แร้งฟินิกซ์-นรีเรขา

ฉันเป็นแร้ง…ผู้โดดเดี่ยว…ในทะเลแห่งความฝัน

ดวงตาเล็กหยีฝ้าฟาง

ขาลีบเล็กอ่อนเปลี้ย

ขนหลุดร่วงเป็นหย่อม

ปีกบางสีฝุ่นปลิวลม

กำลังบินตามเส้นทางฮีโร่อันสูงส่ง

ในหัวใจมีเพียงความฝันและประกาศิตจากจักรวาลก่อนออกเดินทาง

“แตกดับ…กลับกำเนิด”

ฉันไม่เข้าใจมันสักนิด…แต่ก็ยังถลาไปตามแรงฝัน

เส้นทางผู้พิชิตช่างยากแท้

.

ผ่านมากี่ร้อนหนาว

แดดแรงกล้าเผาไหม้ปีกอันบางเบา….แต่หาเผาไหม้ความฝัน

ฝนกระหน่ำซ้ำมรสุม….ไม่อาจโยนความฝันฉันทิ้งไปได้

ลมหนาวพัดมาเย็นเยือก….แต่ข้างในกายยังระอุด้วยไฟฝัน

.

เรี่ยวแรงอ่อน

ปีกค่อยๆขาดปลิวด้วยแรงลม

ดวงตาเริ่มไม่สู้แสง

ร่างของฉันกำลังจะสลาย

จิตวิญญาณกำลังหลุดลอย

คงไว้แต่ความฝันที่ไม่อาจทำให้เป็นจริงได้อีกต่อไป

หรือเส้นทางนี้ไม่เหมาะกับแร้งอย่างฉัน

.

ทันใดนั้น…แผ่นดินสะเทือน

ลูกไฟดวงโตพุ่งตรงมาที่ฉัน

โอ…แร้งน้อยผู้มีไฟฝัน กำลังถูกเพลิงจักรวาลทำลายให้มอดไหม้

ไม่ทันรู้ตัว…ฉันอยู่ตรงกลางดวงไฟได้เยี่ยงไร

.

ร้อน…ร้อนเหลือรับ

เปลือกตามิอาจเปิดได้ ด้วยว่าแสงจากลูกไฟแยงเข้าจักษุประสาท

ร่างกายขยับไม่ได้ ด้วยว่ากำลังจะถูกแผดเผา

หรือฉันกำลังจะดับสูญ

.

และแล้ว ร่างกายเริ่มเย็นลงทีละน้อย

ดวงตาเริ่มเปิดได้ ฉันมองปีกตนเองอีกครั้ง

อัศจรรย์นัก ไฉนมันกลายเป็นสีทองแผ่สยายดั่งปีกนกฟินิกซ์

แร้งตัวนี้บังเกิดใหม่กลางกองอัคนีแห่งความฝันเช่นนั้นหรือ…

บัดนี้…ฉันพร้อมจะโบยบินตามเส้นทางฮีโร่

อีกครั้ง

.

ถึงระยะหนึ่ง…ร่างของฉันจวนสลายตามกาลเวลาอีกครั้ง

แต่ฉันรู้ดีว่า

เมื่อไหร่ที่ฉันเหนื่อยล้าหนักหน่วงเหมือนใกล้สิ้นลม

เมื่อนั้นฉันพร้อมจะเผาไหม้ตัวตนเก่า

เพื่อถือกำเนิดตัวตนใหม่

ที่งดงาม

เก่งกาจ

เข้มแข็ง

ยิ่งกว่าเดิม

.

ฉันยังเดินทางต่อ

และเข้าใจคำประกาศิต “แตกดับ กลับกำเนิด” อย่างแจ่มแจ้ง

คำพรที่ได้จากความเพียร

.

ฉันดั่งแร้งฟินิกซ์ในทะเลแห่งความฝัน

ทุกครั้งที่ฉันพ่ายแพ้

ฉันจึงแกร่งขึ้นจากเถ้าถ่านของความล้มเหลว

ให้ถือกำเนิดใหม่อีกครั้งบนเส้นทางวีรปักษา

เป็นวัฏจักร…ชั่วนิรันดร์


นรีเรขา

นรีเรขา

นามปากกาของ อรวรรณ ฤทธิ์ศรีธร จบปริญญาตรี-โท จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม สาขาภาษาไทยทั้ง 3 ใบ ปัจจุบันนั่งเขียนทั้งงาน non-fiction และ fiction ตามแต่ dopamine และ synapses ในสมองจะจูงมือพาไป

คลั่งพระจันทร์

 

โอ้แสงจันทร์

เปล่งรัศมีในคืนเดือนเพ็ญ

เจ้าคือตะเกียงยามราตรี

แสงจันทร์นวลใส

งามสะพรั่งกลางผืนผ้าสีนิล

Read More

On Purification of Language

ทำไมหล่อนถึงไม่ตั้งชื่อบทกวีเป็นภาษาไทย

(Why don’t you name your poem in Thai?)

ฝรั่งหัวทองกินสมองหล่อนเข้าไปแล้วหรือ

(Have those Blondies brainwashed you?)

ทำไมหล่อนถึงไม่ตระหนัก

(Why aren’t you aware that)

ในห้วงนทีแห่งภาษาไทย

(in the vast ocean of Thai language,)

มีถ้อยคำให้เลือกสรรเหลือคณนา

(there are countless words for you to pick up.)

มีคลังแห่งวัฒนธรรมอันรุ่มรวยที่จะช่วยถอดถ่ายความคิด

(There is a rich repertoire of culture enabling you to transfer thought)

จากภาษาหนึ่งสู่อีกภาษาหนึ่ง

(from one language to another.)

 

ออนเพียวริฟิเคชั่นออฟแลงเกวจ

(On purification of language)

“แบบนี้ได้ไหม?”

(Is it okay for me to translate it like this?)

ไม่ได้!

(I don’t think so. How can I let the readers know)

ดูนะ!

(that the original phrase above is different from the original phrase below?)

ว่าด้วยการทำภาษาให้บริสุทธิ์

(On purification of language)

เห็นไหม? ทำไมภาษาไทยจะไม่มีถ้อยคำมากพอให้หล่อนใช้

(See? Should I put some footnotes to explain the difference?)

“แต่นั่นมันฟังดูไม่เหมือนชื่อบทกวี”

(But would that look like an academic writing rather than a poem?)

งั้นเอางี้ เอ้ย เช่นนั้นใช้เช่นนี้! ภาษปริสุทธิการ

(Let’s try this. Purification of language (Note: in a sanskritized form))

“ทำไมเธอนับคำบาลีสันสกฤตเป็นภาษาไทยแต่ไม่นับคำอังกฤษ”

(Or maybe I should look for Latin or French translation of this)

เออใช่ ขอบคุณที่เตือนให้ฉันไม่ตกเป็นทาสของภารตภิวัฒน์

(to make a parallel example of how T(h)ai is Indianized.)

เอ้ย ฉันหมายถึง การทำให้เป็นอินเดีย

(I mean there might be some similarities between Latinization and Indianization.)

งั้น เอ้ย เช่นนั้น หล่อนก็ลองใช้ ชำระล้างถ้อยคำ

(Let’s try again. Purifico the words.)

“แต่ ชำระ มาจากภาษาเขมรนะ”

(But could the two cases be compatibly compared?)

ล้างคำ

(To wash the words.)

“ฟังดูเหมือนล้างจาน”

(This sounds like to wash the dishes.)

แต่ก็ฟังดูเป็นชื่อบทกวีอยู่นะ

(Does this piece of work look like a translation at all?)

“เค”

(“k”)

 

เอาอีกแล้ว!

(There you go again!)

หล่อนพูดไทยคำอังกฤษคำอีกแล้ว!

(The language is laughing at me again!)

แค่พูดคำไทยเมื่อพูดภาษาไทยจะทำให้หล่อนขาดใจตายหรือ!

(“Do you think you have control over me?”)

“แต่เธอก็พูดไทยคำ บาลีคำ สันสกฤตคำ เขมรคำ จีนคำอยู่ตลอดเวลา

(“How bold of you to think)

ที่ผ่านมาเธอทนตัวเองได้ยังไง”

(that you can dissect me,)

ก็ฉันใช้จนมันกลายเป็นคำไทยไปหมดแล้ว!

(and recomposed the same me in another form.”)

เค ไม่ใช่คำไทยและไม่มีวันเป็นคำไทย!

(“You will never ever succeed.”)

เพียวริฟิเคชั่นไม่ใช่คำไทยและไม่มีวันเป็นคำไทย!

(“The work of purification and translation)

“เธอรู้ได้ไงว่าไม่มีวัน”

(is only your vain arrogance.”)

 

ฉันไม่คุยกับหล่อนแล้ว

(Fine, I’m done with you.)

ถ้อยคำของหล่อนมีแต่จะทำให้ถ้อยคำของฉันต้องแปดเปื้อน

(I know that language,)

ถ้อยคำของหล่อนมีแต่อหังการ์

((even though it’s us who name you language,))

คิดจะยั่วโทสะให้ฉันเสียการควบคุม

(is never ever under my control.)

ถ้อยคำของหล่อนไม่พยายามสื่อสาร

(Thank you for having been allowing me to communicate,)

มีแต่กั้นกำแพงสูงตระหง่านไม่ให้ใครปีนเข้าไปหาความหมาย

(but why do you have to be so hard to please,)

ถ้อยคำของหล่อนปิดประตูใส่ถ้อยคำของฉัน

(and couldn’t be more cooperative.)

ไม่เปิดรับความหวังดีที่ซ่อนไว้ระหว่างบรรทัด

(You are so mean.)

ฉันไม่คุยกับหล่อนแล้ว

(I’m done with you.)

 

“จ้า”

“k”


นลิน

นลิน

นักเรียนคติชนผู้ชมชอบเรื่องเล่าและบทเพลง

คำปณิธานก่อนถือกำเนิด

 

มนุษย์ทุกคนเกิดมา

เพราะได้รับอนุญาตจากเบื้องบน

มนุษย์ทุกคนเกิดมา

ต้องกล่าวปณิธานต่อเบื้องบน

ว่าจะถือกำเนิดในโลกเพื่ออะไร

ต้องมีจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่พอ

ต้องมีความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่พอ

จึงจะได้รับอนุญาตให้ถือกำเนิด

 

เมื่อดวงวิญญาณอุบัติขึ้นในโลก

เราจะเห็นมนุษย์บางผู้ตั้งหน้าตั้งตาทำตามความฝัน

นั่นคือมนุษย์ที่ “จำได้” ว่าตนปณิธานสิ่งใดไว้ต่อเบื้องบน

เราจะเห็นมนุษย์บางผู้เพิ่งรู้ตัวว่าอยากทำสิ่งใดบนผืนโลกนี้

นั่นคือมนุษย์ที่ “เพิ่งจำได้” ว่าตนปณิธานสิ่งใดไว้ต่อเบื้องบน

เราจะเห็นมนุษย์บางผู้ปล่อยชีวิตเลื่อนลอยไปวัน ๆ

นั่นคือมนุษย์ที่ “ลืม” ว่าตนปณิธานสิ่งใดไว้ต่อเบื้องบน

มนุษย์ทุกผู้ต่างตั้งปณิธานก่อนถือกำเนิดเสมอ

มิเช่นนั้นไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้

 

เบื้องบนไม่ยินยอมให้มนุษย์ที่ไม่มีความฝันจะทำให้โลกสูงส่งมาถือกำเนิดดอก

เราเพียงลืมคำปณิธาน

เรามีมือที่พร้อมจะทำสิ่งยิ่งใหญ่กันคนละอย่าง

เรามีดวงตาที่พร้อมจะมองเห็นคุณค่าในบางสิ่งที่ไม่เหมือนกัน

เรามีสมองที่พร้อมจะสร้างสรรค์ความมหัศจรรย์ที่แตกต่างกัน

เรามีหัวใจที่พร้อมจะให้บางอย่างแก่เพื่อนมนุษย์ในคนละแบบ

 

คุณเท่านั้นที่รู้ว่าตนเองปณิธานสิ่งใดไว้กับเบื้องบนก่อนถือกำเนิด

คุณที่จำคำปณิธานได้ จงมุ่งมั่นทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อไป

คุณที่จำคำปณิธานไม่ได้ จงคิดทบทวนถึงอดีตที่ผ่านมา

ตอนคุณยังเยาว์ ทั้งเยาว์วัยและเยาว์วุฒิ

คำปณิธานชัดเจนนัก

ตอนนั้นคุณฝันอยากเป็นอะไร

ตอนนั้นคุณฝันอยากทำอะไร

ตอนนั้นคุณฝันอยากใช้เวลากับสิ่งใด

นั่นแหละ ปณิธานที่ให้ไว้ก่อนถือกำเนิด

 

คุณทุกคนมีปณิธานที่อยากเปลี่ยนโลกเสมอ

มนุษย์มีพลังเปลี่ยนโลกเสมอ

 


 

นรีเรขา

นรีเรขา

นามปากกาของ อรวรรณ ฤทธิ์ศรีธร จบปริญญาตรี-โท จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม สาขาภาษาไทยทั้ง 3 ใบ ปัจจุบันนั่งเขียนทั้งงาน non-fiction และ fiction ตามแต่ dopamine และ synapses ในสมองจะจูงมือพาไป

บทกวีของสัมภเวสี

 

 

ตื่นจากตาย

เห็นภาพ

ยินเสียง

ดมกลิ่น

รับรส

รู้ร้อนหนาว

แต่ไม่รู้อิ่ม, หยิบจับไม่ได้

 

หินตรงหน้า ไม่นับเดือนปี

คว้าก้อนหินไม่ได้ จึงไร้เหตุผลนับเวลา

 

ชีวิตเหมือนเรื่องเล่าอีกฟากทะเล

จำได้เพียงน้ำตาตอนสิ้นใจ

ยังรู้รสน้ำตา

ดำรงอยู่เกินอายุขัย

ศตวรรษล่วงผ่าน

ป่าล้มหายเป็นหนทาง

หมู่บ้านงอกเงยจากลำธาร

ฉันยังอยู่

เพื่อหนีอะไร?

เร่ร่อนค้นหาสิ่งใดงั้นหรือ?

พรุ่งนี้ก็อีกปี

มะรืนก็อีกร้อยปี

ถึงมะรืน รสชาติเวลาคงคล้ายฟาง

 

ฉันเคยเห็นคนตายกลายเป็นความมืด

คนสีดำเด่นชัดในสีดำ

ฉันจะมืดมิดเพราะน้ำตาหยดนั้นไหม

นกตัวหนึ่งร้องเพลงบนกิ่งไม้

ว่าทิ้งโลกที่กอดไว้ จะหยุดร้องไห้

น้ำตาแห้ง จึงโบยบิน

 

โอ้… ฉันใฝ่ฝันจากไป

ความตายเมื่อร้อยปีก่อนไม่ได้มอบให้

ฉันจึงอภัยที่ฆ่าฉัน

อภัยให้ตัวเอง

แต่ให้คนรักไม่ได้

กลิ่นกอดเธอหายไปทศวรรษไหน

ไม่รู้จักเธอแล้ว

ใครช่วยบอกได้

ฉันอยากอภัยเธอ

กี่พรุ่งนี้

จึงทิ้งโลกใบสุดท้ายในอ้อมกอดสำเร็จ

 

 

 

 


ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

Kappasaisai@gmail.com

นักเขียนผู้หลงใหลการลับมีด เจ้าของเรื่องสั้น "ชายชราเบาหวาน" ที่ได้รับรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดประเภทเรื่องสั้น ปี 2555 ปัจจุบันใกล้จะมีนวนิยายของตัวเอง 1 เล่ม กับสำนักพิมพ์ Boligraf Book ยังคงเขียนงานอยู่อย่างต่อเนื่องที่บ้านของตน

MANTA RAY

 

ปีกบินร่อนตัดวาดฟองอากาศแตกตัว

จังหวะทรงพลัง ไหวเคลื่อนเนิบช้า

คอยสีสมุทรซึมแทรกเฉดปรัสเซียนบลู

ไหลผ่านชีวิตปลาปีศาจดึกดำบรรพ์

ฝังความรู้สึกส่วนลึกในตัวกระเบนราหู

 

ท่วงท่าเหินลังกาพาตัวสงบ

วนแหวกเหยื่อตื่นตระหนกเป็นวงรอบ

เลาะร่ายมนตร์แผ่รังสีความหลงใหล

แพลงก์ตอนนับล้านลอยล่องหยาดระยิบ

เข้าโพรงปากง่ายดายตามระยะเคลื่อน

ราวจุดดับแสงเลือนหายในหลุมดำ

 

นักท่องล่องเคลื่อนผ่านทุกสภาพผันแปร

ร้อนจรดหนาว ไม่สิ้นสุด มหาสมุทร

แม้นดิ่งลึกจุดเยือกแข็งจับอณูผิว

ระบบเลือดหลอมหลั่งสั่งสมองอุ่น

อัศจรรย์โครงสร้างวิวัฒน์หลายล้านปี

 

 

 

ฤดูเปลี่ยนพลัดถิ่นอพยพ

ชักนำเงาพายุดำคลั่กกลางสมุทร

วงกตสายลมปลุกคลื่นยักษ์สาดซัด

เสียงกระหน่ำคร่ำครวญระลอกสับสน

กระเบนจำลาร่อนเร่จากเขตน้ำลึก

รอนแรมติดปลายแหลมตื้นเขินใต้เกาะ

 

รอเวลาทุกอย่างหวนกลับมา

เฝ้าถอดรหัสมรสุมไขความในใจ

เคลื่อนพาเคี่ยวเข็ญจนเข้มแข็ง

การเปลี่ยนแปลงวนเวียนเวียนวน

มั่นคงเป็นเส้นตรงเหลือคณา

 

ถึงเวลาทุกอย่างหวนกลับมา

เสาะแสวงหาที่ทางสงบ

กระเบนราหู

 


 

ปภาตพงศ์ วันภักดี

ปภาตพงศ์ วันภักดี

จบการศึกษาระดับบัณฑิต และระดับมหาบัณฑิต จากคณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เครื่องเอกกีตาร์คลาสสิก ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำโปรแกรมวิชาดนตรีศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร นอกจากจะชื่นชอบในการเล่นดนตรีแล้ว ยังหลงใหลการเขียนบทกวีและงานสร้างสรรค์ทุกรูปแบบ โดยมักได้แรงบันดาลใจจากความรู้สึกภายใน ความทรงจำในวัยเด็ก และธรรมชาติรอบตัวที่กระทบกับความรู้สึกในขณะนั้น

นกเสรี

 

สวมมงกุฎหนามแหลมบนหัวฉัน
เปลี่ยนโลกสวยใบนั้นเป็นโลกร้าย
จากเจ้าหญิงแสนงามตามเจ้าชาย
เป็นนางมารผู้พ่ายโลกพิการ
.
ยิ้มไว้ ยิ้มไว้ นะคนดี
โลกใบนี้มิไร้เยื่อใยหวาน
ปีกเสรีที่ไร้พันธนาการ
จะพาเธอพบพานธารรื่นรมย์
.
ขยับปีก ขยับปีก อีกสักนิด
ข้ามให้พ้นถูกผิดโลกติดหล่ม
ทั้งจารีตประเพณีที่นิยม
เพียงเส้นผมบังภูเขาให้เรากลัว
.
เงยหน้าสิ เงยหน้า ช้าๆ หน่อย
ก็แค่วันฝนปรอยฟ้าสลัว
ผนึกใจเข้าไว้กับตนตัว
จะดี-ชั่ว เธอนั้นเป็นผู้คิด
.
โอ้ เห็นไหม เห็นไหม ขอบฟ้านั่น
ระเรื่อแสงแห่งวันฝันสถิต
ทาบทองทาดั่งเทวานฤมิต
เป็นของขวัญชีวิตและจิตใจ
.
จงโบยบิน โบยบิน โบยบินเถิด
ดวงวิญญาณจะล้ำเลิศราวเกิดใหม่
เสรีภาพมีค่ากว่าอื่นใด
เถิดรักษาอย่าให้ใครปล้นชิง
.
มิอาจพรากในนามแห่งความรัก
มิอาจผลักไสไปให้บางสิ่ง
อิสระสัจธรรมย้ำความจริง
โลกมิอาจหยุดนิ่งเพียงเพื่อใคร
.
หยิบมงกุฎหนามแหลมแล้วโยนขว้าง
โลกกลับไม่อ้างว้าง ใช่หรือไม่
ภูเขาสูง ทะเลกว้าง ทางแสนไกล
ล้วนสร้างไว้ให้ปีกเธอคนดี
.
สวมมงกุฎหนามแหลมบนหัวฉัน
คือวันนั้นซึ่งหัวใจไร้ศักดิ์ศรี
อย่าถามไถ่บินไปไหนในวันนี้
นกเสรี ! สุขใจเพียงได้บิน

 


 

แม่น้ำ เรลลี่

แม่น้ำ เรลลี่

โลกคือบ้าน หนังสือคือเพื่อน บทกวีคือชีวิต หลงรักการเขียนบทกวีทั้งรูปแบบฉันทลักษณ์และไร้ฉันลักษณ์ ปัจจุบันเป็นครูสอนภาษาอังกฤษและนักแปล

ปีใหม่หรือ?

 

ปีใหม่หรือ?
.
คงคล้ายๆ กับพรุ่งนี้นั่นแหละ
มันเติบโตขึ้นอีกหนึ่งวัน
ล้างหน้าแปรงฟันที่จุดเดิม
ยาสีฟันลดลงนิดหน่อยจากเมื่อวาน
แต่มันก็ยากจะสังเกตเห็น
กับทั้งชีวิตที่โตขึ้น และยาสีฟันที่ลดลง
.
แตกต่างไปอย่างไร
มันได้นอนหลับๆ ตื่นๆ
กินเหมือนเดิม
ขับถ่ายเหมือนเดิม
มีหวังขึ้นบ้างเล็กน้อยจากบรรยากาศรอบตัว
แต่แล้วก็อาจหมดหวังจากบรรยากาศเดียวกัน
.
มองย้อนไปตลอดทั้งปี
มันก็เห็นเฉพาะที่อยากจะเห็นนั่นแหละ
มันลืมอารมณ์ของเดือนกุมภาฯ
หรือลืมกระทั่งความเจ็บปวดในเดือนถัดมา
ปีทั้งปี มันบ่นว่ามันเจ็บปวด สาหัส
แต่มันก็เจอมาทุกปี แค่อาจรู้สึกมากหน่อย
เพราะแผลยังสดใหม่เท่านั้น
เรื่องดีก็มาก เรื่องเลวก็เยอะ
ชีวิตมันก็แบบนี้
.
แล้วมันก็พบกับคุณคนหนึ่ง
คุณที่มุ่งมั่นอย่างสุดใจ
ปีหน้าคุณจะดีขึ้น คุณบอกแบบนั้น
แต่ไม่รู้ว่าคุณเชื่ออย่างนั้นไหม
คุณขอบคุณตัวเองที่พาชีวิตผ่านมาได้
แต่คุณไม่เคยตำหนิตัวเองที่ผ่านมาได้ไม่ดี
ต้องคิดแบบไหน มองอย่างไรดี
ชีวิตมันดีอยู่แล้ว หรือแค่ปัดทิ้งไปก่อน
คืนข้ามปีนะโว้ย ทำให้มันดีดี คิดให้มันดีดีสิวะ
.
มันไม่รู้ต้องทำอย่างไรเหมือนกัน
ชีวิตมันปกติขนาดนี้
หนังสือสวดมนต์วางอยู่ที่เดิมเหมือนเหล้าขวดนั้น
มันก็อยู่ที่นี่ ที่เดิม
มองพระจันทร์คืนนี้แบบไม่เข้าใจ
และคงไม่ตื่นเต้นอะไรกับดวงอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้
.
เสียงเพลงเปิดกระหน่ำเปลี่ยนไปอีกเพลงแล้ว
แต่อีกไม่ถึงวันก็คงเงียบลง
เหมือนเปลวดอกไม้ไฟหรือพลุแสนสวย
ที่สว่างวาบแล้วจางหาย
วินาทีที่ดับลงนั่นแหละ กลับช่างน่าสนใจ
ว่ามันมองเห็นอะไรในความมืดดำ

 

Photo by Stephanie McCabe on Unsplash


 

เอกสิทธิ์ เทียมธรรม

เอกสิทธิ์ เทียมธรรม

ทำงานบรรณาธิการเป็นหลัก มีผลงานเขียนเล็กน้อย ใช้เวลาส่วนใหญ่คิดแคปชั่นคมๆ ให้ สนพ. สมมติ

นาฬิกาสามเรือนในบ้าน

 

 

เรือนหนึ่งตรงเวลา

เรือนสองช้ากว่า

อีกเรือนคล้ายหยุดนิ่ง

ยังกระดิกเป็นจังหวะ

แม้แทบมองไม่เห็น

ระยะทางเคลื่อนเข็ม

แต่ละเรือนทำหน้าที่

ติ้กต่อกบอกจังหวะ

สม่ำเสมอ-แตกต่าง-สอดประสาน

เวลาคืออะไร?

สายลมพัดผ่าน

เข็มสั้นยาวเคลื่อนวน

ความทรงจำอัดแน่น

ลมหายใจติดขัด

การพบและจากลา

เวลาลักษณะอย่างไร?

เร็วช้า สั้นยาว หนักเบา

เวลาไม่หวนกลับจริงหรือ?

หรือได้ แต่เกินรับรู้

ทำไมหน้าปัดต้องเป็นวงกลม

ทำไมเข็มจึงต้องวิ่งวนเป็นวงกลม

หรือเวลาหวนกลับเสมอ

ในแบบของมัน

ทำไมบ้านหลังหนึ่งต้องมีนาฬิกาตั้งมากมาย?

แล้วพ่อก็ซื้อเรือนที่สี่เข้าบ้าน

คงเพราะกลัวเราไม่รู้เวลา

ยิ่งมีมากมาย 

ยิ่งสงสัยและอยากรู้เรื่องเวลา

เราแค่รู้เวลา

แต่เราไม่รู้จักเวลา

ยิ่งมีมากมาย 

ยิ่งไม่เชื่อว่าเรือนแรกตรงเวลา

 


อิสราวสี

อิสราวสี

เก็บเล็กผสมน้อย จนกลายเป็นบทกวีกระจ้อยร่อยแต่ละบท

 

ความจริงที่คุณไม่ได้พูดออกมา

 

ฉันอยากฟังเสียงฝีเท้าปราดเปรียวของกวางป่า
น้ำตกกระหน่ำหยดน้ำลงพื้น
การตอกรูสร้างรังของนกหัวขวาน
เเสงอาทิตย์เคล้าเสียงคลื่นทะเลยามเย็น
ค่ำคืนที่หริ่งไพรนับพันร้องระงมเป็นเสียงเดียว
หยาดฝนหลงฤดูพร่างพรมกระทบเเผ่นสังกะสี
รวงข้าวเขียวสดปลิวไสวผ่านสายลม
ส้นสูงของเเอร์โฮสเตสซึ่งย่ำลงอย่างระเเวดระวัง
เสียงหอบของนักปีนเขาในเอเวอเรสต์
เกือกม้าควบวนในสนามเเข่งไร้ผู้ชม
รถไฟที่เเล่นไปยังชายเเดนใต้
ธารน้ำเเข็งที่ทลายลงใต้มหาสมุทรในขั้วโลกเหนือ
สายฟ้าคำรามผ่านเเสงออโรราหลากสี
คำพูดเบื้องหลังการป่าวประกาศหาเสียง
อาการหลงรักที่ไม่เคยได้สารภาพ
ความเงียบสงัดในเชอร์โนบิล
เสียงสวดมนต์ก้องสะท้อนบนยอดเขาในทิเบต
เปลวไฟสงครามที่กำลังมอดดับในฮิโรชิมา
ฤดูกาลในนรกเเละความเจ็บปวดบั้นปลายของเเรงโบด์
เสียงหัวเราะสุดท้ายของเเม็คเเคนด์เลสส์ในอลาสกา
คำบรรยายของเเวนโก๊ะถึงธีโอในจดหมายฉบับเเรก
รอยยิ้มมุมปากของโมนาลิซา
บทเพลง 4.33 ที่เคจร่วมบรรเลงในห้องพิพากษา
นิทานที่ผู้เล่าเริ่มเรื่องด้วยกาลครั้งหนึ่งนานมาเเล้ว…
เเละความจริงที่คุณไม่ได้พูดออกมา

 


 

ปภาตพงศ์ วันภักดี

ปภาตพงศ์ วันภักดี

จบการศึกษาระดับบัณฑิต และระดับมหาบัณฑิต จากคณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เครื่องเอกกีตาร์คลาสสิก ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำโปรแกรมวิชาดนตรีศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร นอกจากจะชื่นชอบในการเล่นดนตรีแล้ว ยังหลงใหลการเขียนบทกวีและงานสร้างสรรค์ทุกรูปแบบ โดยมักได้แรงบันดาลใจจากความรู้สึกภายใน ความทรงจำในวัยเด็ก และธรรมชาติรอบตัวที่กระทบกับความรู้สึกในขณะนั้น

error: