ชบากลับมาที่ร้านหนังสือที่ทำงานอยู่ตอนหัวค่ำ  ฝนซาเม็ดแล้วแต่เธอยังพยายามโพสต์รูปฝนตกซ้ำ ๆ ฉันเฝ้ามองผ่าน ๆ โดยไม่ได้กดไลค์อะไร  เราต่างจดจ้องกันผ่านหน้าจอ  ชบา คือใคร อย่างน้อยผู้หญิงคนหนึ่งกับดอกไม้คงไม่น่ากลัวอะไรในโลกโซเซียลอันไร้ใบหน้า เธอชอบดอกโมก เธอว่ามันเล็ก ๆ หอม เธอแจ้งให้ฉันรู้จักทางกล่องข้อความว่าเธอมีตัวตนที่ร้านหนังสือแห่งหนึ่ง

 

ฝนตกเหมือนน้ำตาของหญิงสาว  –  ฉันชอบเขียนคำนี้   ฉันไปที่ร้านหนังสืออยู่สองสามครั้งโดยไม่มีใครรู้จักฉัน เหมือนกับฉันที่เอาแต่เดินสวนทางกับคนอื่น ๆ  พวกนักท่องเที่ยวกลับมาที่นี่เหมือนต้องมนตร์ภาพวาดที่แจกจ่ายไปทั่วโลก  ฉันไม่รู้ว่านักศึกษาฝึกหัดในร้านคนใดชื่อชบา  เธอเองก็คงไม่รู้จักฉัน คนที่เอาแต่โพสต์รูปดอกไม้อันแสนสวย

 

ค่ำคืนที่ฝนตกไม่หยุด  ในซอย 17  ถนนนิมมานเหมินทร์  ใกล้ ๆ  กันนั้น  มีนิทรรศการ   Plot Elements : เรื่องราวยังคงดำเนินต่อไป  ฉันอยากไปที่นั่น  ใจจะขาด แต่ใจฉันก็ขาดรอนเสียก่อน  ตอนที่ฉันกลัวว่าใครบางคนจะรอพบฉันอยู่ที่นั่น  มองเรื่องราวที่ยังคงดำเนินต่อไป เรื่องราวที่ไร้แก่นสารเหมือนมวลที่เคลื่อนผ่านวัตถุต่าง ๆ   ใครกันกำหนดว่าสายน้ำไม่มีทางหวนกลับ

 

นิทรรศการที่กำลังแสดงภาพวาดของเขา แต่ฉันได้แต่มองภาพวาดเหล่านั้นผ่านหน้าจอ  มองเขาที่ยืนมองภาพวาดของตัวเอง เลื่อนไหลและสิ่งที่ฉันจดจำได้คือถ้อยคำทุกคำของเขา  เหมือนที่เขาช่างไร้ใบหน้า  เป็นอยู่อย่างนั้น

 

ช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับฉันวิ่งผ่านไปเหมือนสายฝน  สายฝนที่วิ่งตามก้อนเมฆ ลมพัดหนหนึ่งเมฆก็เคลื่อนที่  ฝนเคลื่อนที่  กุหลาบกลีบบางพยายามทรงตัวอยู่ให้ผ่านพ้นมันไป มีเพียงคำว่า รอดแบบชอกช้ำ กับ แหลกสลาย

 

แต่เมื่อเวลาวิ่งผ่านเหมือนสายฝน  มันกลับมาตกใหม่ในเวลาที่เปลี่ยนแปลงไป

 

ชบาถามฉันเรื่อง สีน้ำ  –  “พี่ชอบสีน้ำมากเหรอคะ”

 

ฉันกลับมาตั้งหน้าตั้งตาหัดวาดภาพต่าง ๆ  ด้วยสีน้ำ  มุ่งมั่นจะวาดให้มันเป็นสิ่งแทนตัวฉันให้ได้  ด้วยฉันไม่มีทางจะวาดสีน้ำให้เหมือนของจริงได้เลย  สิ่งเดียวที่ทำได้คือปล่อยให้น้ำเคลื่อนที่ไปตามเส้นทางที่สีและกระดาษจะพาไป

 

ฉันพาตัวเองไปซื้อกระดาษสำหรับวาดภาพ  ฉันเคยได้ยินเขาให้สัมภาษณ์ว่ากระดาษที่ดีทำให้ภาพของเขาดีตาม

 

เรื่องกระดาษนั้น  ฉันอยากเล่า – ฉันจะโกรธจะเกลียด จะแปรความรักเป็นความชัง เป็นไปไม่ได้เลย  ด้วยกระดาษเหล่านั้นยังอยู่  สีขาวบริสุทธิ์เป็นสีของกระดาษ ฉันยังหยิบพู่กันมาวาดสีน้ำ  ฝึกหัดด้วยการถอดรหัสสีให้กลายเป็นตัวอักษร แต้มลงไป เมื่อบทกวีของฉันยังเกิดขึ้นทุกที่ทุกหนแห่ง ในห้วงคำนึง ในสายน้ำตา ในความครุ่นคิด ในรอยกระดาษที่อุ้มน้ำไว้มากเกินไป  องศาที่เอียงของภาพทำให้เกิดภาพที่แตกต่าง บทกวีก็เช่นนั้น ชีวิตก็เช่นกัน

 

“ฉันไม่เคยละทิ้ง”  นั่นเป็นคำสัญญาอันมีความหมายต่อชีวิตที่เหลืออยู่ของฉันเอง

 

เหมือนคำหนึ่งคำเปี่ยมความหมาย แล้วคำล้านคำที่บรรจุอยู่ในเรื่องนั้นเรื่องนี้จะสิ้นสุดได้อย่างไร ฉันถาม ถามตัวเอง สะกดกั้นอยู่ภายใน และตะโกนออกไปด้วยถ้อยคำ

 

ยิ้มให้ใครต่อใครที่เดินสวนทางมา ร้องไห้ให้ตัวเอง

 

ถามคำถามไปยังความว่างเปล่าว่า ทำไม ทำไม พยายามเปล่งเสียงแต่มันกลับออกมาทางดวงตาแทน ไหลรินอย่างช้า ๆ  ไหลกลับเข้าไปในหัวใจ แทนเสียงทั้งหมดที่ฉันไม่ได้กู่ร้อง เงียบหายไป

 

เรื่องราวทุกอย่างยังคงดำเนินต่อไป – ฉันกลับไปยืนที่ริมระเบียงเหมือนเดิม

 

โมกกิ่งนั้นสูงใหญ่ขึ้นจนมาถึงริมระเบียงแล้ว  ฉันคิดถึงเรื่องโมกบาน  สวยงาม  และทำตัวโน้มลงไปกับพื้นดินอย่างช้า ๆ  มิใช่ภาพกลับหัวของโมกที่ฉันวาด เขาเคยตั้งใจมองสิ่งที่ฉันวาดบ้างไหม ฉันไม่ได้วาดกลับหัว  แต่เป็นภาพที่จัดวางอย่างไม่ได้ตั้งใจเพียงครู่ก่อนจะปลดมันลง  มันอาจกลับเข้าไปอยู่ในห้องเก็บของไกล ๆ สักแห่งจากเฟรมกล้อง  ระยะทางอันแสนไกลที่ฉันไม่เคยมองเห็น ความจริงแม้เพียงหนึ่งอย่าง สิ่งที่พวกเขาไม่เคยเห็นจริง ก็ยังคงเป็นสายตาของตัวฉันเอง ไม่ใช่เพียงภายนอก  เหลือเพียงภายในที่หยั่งลึกลงไป  ในระหว่างที่โมกผลิกลีบ ยังมีดอกไม้ชนิดอื่น อยู่ในนั้นด้วย ดอกไม้อื่นที่ฉันเพิ่งจะมองเห็น มันทำให้ความบาดร้าวภายในปริแตกอย่างแยบยล

 

เสียงลึกล้ำที่ฉันได้ยินจริง ๆ  กลั้วด้วยเสียงหัวเราะขำขัน ฉันวิงวอนต่อพระเจ้าสักองค์ได้ไหม  ฉันไม่ได้ขอให้ทุกสิ่งหมุนกลับ  กลับไปในวันที่อากาศของโลกสดชื่น โอโซนเหมือนของบริสุทธิ์  น้ำฝนใสเย็นตกกระทบผืนดินจนได้กลิ่นอันหอมชื้น ที่ไหนสักแห่ง ไม่เลย ฉันไม่ได้คิดว่าสิ่งเหล่านั้นเลือกอยู่ที่ตรงไหน  บนชั้นวางหนังสือ  ในภาพวาดที่ฉันเลือกมาใส่กรอบ สิ่งที่ฉันวาดจากความจริง  ไม่ใช่ความจริงอย่างนั้น  ความจริงที่เราไม่ได้เสแสร้ง

 

ฉันเดินออกมาจากสิ่งเหล่านั้น  ตอนที่โมกเข้าสู่ฤดูสลัดใบ  สีเหลืองทั้งต้นของมัน  มิเคยบอกเล่าว่ามีใครบ้างเฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงเหล่านั้น

 

ฉันพยายามปลูกโมกกอใหม่อยู่ทุกวัน  ต้นที่ฉันถ่ายรูปมันลงเฟซบุ๊กอยู่ตลอดเวลาเกือบห้าปีจนเป็นโรคคลั่งโมก  มันยังอยู่ที่ตรงนั้น  ต้นโมกต้นนั้น มันถูกย้ายมาจากที่เดิมอยู่หลายครั้งหลายหน  แต่มันไม่ยอมตาย รากของมันหยั่งลึกลงไป  ลำต้นใหญ่โตจนไม่มีทางที่ใครจะบอกได้ว่าเพราะอะไร  ฉันตั้งใจจะตอนกิ่งของมันเพื่อให้มันแตกกิ่งก้านออกไปเป็นลูกหลานได้ไม่หยุดยั้ง  มีเพียงบางความหมายเท่านั้นที่จะทำให้มันตายลง  แต่ได้โปรดเถิด มิใช่เพียงว่ามันจะตายลงในวันพรุ่งนี้  เนิ่นนาน นาน นาน หรืออะไรที่นานกว่าคำนี้

 

เฟซบุ๊กของฉัน – ตอนฉันเลิกเล่นเฟซบุ๊กอย่างถาวร  ฉันแอบคิดถึงกระบวนการเป็นไปอันแตกต่างของตัวเอง และต่อมาฉันก็เริ่มเคยชินต่อสิ่งต่าง ๆ  นานา ฉันกลับไปหาท่วงทีอิสระจากการปลดปล่อยภาวะหลงกลของการมีชื่อเสียง การพยายามเผยแพร่  การแสดงตัวตนที่ตรงข้าม มีใครอยู่ที่ตรงนั้น  นิทรรศการที่ยังคงบอกว่าเรื่องราวของผู้คนยังคงดำเนินอยู่

 

เดี๋ยวนี้เฟซบุ๊กของฉันไม่มีดอกโมกอีกแล้ว ผีเสื้อตัวที่เกาะอยู่ที่แขนซ้ายของเขา  ทำไมต้องเป็นแขนซ้าย พันธุกรรมหรืออะไรสักอย่าง  เขาอยู่ที่นั่น  วันที่มีฝนมากกว่าแดด  ฉันอยู่ที่แดดจัดและหมอกหนา เราไม่เคยเรียนรู้แม้กระทั่งลมฟ้าอากาศของกันและกัน  กลีบโมกที่โล้ตัวเล่นลมเป็นเหมือนปุยนุ่น  ผีเสื้อตัวเดิมปล่อยเกสรที่ดอกไม้ฝากไว้ปลายปีก

 

ชบาเขียนมาทางกล่องข้อความว่า เธอรักของเธอไม่ว่ามันจะเป็นอย่างไรก็ตาม แต่ฉันกลับอ่านได้ว่า เธอรักของเธอไม่ว่าเขาจะเป็นอย่างไรก็ตาม  เมื่อเป็นความบังเอิญที่ชบาและฉันโพสต์สิ่งที่เหมือนกันทุกวัน เราต่างกลายเป็นคนรักสิ่งเดียวกัน คนคนเดียวกัน

 

ชบาทำให้ฉันพยายามจะปลูกกุหลาบมากขึ้น มากขึ้น เพื่อการลืมดอกโมก แย่ชะมัด ฉันกลายเป็นดอกโมกไปแล้วจริง ๆ  หน้าหนาวที่แดดจัด โมกสลัดตัวกลายเป็นใบสีเหลือง ร่วงหล่นโดยไม่กล่าวคำอำลา

 

ปาฏิหาริย์ – ฉันมักคิดเรื่องปาฏิหาริย์นี้มาเสียนานหลายปี  เรื่องการให้และเชื่อว่าสักวันใครต่อใครก็จะตอบกลับมา  แม้กระทั่งการกลับไปมองภาพวาดของเขาบนผนังบ้านตัวเอง  เขายังอยู่ที่นั่น เขาอาจคิดว่าสักวัน จนกว่าฉันจะพาตัวเองสู่ภาวะปลดปลง  ปล่อยวาง หรืออะไรสักข้อที่เขาอาจกำลังคาดหวังว่าจะเป็นแบบนั้น  เขาไม่น่าจะแสดงพุทธะเลย ด้วยพระองค์มิได้กล่าวนามต่อการขอขมากรรม ละอัตตา วางการยึดมั่นถือมั่น และไม่มีเหตุผลของการคิดเข้าข้างตัวเอง คิดอย่างเดียวว่า แม้แต่เล็ก ๆ น้อย ๆ เพียงเศษเสี้ยวของการกระทำทาง กาย วาจา ใจ ให้ใครผู้ใด ตนใด ตัวใด (มนุษย์และสัตว์) มีความทุกข์ รู้สึก โกรธ อาฆาต พยาบาท ฯลฯ ให้หยุดที่เรา เราเป็นผู้หยุด

 

ฉันพยายามท่อง  แต่ดูเหมือนฉันไม่ได้บอกเขาหรือไงนะ  ขอพระเจ้าอวยพระพรด้วยเถิด เพื่อให้เราได้มีชีวิต   ฉันอยู่ที่นั่น ตรงที่กระเบื้องหลังคาโบสถ์ถูกถอดลงทีละชิ้น  เรากลับไปที่โบสถ์ เพื่อวาดภาพลงไปที่กระเบื้องหลังคาโบสถ์แผ่นเก่า  ใครสักคนพูดว่า เราจะค้นพบดวงตาของพระเจ้าจากการวาดภาพ

 

ฉันวาดภาพกุหลาบ  แต้มสีตรงกลางด้วยน้ำหนักสีที่หนักที่สุด แล้วผ่อนเบาไปยังปลายกลีบ เพื่อให้สีค่อย ๆ ไหลไปเองตามความปรารถนาของมัน  หยดน้ำของมันจึงเกิดรูปร่างของกุหลาบขึ้นมา

 

กระเบื้องหลังคาโบสถ์ที่ผ่านสายฝนมานับครั้งไม่ถ้วน ฉันตั้งใจให้มันกลายเป็นกุหลาบ

ฝนตกและตก แล้วกุหลาบจะเลือนหาย ไม่นานไปกว่านี้

 

 

 

photo: Daria Shevtsova

 

ปันนารีย์

ปันนารีย์

เป็นคนเชียงใหม่ เคยมีผลงานเล่ม วรรณกรรมเยาวชนเรื่อง "ร่มไม้หนึ่งซึ่งเราตัวเล็ก" เขียนบทกวี เรื่องสั้น วรรณกรรมเยาวชน มีบทกวีทำมือชื่อ "ดอกไม้ปลายปีกผีเสื้อ" วรรณกรรมเยาวชนเล่มใหม่ล่าสุด (ทดลองทำมือเอง) ชื่อ "อีก 10 นาที เราจะกลับไปยังภูเขาแห่งความโดดเดี่ยว" ทุกวันนี้ยังคงทดลองงานเขียนด้วยสุ้มเสียงของเธอเองอย่างสนุกสนาน


 

“เรื่องเล่าต้องมีพล็อตไหม? ต้องมีเอกภาพหรือเปล่า? ตัวละครล่ะต้องชัดเจนแค่ไหน?
เราไม่มีสูตรสำเร็จขนาดนั้นหรอกสำหรับจักรวาลของเรื่องเล่า
เรื่องนี้ไม่ได้มีพล็อตชัดเจนและมีกลิ่นอายบางช่วงบางตอนให้ผู้อ่านปะติดปะต่อความเอง
เด่นในด้านการพรรณนาธรรมชาติเชื่อมโยงกับภาวะจิตใจของผู้เล่า
(ที่อาจอนุมานได้ว่าเป็นตัวละครหลัก)
อ่านแล้วเหมือนมีอะไรลอยอวลอยู่ในบรรยากาศ
บางช่วงบางตอนก็เหมือนอ่านบทกวีที่ปล่อยหมัดใส่เรา”
 
– นิชานันท์ นันทศิริศรณ์

 

 

Comments

comments

You may also like

Leave a comment

error: