประหลาดวางบนพื้นดิน มิราหยิบขึ้นมาอย่างงงๆ

“หินอะไร เหมือนตาคนเลย เพราะอย่างนี้สินะถึงชื่อเนตรไศล” เธอใช้ความคิดว่าจะเก็บไว้หรือปล่อยทิ้งไว้ตรงนั้นดี แล้วก็ได้คำตอบว่า

“เก็บไว้ดีกว่า อาจเป็นหินนำโชคก็ได้”

มิราตัดสินใจนำหินประหลาดใส่เป้ที่สะพายอยู่ แม้จะไม่ได้เป็นสายมูเตลู แต่ของอย่างนี้ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ ไม่แน่ว่าหญิงชราลึกลับอาจนำโชคมาให้ และ…มิราแปลกใจจนขนลุกซู่ เรื่องราวที่เธอเจอวันนี้คล้ายกับพล็อตที่วางไว้ก่อนจะมาเที่ยวเลยแฮะ

แน่นอน…เธอได้พล็อตและชื่อนวนิยายเรื่องใหม่แล้ว…เนตรไศล…ขอบคุณคุณยายนะคะที่ช่วยให้หนูตั้งชื่อนวนิยายเรื่องใหม่ได้

เนตรไศล…หินนำโชคและนำพล็อตนวนิยายมาสู่เธอ

แล้วก็เป็นดังที่คาด เมื่อมิรานำหินรูปดวงตามาไว้ใกล้ตัวขณะทำงาน เธอก็มีไอเดียบรรเจิด เขียนงานได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ต้นฉบับหลายเรื่องที่เคยถูกปฏิเสธนั้นได้รับการติดต่อมาจากสำนักพิมพ์อย่างไม่คาดฝัน

“ใช่ค่ะ เราเคยปฏิเสธต้นฉบับนวนิยายเรื่อง มนต์เทวา เพราะคิดว่าพล็อตเรื่องไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่มาคิดดูอีกที ตัวละครในเรื่องน่าสนใจและมีมิติมากเลยค่ะ ถ้าคุณมิรายังไม่ได้เอาต้นฉบับไปตีพิมพ์ที่ไหน สำนักพิมพ์ของเรายินดีรับพิจารณาอีกครั้งนะคะ”

หรือในวันหนึ่ง มิราได้รับแจ้งว่านวนิยายของเธอที่วางจำหน่ายมาหลายปีแล้ว กำลังจะได้ผลิตเป็นละครโทรทัศน์ที่มีนักแสดงดาวรุ่งเป็นตัวละครเอก

จากนักเขียนที่ไม่มีใครรู้จัก กลายเป็นนักเขียนดาวรุ่ง นวนิยายของเธอหลายเรื่องมีผู้เลือกหยิบมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ และทำให้ละครมีเรตติ้งและยอดวิวนับล้านวิว ไม่มีใครไม่รู้จักมิราและผลงานจากปลายปากกาของเธอ

มิรากลายเป็นเน็ตไอดอลในโซเชียลภายในเวลาเพียง 3 เดือน ตั้งแต่นำหินรูปดวงตากลับมาจากน้ำตกนางไศล

แต่ตอนนี้ หลังจากเริ่มเขียนนวนิยายเรื่อง ‘เนตรไศล’ มิราก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ทุกครั้งที่เริ่มเขียน มิรามักสัมผัสได้ถึงสายตาล่องหนคอยจ้องมองอยู่ และเธอก็เชื่อสุดใจว่า ก้อนหินรูปดวงตานี้เองเป็นผู้จับตามองเธอ

ความคิดของมิราล่องลอยไปไกล จนกระทั่งตอนนี้นาฬิกาบอกเวลา 4.00 น. ความจริงตอนนี้เป็นเวลาตื่นของเธอในยามที่หัวกำลังแล่น มิรามักตื่นก่อนสว่างเพื่อเขียนต้นฉบับ แต่วันนี้เธอสะดุ้งตื่นราวตีสาม ถ้าจะนอนต่อก็คงไม่ได้ เพราะอยากเขียนตอนต่อไปของนิยายให้เสร็จเร็วๆ

มิราเปิดไฟในห้องให้สว่าง ส่วนหนึ่งเพื่อให้สมองตื่น อีกส่วนหนึ่งบอกตามตรงว่า เธอกลัวก้อนหินรูปร่างพิกลนั่น จนไม่กล้าตื่นก่อนสว่างและขยาดการนอนดึก เพราะช่วงนี้มิราไม่อยากใช้ชีวิตตอนกลางคืนร่วมกับหินเนตรไศลนั่นเอง

แต่เดิมนั้นมิราไม่กลัวหรือคิดว่าหินเนตรไศลมีวิญญาณหรืออาถรรพณ์อะไร เพราะเรื่องแบบนั้นควรจะอยู่ในนวนิยายเรื่อง ‘เนตรไศล’ ที่เธอกำลังเขียนอยู่มากกว่า แต่แปลกจัง ทำไมตั้งแต่เริ่มเขียนนวนิยายเรื่องนี้ ถึงรู้สึกแปลกๆ หินนั่นจ้องมองและทำให้เธอเขียนตอนต่อไปของนวนิยายเรื่องนี้ได้ยากขึ้น

หรือหินนั่นจะมีอาถรรพณ์จริง…และอาถรรพณ์เริ่มสำแดงในตอนที่เริ่มเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับมัน…มิราไปลบหลู่สิ่งที่อยู่ในหินหรือ…

แต่แล้ว…มิราก็รู้วิธีขจัดความกลัวและความกังวลทั้งปวง

หญิงสาวหยิบสมาร์ทโฟนแล้วตั้งท่าจะเซลฟี่ แต่…เดี๋ยวก่อน ตอนนี้ไม่ได้

มิราวิ่งเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ล้างหน้า ทาแป้งตลับ แต่งหน้าอ่อนๆ เปลี่ยนชุดนอนจากเสื้อยืดคอย้วย กางเกงวอร์มยับย่นเป็นชุดเดรสสบายๆเหมือนที่เธอมักสวมตอนเขียนงาน

มิราเดินมานั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ พยายามสลัดความรู้สึกพิกลที่มีต่อหินนั่นทิ้งไป เธอยกสมาร์ทโฟนขึ้น

แชะ!

ตื่นตีสี่ เขียนต้นฉบับ สมองแล่น โปรดักทีฟสุดๆ

แม้จะเป็นเวลาตีสี่เศษๆ แต่ยอดกดไลก์ก็พุ่งกระฉูดถึงหลักร้อยในเวลาไม่ถึงสิบนาที

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มิราพยายามทำเพื่อหลอกตัวเอง (และแฟนคลับ) ว่าเธอเขียนงานได้ลื่นไหล ทั้งที่จริงตลอดสัปดาห์นี้ยังเขียนไม่ได้สักหน้า

หลังจากโพสต์ลงในไทม์ไลน์เฟซบุ๊กแล้ว มิราก็เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดเดิม ล้มเลิกความตั้งใจเขียนต้นฉบับ เพราะเริ่มรู้สึกง่วงงุน อาจจะเป็นเพราะเธอสบายใจที่วันนี้ได้แสดงตัวตนในโลกโซเชียลตั้งแต่ยังไม่สว่าง มิรามักทำแบบนี้เสมอ เวลามีเรื่องไม่สบายใจ เธอชอบโพสต์ความคิดหรือเหตุการณ์ที่ตรงข้ามกับชีวิตจริงลงในโซเชียล พอทำแบบนั้นก็รู้สึกว่า มีตัวตนใหม่เกิดขึ้นซ้อนทับตัวตนเดิม

เมื่อล้มตัวลงนอนต่อ อุปาทานพิศวงก็กลับมาอีกครั้ง มันจ้องมองเธออีกแล้ว

ก่อนจะกลับคืนสู่โลกนิทรา หญิงสาวเหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วๆ แว่วมาจากที่ไกลๆพร้อมถ้อยคำเยาะเย้ย

สมองแล่น…แล่นไปแบบกู่ไม่กลับล่ะสิ…นอนต่อไปแล้ว นึกว่าจะแน่

วันที่ 2

แชะ!

กาแฟ ไข่ลวก เบคอน …

อาหารเช้าวันนี้ เป็นครั้งแรกที่ทานน้อยมากๆ ปกติต้องมีข้าวต้มกุ้ง นมสด น้ำส้มคั้น แต่ถือคติว่า เรากินเพื่ออยู่ อยู่เพื่อเขียนค่าาาาาาา

เมื่อกดโพสต์เสร็จ มิราเลื่อนจานอาหารทั้งหมดออกไป เธอไม่อยากกินอะไรเลย น้ำหนักลดลงด้วย นอนก็ไม่หลับ แต่งานยังต้องเดิน

มิรานั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์ เธอตัดสินใจ ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ต้องเขียน ‘เนตรไศล’ ต่อให้ได้ และแม้จะรู้สึกแปลกๆกับหินรูปร่างประหลาด มิราก็ยังคงวางมันไว้ในตำแหน่งเดิมนั่นคือ ข้างคอมพิวเตอร์

ของนำโชคขนาดนี้ เอาไปซ่อนไว้เพราะความกลัวบ้าๆบอๆ ก็อดโชคดีน่ะสิ

คอมพิวเตอร์เปิดติดปุ๊บ พอดีกับความรู้สึกแปลกๆก็แล่นเข้ามาในหัวเธออีกครั้ง

ดวงตาจ้องฉันอีกแล้ว…

ทำไมนะ เวลาจะเริ่มเขียนนวนิยายเรื่องนี้ ดวงตานี้ต้องสำแดงอะไรแบบนี้ด้วย ตอนอาบน้ำ กินข้าว เดินเล่น ก็ปกติดี แต่พอจะเริ่มเขียนทำไมต้องจ้องฉันด้วย…

ช่างเถอะ ก็หินมันเป็นรูปคล้ายดวงตา เราคงมโนไปเอง เหมือนกับที่เมื่อคืนเราฝันว่าหินนั่นพูดได้ไง

แชะ! แชะ! แชะ! แชะ!

หนังสือหลายเล่ม บรรยากาศบนโต๊ะทำงาน ปากกา กระดาษ บันทึกด้วยสมาร์ทโฟนหลายสิบรูปก่อนจะถ่ายทอดสู่เครือข่ายไร้พรมแดน

พร้อมลุยงาน!

เช้าวันนี้ขอทักทายด้วยนวนิยายเรื่องใหม่ เนตรไศล นักโบราณคดีสาวได้หินมาจากหญิงชราลึกลับ และเมื่อเธอนำมันกลับมาที่บ้านกลับมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้น เป็นต้นว่า แม่บ้านสังเกตว่ามีหญิงแต่งชุดไทยโบราณเข้ามาอาศัยอยู่ในห้องของนางเอก หรือคืนหนึ่ง นางเอกฝันว่ามีหญิงสาวที่หน้าตาละม้ายคล้ายเธอยืนอยู่ข้างหิน…หินเนตรไศลจะมีความเป็นมาอย่างไร อย่าลืมติดตามกันน้า

หลังจากคลิกโพสต์ลงไทม์ไลน์เสร็จ มิราก็ตั้งใจจะเปิดไฟล์เวิร์ดเพื่อพิมพ์ตอนต่อไปของนวนิยาย

ทว่า…

หินนั่น

ไม่ใช่แค่ความรู้สึกว่าหินนั่นกำลังจ้องเขม็งเท่านั้น ขณะนี้มิรารู้สึกพิกลกว่าเดิม

นั่นเสียงอะไรน่ะ

ทำเป็นขยัน รู้น่าว่าเป็นโรคประสาท

ก้อนหินประหลาดนั่นมีเสียงจริงๆเหรอ เมื่อคืนเธอไม่ได้ฝันไปหรือไง เสียงนั่นมาจากบริเวณนี้ รอบโต๊ะของเธอ มันจะมาจากไหนถ้าไม่ใช่จากหินเนตร…ไศล…

“นางเอกได้หินประหลาดจากหญิงชรา พล็อตเดิมๆ”

อะ…อะไรนั่น หินประหลาดนั่นมีเสียงจริงๆ

“พล็อตเดิมๆน่ะ ดีแล้ว จะได้ฉกเอาไปง่ายๆหน่อย”

เสียงนั่น…ไม่ใช่…ไม่ใช่เสียงเดียวกับเสียงแรก

“รออ่านนะ”

“เขียนแต่เรื่องแฟนตาซีซ้ำซาก เขียนแนวอื่นไม่เป็นหรือไง”

“ไม่ชอบก็อย่ายุ่ง ให้กำลังใจเธอนะ”

“ได้ยินว่าไปเที่ยวน้ำตกนางไศลมา…งั้นคงเขียนให้ตัวเองเป็นนางเอกเรื่องนี้น่ะสิ”

แน่แล้ว…หินเนตรไศลถูกผนึกวิญญาณ! มีวิญญาณร้ายหลายดวงสิงอยู่ที่นั่น

ไม่จริง! หินนี้เคยทำให้เธอสมองปลอดโปร่ง ไอเดียบรรเจิด และผลิตงานเขียนออกมาอย่างยอดเยี่ยม จะเป็นหินอาถรรพณ์ได้ยังไง

นอกจากว่า…วิญญาณที่อยู่ในหินไม่พอใจที่มิรานำเรื่องราวของหินเนตรไศลมาสร้างสรรค์ตามจินตนาการของเธอ

บ้าน่า เรื่องแบบนี้มีแค่ในเรื่องแต่ง ถึงมิราจะเขียนนิยายแนวแฟนตาซี แต่เธอไม่ได้เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติแบบงมงาย

มิราตัดสินใจลุกจากโต๊ะทำงานไปยังชั้นหนังสือที่มีหนังสือหลากหลายประเภท แน่นอนว่าเธอรู้สึกว่าดวงตาหลายร้อยคู่กำลังจ้องตามทุกอิริยาบถ มิราพยายามบอกตัวเองว่าเธอเครียดที่เขียนงานไม่ได้ ยิ่งเครียดก็ยิ่งประสาทหลอน ยิ่งประสาทหลอนก็ยิ่งเครียดขึ้นอีก วนไปวนมาไม่รู้จบ

มิราต้องหยุดเขียนชั่วคราว และเปิดคอมทิ้งไว้ เธอต้องการอ่านหนังสือเพื่อฝึกการจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เธอหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา แล้วนั่งลงบนโซฟาตัวโปรด แน่นอนว่ามิรารู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องด้วยดวงตาของหินเนตรไศล แต่พยายามไม่สนใจ แล้วคว้าเอาสมาร์ทโฟนมาถ่ายรูปตนเอง ทำเป็นถ่ายทีเผลอขณะอ่านหนังสือ

แชะ!

ก่อนเขียน…ต้องอ่านให้มาก

โพสต์สั้นๆ แค่นี้แหละ

แต่…มันมาอีกแล้ว เสียงจากหินประหลาด

“อ่านหนังสือเรอะ…เล่มนี้เคยอ่านไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ยังอ่านไม่จบอีก”

หา! วิญญาณนั่นรู้ด้วยเหรอ

“ขยันจังค่ะ”

เอ่อ…วิญญาณดวงนี้ชมฉัน

“กองดองตัวแม่”

“อ่านเล่มละหน้า แล้วก็มารีวิวว่าอ่านจบแล้ว”

บ้าแล้ว! มิราลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งดวงตาปริศนานั่น ทั้งเสียงอีกนับร้อย มันตามมาหลอกหลอน เธอจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้ ทางเดียวที่จะรู้ว่าหินนั่นมีอะไรซ่อนอยู่คือต้องกลับไปที่น้ำตกนางไศล

วันที่ 3

มิราถ่อสังขารที่ทั้งเหนื่อยจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ กินอะไรก็ไม่อร่อย และยังมีสภาพจิตใจว่อกแว่กง่ายไร้สมาธิไปยังที่ที่เธอพบหญิงชราผู้พาความลึกลับมาให้

หญิงสาวนั่งลงตรงจุดที่เธอหยิบหินรูปทรงพิศวงในวันนั้น ทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา

“พี่คะ!”

มิราเรียกหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งที่เดินผ่านมา

“เรียกพี่เหรอจ้ะ” เธอตอบกลับด้วยท่าทางเป็นมิตร

“ค่ะ…คือหนูมาหาคุณยายแก่ๆท่าทางประหลาดๆคนหนึ่งน่ะคะ แกอยู่หมู่บ้านนี้ไหมคะ”

“หมู่บ้านนี้มียายแก่ๆหลายคนจ้ะ ชื่อยายอะไรล่ะจ้ะ”

“หนูไม่รู้จักคุณยายคนนี้ค่ะ แต่แกให้หินหนูมาก้อนหนึ่ง” ว่าแล้วมิราก็ควานหาหินลึกลับในเป้ใบเดียวกับที่เธอเก็บหินนั่นมาครอบครอง แต่…

หินไปไหน???

มิราจำได้ว่าหยิบใส่เป้แล้วนี่นา

“อ้าว! หินไปไหนเนี่ย”

“มีอะไรเหรอจ้ะ แล้วยายคนไหนให้หินอะไรคุณจ้ะ”

“หินชื่อเนตรไศลค่ะ หนูเอามันมาด้วยแต่มันหายไปไหนแล้วไม่รู้ค่ะ”

“นี่คุณจ้ะ…” หญิงชาวบ้านลดเสียงลงจนเกือบเป็นเสียงกระซิบ “ถ้าคุณหยิบเอาหินอะไรออกไปจากหมู่บ้าน ก็เอามาคืนเถอะคุณ หินบางก้อนให้โชคลาภก็จริง แต่บางทีก็มีอาถรรพณ์เหลือร้าย”

อาถรรพณ์…ใช่แล้ว เธอต้องโดนอาถรรพณ์หินแน่ๆ

“ค่ะพี่ หนูจะรีบเอามาคืนนะคะ”

หญิงชาวบ้านพยักหน้าเห็นด้วย และขอตัวจากไป

จริงด้วย มิราต้องเอามันมาคืนที่นี่ ที่ผ่านมาเธออาจจะโชคดีเพราะหินเนตรไศล แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นโชคร้ายเพราะหินก้อนเดียวกัน

เมื่อกลับมาถึง มิราก็พบว่าหินลึกลับวางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือของเธอเหมือนเดิม ไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย คิดแล้วเสียวสันหลังวาบ

วันที่ 4

เช้าแล้ว มิรายังนอนอยู่บนเตียง และเพิ่งสังเกตว่าเมื่อวานนี้ทั้งวันที่ออกไปหาหญิงชรา เธอไม่รู้สึกว่ามีดวงตาของหินเนตรไศลจ้องอยู่ และไม่ได้ยินเสียงวิญญาณผีปิศาจที่ถูกผนึกอยู่ในนั้นด้วย เพราะอะไรน่ะเหรอ…คำตอบง่ายนิดเดียว เพราะหินก้อนนี้อยู่ในบ้าน แต่เธอออกไปข้างนอก อาถรรพณ์ของหินจึงทำอะไรเธอไม่ได้

เมื่อพบว่าหินประหลาดอาจนำโชคร้ายมากกว่าโชคดี มิราจึงต้องทำอะไรสักอย่าง

มิราจ้องไปที่หินลึกลับอย่างใช้ความคิด

เอาไงดี…

ทุบทิ้งไหม…ไม่ดีกว่า ถ้าทุบแล้ววิญญาณออกมาจากหินล่ะ ที่นี้หลอนจัดแน่

เอาไปวางไว้นอกบ้าน ไม่ต้องตั้งไว้โต๊ะทำงานแล้ว…แต่…ถ้าหินนี้ยังเป็นหินนำโชคอยู่ล่ะ ที่ผ่านมาเธออาจเครียดสะสมจนทำให้หลงๆลืมๆ สมาธิสั้น ประสาทหลอนไปเองก็ได้

หรือจะเลิกเขียนนวนิยายเรื่อง ‘เนตรไศล’ ลบไฟล์ทิ้งไปเลย

ใช่แล้ว วิธีนี้เป็นทางออกที่ดีที่สุด ไม่ต้องทิ้ง ไม่ต้องทำลาย หินเนตรไศลยังคงมีอยู่ต่อไป เธอแค่ยกเลิกการเขียนนวนิยายเรื่องนี้ ง่ายนิดเดียว

ทันใดนั้น มิราก็เหลือบไปเห็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่เธอแสนจะขยะแขยงกำลังไต่ช้าๆบนคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กที่แง้มไว้

แมลงสาบ!

ตายแล้ว มันเข้ามาได้ไงเนี่ย ไม้กวาด ไม้กวาดอยู่ไหน อ้าว…อยู่ข้างล่างนี่นา ถ้าลงไปเอาไม้กวาด แล้วมันไต่ไปที่อื่น ไปซ่อนอยู่มุมใดมุมหนึ่งของห้องนอนนี้จะทำยังไง

ไปไม่ได้ ต้องหาไม้อะไรก็ได้แถวนี้เขี่ยออกไป

แล้วมิราก็พบทางออก เธอคว้าร่มยาวขึ้นมาแล้วทำสมาธิกับการเขี่ยแขกไม่ได้รับเชิญออกทางหน้าต่าง ซึ่งตอนนี้มันไต่ไปบริเวณขอบคอมพิวเตอร์ ใกล้กับหินปริศนา

มิราพยายามเขี่ย…เขี่ย…เขี่ย…โดยที่ไม่ทันมองว่า ด้ามร่มนอกจากกำลังเขี่ยแมลงสาบแล้ว ยังเขี่ยหินเนตรไศลไปด้วย

ตุบ!!! พลั๊ก!!!

“ว้าย”

มิราร้องเสียงหลง ภาพที่เห็นตรงหน้าคือ คอมพิวเตอร์ที่ตกลงมาจากโต๊ะพร้อมกับ…

หินเนตรไศล…

ที่ตอนนี้แตกกระจาย…

วันที่ 5

คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กต้องเอาไปซ่อม เพราะนอกจากมันจะตกจากโต๊ะอย่างแรงแล้ว ช่างยังแนะนำให้อัพเดตระบบโน่นนี่

มิราเลยไม่มีอุปกรณ์ใช้พิมพ์ต้นฉบับ

และที่สำคัญ ปฏิบัติการไล่ล่าแมลงสาบเมื่อวานยังทำให้เธอทำลายหินพิศวงนั่นไปโดยปริยาย

คิดมาถึงตรงนี้แล้วมิราอดหวั่นใจไม่ได้ เมื่อหินเนตรไศลแตกแล้ว วิญญาณร้ายที่สิงอยู่ในหินนั่นจะล่องลอยอยู่ที่ไหนกันในตอนนี้

หินผนึกวิญญาณ… มันมีตำนานหรือใครเล่ารายละเอียดอะไรไว้ไหมนะ ถามอากู๋ดีกว่า

แล้วมิราก็ตั้งท่าจะเข้าเว็บไซต์เสิร์ชเอนจิ้นที่ชื่อกูเกิ้ล เธอหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา แต่เอ๊ะ!

สมาร์ทโฟนเป็นอะไรเนี่ย ทำไมหน้าจอดับ

กลายเป็นว่ามิรากลับไปที่ร้านซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ร้านเดิมอีกครั้ง ปรากฏว่าแบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟนเสื่อมจึงต้องเปลี่ยนใหม่ สรุปคือมิราไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนทั้งวัน แถมยังต้องระแวงว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากหินเนตรไศลแตกไปแล้ว ทั้งหมดเพราะแมลงสาบตัวเดียว!!!

เธอกลับมานั่งอ่านหนังสือที่บ้านอย่างเหงาๆ และยังหวั่นว่าเมื่อหินเนตรไศลแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้ว จะเกิดอะไรกับเธอขึ้นต่อไป มิราจะยังสามารถเขียนงานได้ลื่นไหลอยู่หรือเปล่า

แต่สิ่งที่เธอสังเกตได้คือ ดวงตาปริศนาหลายร้อยคู่…อันตรธานไปแล้ว รวมทั้งเสียงเซ็งแซ่นั่นด้วย

เมื่อไม่มีอาถรรพณ์จากหินรูปดวงตา หญิงสาวก็สบายใจอย่างบอกไม่ถูก เธอทำกิจวัตรประจำวันด้วยสมองปลอดโปร่ง โล่งเบา ไม่ต้องระแวง ไม่ต้องกังวล วันนี้ทั้งวันมิราจึงได้อ่านหนังสือกองดองที่คั่งค้างไว้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว และหลายปีที่แล้วจบตั้งสามเล่ม นั่งทำสมาธิที่สวนหลังบ้านได้ถึง 30 นาที ทั้งที่เมื่อก่อนเธอนั่งนิ่งๆได้แค่ 30 วินาทีเท่านั้น ตอนเย็นหลังมื้ออาหาร มิรายังเล่นโยคะได้ถึง 1 ชั่วโมง คืนนี้เธอรู้สึกว่า ‘ชีวิต’ ของเธอกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องกังวลกับสายตาจากหินเนตรไศล และเสียงปริศนาที่พยายามค่อนแคะเหมือนเมื่อก่อน มิราได้ข้อสรุปว่า ปาฏิหาริย์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาจากความสามารถของตนเองทั้งนั้น เธอเพียรเขียนๆๆๆๆๆทุกวัน แม้ถูกปฏิเสธงานหลายครั้ง จนวันนี้พิสูจน์ได้ว่ามีฝีมือจริง มันไม่ได้เกิดจากหินเนตรไศลแม้แต่น้อย

หินรูปดวงตานั่นอาจจะไม่มีอาถรรพณ์อะไรเลย…

ส่วนคำตอบที่ว่า ทำไมเธอจึงมีอาการแปลกๆ เมื่อเริ่มเขียน ‘เนตรไศล’ นั่นก็เพราะความเครียด มิราไม่เคยเขียนนวนิยายที่ดัดแปลงจากประสบการณ์จริง เธอจึงกลัวว่าจะเขียนยังไงไม่ให้คนอ่านรู้สึกว่าเอาเรื่องตัวเองมาเขียนหรือจะดัดแปลงอย่างไรไม่ให้พาดพิงถึงสถานที่จริง ความกังวลทั้งมวลจึงก่อตัวขึ้นกลายเป็นความผิดปกติดังที่เกิดขึ้นนั่นเอง

ดังนั้นไม่ว่าหินเนตรไศลจะยังอยู่หรือแตกไปแล้ว ก็อาจไม่มีผลอะไรกับเธอสินะ ทั้งหมดนั้นมิราเพียงแต่คิดไปเอง

แล้วเหตุการณ์ประหลาดที่เธอพบหญิงชราลึกลับคนนั้นล่ะ

ยายแกแก่แล้ว อาจจะพูดจาเรื่อยเปื่อยตามความเชื่อตน…มิราตอบตนเอง

อ้อ…แล้วหินเนตรไศลที่เธอตั้งใจเอาใส่เป้ในวันนั้นล่ะ มิราแน่ใจว่าตนเองหยิบใส่เป้แล้วแน่ๆ แต่ทำไมถึงกลายเป็นว่ามันยังตั้งอยู่ตำแหน่งเดิม…

นี่เป็นคำถามข้อสุดท้ายที่เธอต้องหาคำตอบให้ได้

วันที่ 6

มิราออกจากร้านซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วยความผิดหวัง ที่จริงวันนี้เธอต้องได้คอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน แต่เมื่อไปถึงก็พบว่าร้านปิด หน้าร้านปิดป้ายประกาศว่า

ปิด 1 วัน

มีธุระด่วนที่ต่างจังหวัด ลูกค้าที่รับนัดอุปกรณ์สามารถมารับได้ในวันพรุ่งนี้

ขออภัยในความไม่สะดวก

แม้จะผิดหวังและเซ็งที่ไม่ได้โพสต์ไทม์ไลน์ และถ่ายเซลฟี่เหมือนเคย แต่มิรารู้สึกว่าตั้งแต่หินลึกลับแตกไปเธออารมณ์ดีขึ้น มีสมาธิขึ้น จะทำอะไรก็ไม่มีดวงตาและเสียงปริศนาคอยติดตาม

ก่อนกลับบ้านเธอแวะเข้าร้านหนังสืออิสระแห่งหนึ่งที่เคยเข้าประจำ ตาไปสะดุดที่หนังสือเล่มหนึ่งที่เกี่ยวกับการใช้หินบำบัดโรค ที่จริงมิราก็เคยได้ยินศาสตร์การบำบัดด้วยหินมานาน แต่ไม่เคยสนใจเท่าวันนี้มาก่อน

มิราอ่านคร่าวๆ พบว่า หินบางชนิดมีพลังในการรักษาโรคอย่างมหัศจรรย์ เพราะแร่ธาตุที่อยู่ในหิน

แร่ธาตุ…

เหมือนมีลำแสงสว่างวาบกลางศีรษะ ที่ผ่านมาเธอมองหินเนตรไศลแบบไสยศาสตร์มาตลอด เมื่อกลับมามองในแบบวิทยาศาสตร์ ก็พบว่า ถ้าหินมีแร่ธาตุบางอย่างที่รักษาโรคได้ มันก็มีแร่ธาตุบางอย่างที่ส่งผลต่อร่างกายในทางลบได้น่ะสิ

จริงๆแล้ว ที่เธอมีอาการแปลกๆ กระวนกระวาย สมาธิสั้น รวมทั้งประสาทหลอน ก็อาจมีสาเหตุมาจากหินที่เธอตั้งไว้ใกล้ตัวๆเวลาทำงานก็ได้

งั้นเหตุการณ์วันนั้น มิราก็แค่ ‘ลืม’ เอาหินเนตรไศลไป แต่เข้าใจว่าตนเอาใส่เป้แล้ว แร่ธาตุอันตรายบางอย่างจากหินเนตรไศล คงทำให้เธอมีอาการหลงๆลืมๆ

ไม่ได้มีอาถรรพณ์อะไรเลย…

มิรายิ้มอย่างสบายใจ หินแตกไปแล้ว ต่อไปนี้เธอจะกลับมาเป็นมิราที่สมองลื่นไหล เขียนงานได้รวดเร็วเหมือนเดิม

มิราไม่ลังเลที่จะเขียนนวนิยายเรื่อง ‘เนตรไศล’ ต่อ ในเมื่อหินเนตรไศลเป็นแค่หินรูปทรงแปลกตา ไม่ได้เป็นหินอาถรรพณ์อะไร

วันที่ 7

และแล้วคอมพิวเตอร์ และสมาร์ทโฟนของมิราก็กลับมาใช้งานได้ตามปกติ

แชะ!

รูปบรรยากาศบนโต๊ะเขียนหนังสือโพสต์ลงไทม์ไลน์อีกครั้งพร้อมข้อความว่า

มิรา come back

ขอโทษทุกคนที่หายไปนะคะ พอดีเครื่องมีปัญหาค่ะ

สัญญาว่าจะอัพความก้าวหน้าของ เนตรไศล ทุกวันเหมือนเดิมนะคะ

พอโพสต์เสร็จไม่ถึง 2 นาที ยอดไลก์พุ่งเหมือนเดิม มิรายิ้มภูมิใจแต่ก็ต้องหุบยิ้มโดยพลัน

มันมาอีกแล้ว…

ความรู้สึกว่าถูกจ้องมอง

และแว่วเสียงนั่น

“อัพเพื่ออะไรใครอยากรู้”

“อัพเลยจะได้เป็นไอเดียนิยายเรื่องใหม่ของฉันด้วย ว่าแต่ใครจะเขียนเสร็จก่อนน้า”

หินเนตรไศลนั่น เธอทิ้งเศษซากของมันไปหมดแล้ว

มันกลับมาอีก ไอ้อาการประสาทหลอน…

Photo by Aaron Burden on Unsplash

Comments

comments

You may also like

Leave a comment

error: