ศุกร์เสาร์อาทิตย์ 16-17-18 ของเดือนพฤศจิกายน น่านยังไม่มีลมหนาวและแดดฤดูนี้ก็ทะลุทะลวงหนังกำพร้าเข้าไปทักทายชั้นหนังแท้เป็นว่าเล่น ต้องเช้าอย่างยิ่งหรือดึกสงัด น่านจึงจะเย็นสบาย จะหนาวหรือไม่หนาว ผู้คนก็ทยอยมาถึงและรวมพลกันที่บ้านๆ น่านๆ ห้องสมุดแอนด์เกสต์โฮมตั้งแต่วันที่ 16 ส่วนทีมงานจัดสถานที่และตระเตรียมความเรียบร้อยต่างๆ น่าจะอยู่โยงกันมาตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนหรือก่อนหน้านั้น
ราวเดือนกันยายน ฉันได้รับข้อความ “อาจารย์ชโลมใจบอกจะมีงานอ่านบทกวีที่น่าน” ตอนนั้นยังไม่เผยชื่องาน เพียงได้รู้ว่าจะมีงานอ่านบทกวีก็แอบดีใจไว้ก่อนแล้ว เดือนตุลาคม “NAN POESIE” เริ่มกระจายข่าวบอกกล่าวผู้สนใจ ฉันเองก็กระตือรือร้นจองตั๋วโดยสาร ต้นพฤศจิกายน เราได้เห็นคลิปเชิญชวน พร้อมทั้งรายชื่อกวี ศิลปิน ทีมงานผู้แข็งขัน และผู้สนับสนุนกิจกรรมอย่างเป็นทางการ ในตอนนั้นเองที่ฉันตระหนักว่า งานนี้ใหญ่กว่าที่คิดไว้
งานนี้ใหญ่กว่าที่คิด ไม่ได้หมายถึงจำนวนคนเข้าร่วมหรือปริมาณบทกวีที่ท่องอ่าน แต่คือกิจกรรมที่แวะเวียนและคำนึงถึงชุมชน ครอบคลุมไปถึงนักเรียนในพื้นที่จังหวัดน่านทั้งในอำเภอเมืองและต่างอำเภอ ก็นักเรียนเหล่านี้ไม่ใช่หรือที่มีโอกาสจะได้รู้สึกถึงพลังของบทกวีต่อไปในอนาคต
ใครจะคิดว่าน่านที่เล็กและเงียบนั้น วันหนึ่งจะลุกขึ้นมาเอ่ยบทกวีด้วยเสียงดังจับใจ
ถ้าพูดถึงสังคมอุดมศิลปินในทางภาคเหนือ ภาพลักษณ์ด้านบทกวีเพียวๆ ดูเหมือนว่ายังไม่มีจังหวัดไหนจับจองพื้นที่
ในปีนี้ “น่านโปเอซี” ที่เริ่มต้นขึ้นอาจเป็นดั่งหมุดหมายสำคัญที่สะท้อนให้เห็นมิติความเป็นกวีของเมืองน่านและคนน่าน
น่านโปเอซีครั้งแรกนี้มีกิจกรรมน่าสนใจอะไรบ้างนะ?
- ศิลปินเสวนา – งานเสวนาที่นำให้ศิลปินทั้งกวีและจิตรกรได้มาพบและพูดคุยกับนักเรียนที่น่าน
- งานอ่านบทกวี – การอ่านบทกวีต่อเนื่องยาวนานร่วมสองชั่วโมง ทั้งตอนกลางวันและยามค่ำคืน โดยกวีไทยและเทศ ทั้งกวีรับเชิญและกวีอาสา
- นิทรรศการภาพเขียน – “เพราะเธอคือบทกวีของชีวิต” ของ สุมาลี เอกชนนิยม จัดแสดงภายในบริเวณห้องสมุดบ้านๆ น่านๆ
ศิลปินเสวนา พบหน้านักเรียนน่าน
วันที่ 16 พฤศจิกายน เป็นวันแรกของเทศกาลน่านโปเอซี เริ่มเปิดงานอย่างเป็นทางการที่หออัตลักษณ์นครน่าน จากนั้นจึงเป็นการที่ศิลปินได้พบปะพูดคุยกับบรรดานักเรียนในจังหวัดน่าน เริ่มต้นที่หออัตลักษณ์นครน่านแล้วไปต่อที่โรงเรียนมัธยมป่ากลางที่อำเภอปัว
ที่หออัตลักษณ์นครน่าน น้องๆ นักเรียนนั่งฟังสุมาลี เอกชนนิยม และซะการีย์ยา อมตยา สองศิลปินผู้มีผลงานในระดับนานาชาติด้วยความตั้งใจ พุทธิดา นิพพานนท์ ผู้ดำเนินรายการในครั้งนี้ได้ชวนคุยถึงประเด็นน่าสนใจต่างๆ ทั้งเรื่องราววัยเยาว์ เหตุการณ์ที่นำให้ทั้งสองก้าวเข้าสู่แวดวงการวาดและการเขียน รวมถึงทัศนะของทั้งคู่ที่มีต่อการสร้างสรรค์งาน เรื่องเล่าต่างๆ ได้สะท้อนให้เห็นถึงเส้นทางของศิลปินที่คนหนึ่งสื่อสารด้วยเส้นสี ส่วนอีกคนสื่อสารด้วยอักษร
จากกิจกรรมนี้เชื่อได้ว่าน้องนักเรียนบางคนกำลังประมวลผล มีคำถามที่จะยังวนเวียนครุ่นคิดอยู่กับตนเองต่อไป และเมื่อเติบโตขึ้น บางคนอาจหวนกลับมานึกถึงบางประโยคของวันนี้
นอกจากเสวนาช่วงเช้าแล้วยังมีกิจกรรมระหว่างศิลปินกับน้องนักเรียนโรงเรียนมัธยมป่ากลางที่อำเภอปัวด้วย กิจกรรมส่วนนี้ฉันไม่ได้ติดตามไปเพราะเลือกที่จะจัดห้องสมุดอยู่ที่บ้าน ๆ น่าน ๆ แต่ก็พอจะเดาจากภาพบรรยากาศที่เห็นจากเพจเฟซบุ๊กของบ้านๆ น่านๆ ได้ว่าคึกคักและน่าจะเป็นกิจกรรมที่ทำให้น้อง ๆ เกิดแรงบันดาลใจในการค้นหาตัวตนและใครบางคนอาจเริ่มเขียนมากขึ้นหลังจากวันนี้
งานอ่านบทกวี เพราะบทกวีไม่ใช่ตัวประกอบ
ระหว่างอ่านในใจกับอ่านออกเสียง ระหว่างดูการถ่ายทอดสดผ่านหน้าจอกับนั่งหน้าเวทีรอฟังคนอ่านบทกวี ความรู้สึกที่ได้จะแตกต่างกันขนาดไหน? บางสิ่งเราไม่เห็น ไม่ได้ยิน ถ้าเราไม่ได้อยู่ใกล้ บางสิ่งเราไม่อาจรับสัมผัสและรู้สึก หากเราไม่อนุญาตให้บทกวีเปล่งเสียง
“คนเราต้องมาเจอหน้ากันตัวเป็นๆ บ้าง และบทกวีในงานอ่านบทกวีต้องไม่ใช่ตัวประกอบ” เหมือนฉันจะได้ยินวรพจน์ พันธุ์พงศ์เปรยไว้อย่างนั้น
เมื่อเย็นวันที่ 17 เริ่มต้นด้วยการเชิญธง NAN POESIE สีแดงสดขึ้นสู่ยอดเสา อันเป็นสัญลักษณ์แสดงถึงคุณค่าของบทกวี และการแนะนำนิทรรศการภาพเขียน ชุด “เพราะเธอคือบทกวีของชีวิต” ของสุมาลี เอกชนนิยม ซึ่งมีทั้งภาพธรรมชาติที่ได้แรงบรรดาลใจจากการมาพำนักที่น่าน และภาพเหมือนของบุคคลต่างๆ
หลังจากนั้นโมงยามแห่งการอ่านบทกวีก็เริ่มต้นขึ้นที่บ้านๆ น่านๆ
กิจกรรมการอ่านบทกวีในค่ำคืนนี้ประเดิมด้วย “บทกวีคือการทรยศ” ของวาด รวี ก่อนที่พันธวัฒน์ เศรษฐวิไล พิธีกรประจำงานอ่านบทกวีจะเชิญกวีคนอื่นๆ จะออกมาร่ายเรียงถ้อยคำของตน ตั้งแต่ยามเย็นไปจนค่ำคืนมีกวีที่มาร่วมอ่านบทกวีจากหลากหลายที่ทั้งไทย พม่า อเมริกา แคนาดา
บางคนมาพร้อมดนตรีประกอบการอ่าน บางคนมาด้วยลีลาและท่วงท่าน่าจดจำ บางคนสั่นไหวด้วยตื่นเต้น บางคนนิ่งสงบแผ่วเบาแต่ส่งผ่านบทกวีหนักแน่น บางคนขู่ตะคอกให้เราตื่นจากภวังค์ เนื้อหาสาระในบทกวีก็มีทั้งเรื่องความสัมพันธ์ของคนสองคน ของคนสามคน ไปจนกระทั่งกล่าวถึงระบบต่างๆ ในสังคม
นอกจากนี้ หลังจากจบช่วงการอ่านบทกวีแล้ว ก็ยังมี performance art ณัฐนัท สุดฤทธิ์ ให้ผู้ชมได้รู้สึกนึกคิดปิดท้ายด้วย
ส่วนวันที่ 18 ก็อ่านบทกวีภายในตึกรังษีเกษมอันเป็นอาคารเก่าแก่จัดแสดงวัตถุโบราณที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์โรงเรียนน่านคริสเตียน วันนี้มีน้องๆ นักเรียนจากโรงเรียนน่าคริสเตียนมาร่วมฟังด้วย
การอ่านบทกวีรอบนี้มีทั้งกลอนเปล่าและฉันทลักษณ์โคลงสี่สุภาพ บางบทมีเนื้อหาเกี่ยวข้องกับพระเจ้าและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ บางบทก็นำเสนอชีวิตเรียบง่ายของการเดินทางในย่างกุ้งและลงท้ายด้วยคำถามที่กระแทกใจว่าด้วยการถามหาประชาธิปไตย
จากนั้นครูต้อมหรืออาจารย์ชโลมใจ ชยพันธนาการก็ได้กล่าวสรุปปิดเทศกาลอ่านบทกวีน่านโปเอซีและขอบคุณผู้สนับสนุนและทีมงานทุกคน
เราต่างเดินทางไกลเพื่อมาใกล้กัน นั่งฟังบทกวีทั้งกลางวันและกลางคืน
ไม่ใช่บทกวีเพียงสองสามบทแล้วลาจากกันไป
ไม่ใช่เพียงสองสามบทเพื่อเกริ่นเข้าเรื่องอะไรสักอย่าง
แต่คือบทกวีสิบหรือยี่สิบบทที่แตกต่างหลากหลาย
ทว่าให้รู้สึกเท่าเทียม
นิทรรศการภาพเขียน – “เพราะเธอคือบทกวีของชีวิต”
ภาพวิวทิวทัศน์และธรรมชาติที่ได้รับแรงบันดาลใจจากบรรยากาศของเมืองน่าน รวมถึงภาพเหมือนบุคคลปรากฏอยู่ตามแต่ละจุดของห้องสมุดบ้านๆ น่านๆ
สุมาลี เอกชนนิยม ศิลปินอิสระ อดีตอาจารย์คณะศิลปวิจิตร สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์ ปัจจุบันมอบเวลาเต็มที่ให้แก่การวาดภาพ นิทรรศการนี้เป็นงานที่สุมาลีสร้างสรรค์อย่างมีความสุขเพราะไม่ต้องคอยรับโจทย์จากใคร เธอเขียนและวาดจากอารมณ์ความรู้สึกของตนเองล้วนๆ ในช่วงชีวิตหลังเกษียณอายุราชการที่สามารถทุ่มเทเวลาได้เต็มที่กับการสร้างงานศิลปะแต่เพียงอย่างเดียว
นิทรรศการ “เพราะเธอคือบทกวีของชีวิต” จะจัดแสดงอยู่ในบริเวณห้องสมุดบ้านๆ น่านๆ จนกระทั่งถึงเดือนมกราคม 2562 เพราะฉะนั้น หากใครมีแผนจะเที่ยวน่านในช่วงธันวาคมปีนี้ถึงมกราคมปีหน้าก็เป็นโอกาสดียิ่งที่คุณจะได้ชมนิทรรศการนี้ด้วย
กิจกรรมต่างๆ ในงานน่านโปเอซี ทั้งการเสวนา การอ่านบทกวี นิทรรศการงานศิลป์ และศิลปะการแสดง ล้วนเชื่อมโยงกันด้วย “บทกวี”
บ้างมีบทกวีเป็นแรงบันดาลใจในการสร้างสรรค์งาน บ้างก็สร้างสรรค์งานออกมาเป็นบทกวี และในบางขณะ “บทกวี” ก็ไปได้ไกลมากกว่าการเป็นเพียงถ้อยคำ
งานศิลปะแขนงอื่นอย่างเช่นภาพเขียนของสุมาลี เอกชนนิยม หรือศิลปะการแสดงของณัฐนัท สุดฤทธิ์ก็มีพลังและอาจพิจารณาได้ว่าเป็นบทกวีรูปแบบหนึ่งด้วยก็ได้
ในงาน NAN POESIE ไม่มีสูงต่ำในบทกวี กวีหนุ่มกวีสาว ไร้ฉันทลักษณ์หรือเต็มไปด้วยรูปแบบและกฎเกณฑ์ ถ้อยคำสามัญหรือสูงส่ง เนื้อความแคบแค่เพียงตัวเราหรือกว้างเท่าจักรวาล จังหวะกระชั้นถี่หรือเนิบช้าทิ้งช่วง แตกต่างหลากหลายแต่ล้วนเคารพซึ่งกันและกัน
บทกวีไม่ได้สอนให้คนแบ่งชั้น บทกวีไม่ได้สั่งให้คนแบ่งฝ่าย น่านโปเอซีเป็นงานเรียบง่าย ที่ด้นสดอย่างสร้างสรรค์ในบางขณะ
ฉันหวังว่าจะได้พบน่านโปเอซีอีกในปีต่อๆ ไป
เทศกาล NAN POESIE พื้นที่ที่บทกวีสำคัญเท่าชีวิต และทุกชีวิตเท่ากัน
แล้วพบกันอีกนะ 🙂