จนกว่าเราจะพบอดีต – สมุด ทีทรรศน์

 

โกเมศที่รัก,

 

ฉันยังจำได้ คุณบอกฉันในวันที่เรากำลังจากกันว่ากลิ่นเนื้อและกลิ่นเครื่องเทศที่ติดตัวฉันอยู่จะทำให้คุณติดตามหาฉันในวันข้างหน้า และคุณคงจะกินแต่อาหารประเภทเนื้อและเครื่องเทศตลอดเวลาที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกัน ฉันบอกคุณว่าฉันก็คงคิดถึงกลิ่นผิวมะนาวและกลิ่นเหล้าหวานที่ผสมปนเปอยู่ในตัวคุณ ฉันคงดื่มแต่เหล้าหวานหรือไม่ก็ดื่มน้ำมะนาวตลอดเวลาที่จากกัน และสักวันหนึ่งกลิ่นตัวของเราคงกลายเป็นกลิ่นของกันและกัน คุณไม่อยากให้ฉันกลับบ้านเกิด แต่ฉันก็บอกคุณว่ากลิ่นเนื้อและกลิ่นเครื่องเทศที่อบอวลอยู่ในลมหายใจของฉันทำให้ฉันต้องกลับบ้าน มันไม่ต่างอะไรกับกลิ่นตัวฉันที่ตราตรึงอยู่ในความรู้สึกของคุณ สร้างความโหยหาให้กับคุณ

 

แม่ฉันกลิ่นตัวแรงกว่านี้มากนัก เพราะแม่แทบจะไม่ได้ออกเดินทางไปที่อื่นไกลกว่าหมู่บ้านเลย เมื่อแม่อยู่บ้าน แม่ก็จะอยู่แต่ในครัวทำกับข้าวให้ทุกคนกินตลอดทั้งวัน หรือไม่ก็ตระเตรียมเครื่องปรุงไว้ให้พร้อมเพื่อทำในมื้ออื่นต่อไป เครื่องเทศและเครื่องปรุงจึงติดมือแม่และแทรกซึมเข้าทางผิวหนัง กลิ่นอาหารที่แม่ทำผ่านลมหายใจเข้าออกจนกลายเป็นกลิ่นลมหายใจของแม่ไปในที่สุด และแน่นอนว่ามันได้แทรกซึมเข้ามาในตัวฉันและพี่น้องคนอื่นด้วย แม้ว่าฉันจะไม่กินเนื้อและเครื่องเทศเลย ผิดกับกลิ่นผิวมะนาวและกลิ่นเหล้าหวานเกิดขึ้นเพราะคุณกินมันเข้าไปมากจนแผ่ซ่านออกมาทางผิวหนังและลมหายใจ แต่สำหรับฉันและพี่น้องคนอื่นมันแผ่ซ่านออกมาตั้งแต่เกิด น้ำคร่ำของแม่เสมือนน้ำแกงที่หมักด้วยเครื่องเทศชั้นดี อบร่ำและหมักตัวฉันจนเข้าเนื้อพร้อมคลอดออกมาเป็นอาหารจานหนึ่งได้เลย—เมื่อเล่าถึงตรงนี้คุณก็หัวเราะ ทั้ง ๆ ที่เพิ่งร้องไห้ไป คุณบอกว่าฉันมีเสน่ห์ นอกจากกลิ่นตัวที่เป็นเหมือนกลิ่นอาหารแล้ว ยังมีอารมณ์ขันที่ชูรสให้ฉันยิ่งน่าหลงใหล ฉันยิ้ม มองดูคุณเหมือนเด็กคนหนึ่งที่ได้กินอาหารดั่งใจหลังจากร้องไห้อ้อนวอนมาตลอด ฉันจูบคุณทั้งสองแก้ม น้ำตาคุณไหลออกมาเป็นกลิ่นเหล้าหวานผสมกับเหงื่อที่ออกรสเปรี้ยว ฉันจูบและเลียริมฝีปากเสมือนหยาดหยดแห่งความอาวรณ์นั้นหลั่งออกมาจากดวงตาของฉันเอง คุณบอกขอบใจฉันสำหรับวันเวลาที่อยู่ด้วยกันซึ่งทำให้คุณมีความสุขอย่างไม่อาจหาใดทดแทน—นอกจากแกงเนื้อที่มีเครื่องเทศเข้มข้นอาจทดแทนได้ในเวลาที่คิดถึงฉัน ฉันบอกว่านั่นเป็นทางออกที่ดี แต่หากวันใดคุณเบื่อแกงเนื้อที่มีเครื่องเทศเข้มข้นแล้วจะหันไปกินอาหารประเภทอื่น ฉันก็ยินดี

 

ฉันละไว้ในฐานที่เข้าใจว่าการจากกันในวันนี้คงเป็นการลาจากที่ถาวร เมื่อฉันออกจากประเทศของคุณไปแล้ว จะกลับเข้ามาอีกนั้นเป็นเรื่องยากเกินไป ใบอนุญาตการมาเรียนต่อของฉันได้หมดสิ้นแล้วในวันนี้ และที่นี่ไม่อนุญาตให้ฉันทำงานต่อไปได้ ดูเหมือนคุณจะเข้าใจความหมายที่ฉันละไว้จึงบอกว่าจะตามกลิ่นเนื้อและกลิ่นเครื่องเทศไปหาฉันให้พบจนได้ นั่นทำให้ฉันอดยิ้มไม่ได้ ถ้าคุณตามกลิ่นไปจนพบเมืองที่ฉันอยู่ได้จริงคงหลงทางไม่รู้ว่าฉันอยู่บ้านหลังใดในบรรดาหลายแสนหลังที่แออัดกัน นั่นหมายความว่าคุณไม่มีวันตามหาฉันเจอได้เลย เป็นการบอกว่าคุณจะไม่มีวันพบกับฉันอีกแล้ว และนั่นทำให้คุณร้องไห้ออกมาอีก แต่ฉันก็ไม่มีเวลาที่จะดื่มกินน้ำตาของคุณอีกแล้ว รถไฟสายสุญญากาศกำลังจะเคลื่อนตัวออกจากสถานีแล้ว

 

เมื่อฉันเข้าในเขตหมู่บ้านก็เป็นเวลาใกล้ค่ำแล้วโกเมศ ท้องฟ้าแปรเป็นสีแดงเข้มจัดและเปรอะเปื้อนไปด้วยคราบเมฆสีดำก้อนใหญ่ อากาศเย็นลง ลมพัดโชยกลิ่นเนื้อและกลิ่นเครื่องเทศเข้มข้นขึ้นทุกขณะที่ใกล้ถึงบ้าน แต่ไม่มีความจำเป็นที่ฉันจะต้องตามกลิ่นกลับบ้าน ฉันจำถนนหนทางเหล่านี้ได้ดี ตลอดเวลาที่ฉันไม่อยู่ที่นี่ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลย สกปรกโสโครกและแออัดอย่างไรก็เป็นอย่างเก่า ถนนฝุ่นดินผสมแร่โลหะหนักที่ปลิวโปรยปะปนอยู่กับกลิ่นของอาหารเป็นอย่างไรก็อย่างนั้น ฉันเดินผ่านเพื่อนบ้านในละแวกนั้นหลายคน แต่พวกเขาก็จำฉันไม่ได้ ดูเหมือนว่าบางคนเกิดข้อระแวงขึ้นบนใบหน้าส่อให้เห็นว่าพวกเขาสงสัยในตัวฉัน ฉันปล่อยความข้องใจนั้นไว้โดยไม่แสดงว่าตัวเองเป็นใคร

 

เมื่อถึงหน้าบ้าน ดวงไฟสีส้มฉายออกมาจากภายในและได้ยินเสียงมีดกระทบแผ่นหินดังออกมา แสดงให้รู้ว่าแม่กำลังทำอาหารเย็น ฉันเดินเข้าไปในบ้านจนได้กลิ่นเนื้อย่างลอยเข้ามาปะทะจมูก ฉันปิดประตูเสียงดังพอที่จะให้คนในบ้านได้ยิน จนมีเสียงตะโกนออกมา พ่อตะโกนเรียกชื่อฉัน และบอกให้เข้ามาในห้องอาหาร เมื่อฉันวางกระเป๋าไว้ที่เก้าอี้ไม้ แล้วเดินเข้าไปทางต้นเสียงก็เห็นกลุ่มคนนั่งอยู่ที่โต๊ะกินข้าว สายตาทุกคนหันมารวมอยู่ที่ฉัน พ่อยิ้มขึ้นเป็นคนแรก ขณะที่คนอื่นยังคงสีหน้าเรียบเฉยอยู่ พ่อพูดขึ้นว่านี่คือลูกคนโต ไปเรียนที่เมืองพิกลเกือบสิบปีแล้ว แกอาจเปลี่ยนไปมาก พวกคุณคงจำไม่ได้ ฉันยืนเฉยอยู่ มองสีหน้าคนในโต๊ะนั้นซึ่งเรียบเฉยอยู่เช่นกัน จนพ่อบอกว่าให้มานั่งตรงที่ว่างนี้ แม่กำลังทำกับข้าวอย่างสุดท้ายอยู่ ฉันเดินไปนั่งใกล้พ่อ ก้มหน้ามองจานอาหารที่ยังว่างเปล่า ผ้าปูโต๊ะที่เดิมมันเคยขาวสะอ้านบัดนี้กลายเป็นสีเหลืองอ่อนจากการซักมาหลายสิบปี ช้อนส้อมและมีดที่เคยเงินวาวกลับขุ่นเป็นสีเทาและมีคราบดำจับอยู่เป็นด่างดวง เมื่อฉันไม่รู้จะมองอะไรบนโต๊ะอีก จึงเงยมองพ่อ และมองเลยไปยังคนที่อยู่ตรงข้ามกับฉันและคนอื่นที่นั่งเรียงรายกันไปจนรอบโต๊ะ ใบหน้าของแต่ละคนยังเรียบเฉยราวกับว่าไม่ได้หายใจเลย บางคนมีสีหน้าออกเขียวคล้ำเหมือนผักที่ต้มจนเปื่อย บางคนแดงฉานเหมือนเลือดวัว บางคนมีผิวหน้าสีน้ำเงินเข้มเหมือนดอกไม้ป่าที่แม่เคยคั้นน้ำให้ดื่มเมื่อยังเป็นเด็ก (ดอกอะไรฉันก็นึกไม่ออก ถ้านึกออกแล้วฉันจะเขียนเล่าให้คุณฟังว่ามันรสชาติอย่างไร)

 

เมื่อนึกถึงแม่ แม่ก็มาแตะที่บ่าฉันพอดี พร้อมวางอาหารลงบนโต๊ะ ฉันเงยหน้ามองแม่ สีหน้าของแม่ก็เขียวคล้ำอย่างประหลาดเช่นกัน ฉันบอกว่าจะลุกไปช่วยแม่ยกอาหาร แต่แม่กดไหล่ฉันไว้ให้นั่งต่อไป แล้วแม่ก็ทยอยนำอาหารมาวางจนครบทุกอย่าง และนั่งลงข้างฉัน พ่อเป็นคนเริ่มพูดก่อนด้วยบทสนทนาที่แสนจะคุ้นเคย สำเนียงอันทุ้มต่ำที่พ่อมักจะพูดเมื่ออยากให้บรรยากาศเป็นทางการ แต่เมื่อยิ่งทำให้เป็นทางการเท่าไหร่พ่อก็มักจะพูดติดอ่างเท่านั้น จนประโยคที่แต่งไว้อย่างดีนั้นกลายเป็นน่าขัน แต่พ่อจะพูดอย่างเป็นทางการไปเพื่ออะไรกัน คนพวกนี้ที่นั่งร่วมโต๊ะอาหารเป็นคนจำพวกใดจึงทำให้พ่อต้องใช้บทสนทนาที่เป็นทางการเช่นนั้น พ่อกล่าวยินดี ต้อนรับ แสดงความซาบซึ้งอย่างล้นเกินจนผิดสังเกต หลังจากพ่อพูดจบทุกคนก็เริ่มลงมือกินอาหารที่อยู่ตรงหน้า  เท่าที่ฉันสังเกตในบรรดาคนเหล่านี้มีสองคนที่อายุน่าจะเกือบร้อยปีแล้วล่ะโกเมศ ฉันดูจากผิวหนังเหี่ยวย่นและหย่อนยานลงมาจนเหมือนเนยที่กำลังละลายไม่จับตัวเป็นรูปร่างเลย ผิวหนังบางแห่งเหมือนหนังไก่ที่ถูกถอนขนจนเป็นรอยตะปุ่มตะป่ำ คนแก่สองคนนี้มีลักษณะที่คล้ายกันบางอย่างตรงบริเวณหางคิ้วและเลยไปถึงขมับที่มีคราบสีแดงเป็นปื้นพาดทับอยู่จนเห็นเด่นชัด ตรงคอก็เป็นรอยทางยาวลึกเข้าไปในเสื้อคล้ายกับรอยมีดบาดจนกลายเป็นแผลฉกรรจ์ แต่น่าแปลกใจที่ไม่มีเลือดไหลซึมออกมาเลย ประหนึ่งว่าถูกเย็บไว้อย่างดีแล้ว แต่มันก็ไม่ได้ถูกเย็บเอาไว้นะโกเมศ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่มีเลือดต่างหาก หรือไม่เลือดก็อาจไหลออกมาจนหมดตัวไปแล้วก็ได้

 

เมื่อฉันมองคนถัดไปซึ่งตรงจังหวะกับที่พ่อพูดถึงเขาพอดี คนหนุ่มคนนั้นมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก คิ้วขมวดตลอดเวลา เป็นอาการสับสนและเจ็บปวดมากกว่าจะโกรธขึ้ง เขาคนนี้เองที่เมื่อฉันมองถนัดขึ้นมีผิวสีเขียวเข้มเหมือนผักต้ม ดวงตาของเขากลมโตและตาขาวนั้นมีเส้นเลือดฝอยขึ้นเป็นริ้วดูน่ากลัว ที่ลำคอของเขามีเส้นรอบวงสีดำคล้ายสร้อยคอรัดรึงอยู่ แต่เมื่อพินิจดูให้ดีแล้วมันคล้ายรอยสักหรือไม่ก็แผลเป็น เพราะสีดำรอบวงนั้นดูถาวรติดกับผิวหนังของเขา พ่อแนะนำว่าเขาอายุอ่อนกว่าฉันสองปีเป็นชาวนาอยู่อีกหมู่บ้านหนึ่ง นั่นทำให้ฉันได้กลิ่นตัวเขาขึ้นมา เป็นกลิ่นข้าวหอมใหม่ที่ฉันนึกว่ามาจากบนโต๊ะที่แม่หุงเสียอีก เขายังคงทำหน้านิ่วและพยายามจะสื่อสารบางอย่างกับฉัน เมื่อเขากระพริบตาถี่ ๆ ยิ่งทำให้ฉันนึกถึงใครบางคนที่เคยรู้จัก เป็นอาการของคนที่ไม่มั่นใจในตัวเอง ประหม่า และวิตกกังวลใจอยู่ตลอดเวลา ฉันรู้สึกอึดอัดใจแทนเขาเพราะเดาเอาว่าเขาจะต้องถูกบังคับให้นั่งโต๊ะกินข้าวร่วมกับเราในวันนี้ ดูเหมือนว่าเขาไม่คุ้นเคยกับบรรยากาศอันเป็นทางการและอยู่ท่ามกลางคนหมู่มากเช่นนี้ ฉันเห็นอาการเขาดังนั้นแล้วก็อยากจะลุกขึ้นไปปลอบใจเขา จับมือเขา และบอกเขาให้ผ่อนคลายเสมือนว่าการกินข้าวเย็นในมื้อนี้เป็นการกินข้าวเย็นกับคนในครอบครัว เขาจะนับฉันเป็นพี่คนหนึ่งก็ได้ถ้าทำให้เขาคลายวิตกลง

 

คนที่นั่งถัดไปจากคนนี้สิโกเมศ ดูไม่เป็นมิตรเอาเสียเลย เขาดูมั่นใจในตัวเองอย่างยิ่ง แม้ว่าจะตัวเล็กและผิวดำคล้ำเหมือนถูกไฟคลอก ไหม้และบวมเป่งออกมาจนเห็นชั้นใต้ผิวหนังสีขาวเหมือนหมูที่ย่างสุกแล้ว หรือนี่คือกลิ่นที่ฉันเข้าใจว่าคือเนื้อย่างซึ่งโชยออกไปนอกบ้านเมื่อฉันมาถึง เขาดูเหมือนผู้ใหญ่ในร่างเด็กซึ่งทำอะไรเกินตัวเอง แม้มือจะหงิกงอและนิ้วกุดทู่เขาก็พยายามจับช้อนประคองไว้ด้วยตัวเอง แต่ทุลักทุเลและเป็นภาพที่น่าสมเพช เขาเหลือบตามองฉันครั้งหนึ่งขณะที่กำลังเคี้ยวข้าวจนดูเหมือนคนปากเบี้ยว สายตาคู่นั้นบ่งบอกว่าเขารำคาญการจ้องมองของฉัน เหมือนขับไล่ให้ฉันออกไปจากตัวเขา เขาไม่ต้องการให้ใครมาสงสารหรือเห็นใจ ดูเขาจะดื้อรั้นอย่างมาก หากเขาเป็นน้องฉัน ฉันคงลากเขามาตีสักสองสามทีที่ทำอากัปกิริยาอันหยิ่งเช่นนั้น และคงจะต้องสั่งสอนถึงการเคารพนบนอบผู้ใหญ่กว่าซึ่งฉันได้ถูกอบรมมาเสียจนชินที่เมืองพิกล (คุณคงหาว่าฉันใจร้ายกับเด็ก แต่ถ้าคุณมาเห็นพฤติกรรมของเขาคุณก็จะทำเช่นฉัน) ดูท่าทางการกินของเขาไม่ต่างจากหมาที่หวงอาหารกลัวว่าใครจะไปแย่งกินจนดูมูมมามน่ารังเกียจ ฉันเห็นว่าผู้หญิงที่นั่งข้างเด็กคนนั้นก็มองดูอากัปกิริยาของเด็กนั่นเช่นกัน

 

ผู้หญิงที่กะประมาณว่าอายุเข้าสู่วัยกลางคนปล่อยผมกระเซอะกระเซิง ดูลักษณะทางกายภาพของแกแล้วปกติกว่าคนอื่น โดยเฉพาะสีผิวที่แม้จะซีดเซียวแต่ก็ผ่องใส อาจเรียกได้ว่าใสจนฉันมองทะลุเห็นพนักเก้าอี้ได้ ผู้หญิงคนนั้นเงยหน้ามายิ้มให้ฉันจนเห็นว่าปากของเธอสีแดงฉานเหมือนอมเลือดวัวสดไว้ตลอดเวลา แต่กลับทำให้ฉันรู้สึกอบอุ่นขึ้นอย่างประหลาดด้วยรอยยิ้มที่ดูเปี่ยมเมตตาและอ่อนโยน หากไม่นับว่าแม่เป็นผู้หญิงที่ฉันรักคนหนึ่งในชีวิตนี้ ก็คงจะมีผู้หญิงคนนี้ที่ฉันรักเป็นลำดับถัดมา ดูเหมือนเธอจะพยายามสื่อสารบางอย่างกับเด็กข้างเธอ ฉันคิดว่าเธอกำลังสอนเขาเหมือนที่ฉันเคยถูกสอนมา เท่าที่ฉันเห็น เธอไม่กินอะไรเลย ได้แต่ยิ้มและมองคนอื่นไปรอบโต๊ะนั้น ฉันคลับคล้ายคลับคลาว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นผู้หญิงคนเดียวกันกับที่ไปส่งฉันที่สถานีรถไฟสายสุญญากาศเมื่อวันที่ฉันจะต้องออกเดินทางไปเรียนต่อ พ่อกับแม่ไม่ว่างหรืออาจไม่อยากไปส่งฉันจึงวานให้เธอไปแทน ใช่แน่ ต้องเป็นเธอแน่ ลำตัวโปร่งใสไม่เหมือนใคร สิบปีผ่านไปแล้วเธอยังคงเอกลักษณ์อันบอบบางและอ่อนหวานเอาไว้เสมอ แม้พ่อจะบอกว่าเธออายุกว่าหกสิบปีแล้วแต่ฉันเห็นว่าเธอยังเพิ่งสี่สิบเท่านั้นเอง ใช่แน่ ฉันเคยเรียกเธอว่าป้า หรือฉันอาจจะรู้สึกว่าเธอเป็นป้าที่แสนดีคนหนึ่ง ฉันตกลงใจว่าฉันจะเรียกเธอว่าป้าก็แล้วกัน

 

ถัดจากป้าคือชายวัยที่น่าจะอายุมากกว่าป้าเล็กน้อยกำลังพูดคุยเสียงดังอยู่กับพ่อ หนวดดกดำสนิทบนริมฝีปากทำให้เขาดูน่าเกรงขาม เสียงใหญ่ทุ้ม มีกลิ่นหืนเหมือนน้ำมันหมูที่ถูกทิ้งค้างกระจายออกมาปะปนกับควันบุหรี่ที่เขากำลังคีบไว้ระหว่างนิ้ว ชายคนนี้มีสภาพปกติดีทุกอย่าง สีผิวของเขาคล้ำแดดตามธรรมชาติ รอยยับย่นบนหน้าผากและร่องแก้มเสริมให้เขาดูน่านับถือ ทว่าหากสังเกตให้ดีแล้วบริเวณขมับของเขานั้นปรากฏรูโหว่ขนาดใหญ่อยู่จนมองทะลุออกไปได้อีกด้านหนึ่ง ควันบุหรี่ที่ลอยเอื่อยรอบตัวเขาไหลม้วนเข้าไปในรูนั้นในบางที เขาเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับการทำหนังสือพิมพ์ ความก้าวหน้าและความถดถอยของวงการนักหนังสือพิมพ์ในศตวรรษก่อนซึ่งฉันไม่อาจจะจินตนาการถึงได้ ด้วยอาชีพนั้นทำให้เขามีโอกาสออกเดินทางไปรอบโลก ได้เห็นวิถีชีวิตของคนในเมืองต่าง ๆ และมีส่วนอยู่ในเหตุการณ์สำคัญของโลกมากมาย แม้แต่ภาวะสงครามเขาก็ผ่านมันมาแล้ว

 

เขาเล่าถึงเมื่อครั้งไปทำข่าวที่เมืองพิกล ในคราวเกิดการอพยพครั้งใหญ่เนื่องจากสงครามกลางเมือง ฉันสนใจเรื่องเล่านี้มาก และเคยได้ยินคุณเล่าให้ฟังว่าครอบครัวของคุณเองก็เคยอพยพเช่นกัน (โกเมศฉันคิดถึงคุณขึ้นมาจับใจเมื่อชายคนนี้เล่าถึงเมืองพิกล ฉันจะกลับไปหาคุณได้อย่างไร และคุณจะมาหาฉันได้ไหม) พ่อดูมีอารมณ์ร่วมไปกับเรื่องเล่าของชายคนนี้เช่นกัน ส่วนแม่ที่นั่งข้างฉันกลับก้มหน้าก้มตาเขี่ยปลาที่อยู่ในจาน เหมือนพยายามควานหาก้างที่ติดอยู่ แม่ก้มหน้าจนเกิดเงามืดแถบหนึ่งเสมือนกำลังหลบฉากจากทุกคนออกไป แต่ฉันก็หันหน้าไปใกล้หูแม่และถามแม่ว่าคนเหล่านี้เป็นใครกัน แม่หยุดเขี่ยปลาในจานและเงยหน้าขึ้นมองมาที่ฉัน (โกเมศฉันตกใจกับสีหน้าแม่อย่างมาก แม่ทำเหมือนรังเกียจฉัน หยามเหยียดฉัน ตำหนิฉัน ฉันถามแม่ไปโดยไม่รู้ว่าคนเหล่านี้คือใครนี่) แม่จ้องฉันอยู่นานเหมือนกัน แล้วจึงหันไปเขี่ยปลาในจานอีก แม่พูดขณะที่ก้มหน้าอยู่อย่างนั้น บอกว่าเสียใจ เมืองนั้นคงทำให้แกจำใครไม่ได้ ฉันบอกว่าใครกันที่ฉันต้องจำ คนเหล่านี้หรือ แม่บอกว่าใช่ คนเหล่านี้ที่เรียกว่าญาติของฉันเอง

 

โกเมศเชื่อไหมว่าฉันไม่แปลกใจเลยกับสิ่งที่แม่บอก ฉันรู้ดีว่านี่คือวิธีการหนึ่งที่แม่ต้องการจะให้ฉันปฏิบัติตัวกับแขกแปลกหน้าเหล่านี้เสมือนคนในครอบครัว แต่ถึงอย่างไรฉันก็ไม่รังเกียจคนเหล่านี้ เท่ากับสนใจว่าเขามาจากไหน และเหตุใดพ่อกับแม่ต้องปฏิบัติกับญาติราวกับต้อนรับอาคันตุกะจากแดนไกล มันไม่ใช่วิธีปฏิบัติกับคนในครอบครัวซึ่งดูห่างเหินอยู่ในที คำตอบของแม่ก็คือพวกเขาตายกันไปแล้ว แม่บอกฉันว่าพวกเขาตายไปแล้ว เป็นอันว่าคนเหล่านี้ที่นั่งอยู่ต่อหน้าฉันและรายล้อมโต๊ะอาหารค่ำในคืนนี้คือคนตาย คุณคงเดาได้ไม่ยากจากอาการและรูปลักษณ์ของแต่ละคนที่ฉันเล่าไปว่าตายได้อย่างไร ฉันจึงถามแม่ว่าเมื่อพวกเขาตายไปแล้ว พวกเขากลับมาได้อย่างไร แม่บอกว่าพวกเขาไม่ได้กลับมา พวกเขาอยู่ที่นี่ มีแต่ฉันเท่านั้นที่กลับมา ฉันรู้สึกได้ว่าเลือดในกายฉันอุ่นขึ้นมากเมื่อแม่พูดว่าฉันกลับมา ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นน้ำแกงที่ถูกตั้งไฟไว้ในอุณหภูมิที่ใกล้จะถึงจุดเดือด มันคุกรุ่นอยู่ภายในและที่พื้นผิวก็กำลังระเหยเป็นกลิ่นไอไปในอากาศ สถานการณ์ในช่วงเวลานั้นทำให้ฉันตระหนักถึงเรื่องราวแต่ครั้งเก่าก่อนขึ้นมา มันเข้มงวดขึ้นหลังจากสังเกตรูปลักษณ์ของพวกเขาและได้กลิ่นของพวกเขามากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งเมื่อแม่เล่าให้ฟังว่าพวกเขาตายอย่างไร (พวกเขาตายอย่างน่าอนาถจนฉันหวาดกลัว ไม่คิดว่าการตายของเขาจะทารุณโหดร้ายถึงเพียงนั้น ฉันนึกว่าฉันกำลังฟังเรื่องราวที่มาจากโรงฆ่าสัตว์) ยิ่งทำให้ฉันเริ่มจดจำรำลึกได้ถึงวันเก่าก่อน ขณะเดียวกันก็รู้สึกแปลกแยกออกมาจากพวกเขามากขึ้นทุกที

 

เด็กผู้ชายที่วางท่ายโสคนนั้นแสยะยิ้มให้ฉันราวกับว่าเขากำลังตำหนิฉันที่เพิ่งจำเขาได้ คุณป้ายังคงมองฉันด้วยสายตาของความกรุณาและเข้าอกเข้าใจ น้องชายของฉันที่มีรอยลึกรอบคอก็หันมองฉันนิ่งเฉยอยู่ ฉันคิดว่าเขาจะเป็นพวกเดียวกับฉัน แต่หากมองลึกลงไปในดวงตาเขาแล้วกลับทำให้เห็นว่าเขายืนอยู่ตรงกันข้ามกับฉันอย่างเย็นชา คุณลุงสิ แทบจะไม่แยแสต่อบรรยากาศอันคับขันและบีบคั้นเช่นนี้เลย กลับเฉไฉเล่าเรื่องของตัวเองก่อนที่จะฆ่าตัวตายไปเสียอีก แม่ก็หันกลับนั่งเขี่ยปลาในจานดังเดิม ส่วนพ่อตอนนี้กลับนั่งเงียบก้มหน้าหั่นเนื้อในจานของตัวเอง

 

ฉันบอกแม่ว่าฉันเริ่มจำทุกคนได้แล้ว แม้ว่ามันอาจยากสักหน่อย บางทีความทรงจำต่อคนเหล่านี้อาจฝังอยู่ลึกอยู่ภายในรอวันที่บางกลิ่นจะโชยมากระตุ้นให้พลุ่งขึ้นมา แม่หยุดนิ่งเฉยและหันมาในสภาพที่มีเงาปรากฏอยู่บนใบหน้า บอกกับฉันว่าถ้าแกจำได้จริง แกจะต้องไม่บอกว่าแกไปเรียน แต่แกหนีไป แกหนีไปจากครอบครัวของเราในวันที่คนในครอบครัวกำลังถูกฆ่าตายไปทีละคนต่างหาก เมื่อแม่บอกว่าฉันหนีไปจากครอบครัว ฉันก็จำได้ชัดแล้วว่าฉันหนีไปจากครอบครัวจริง ๆ เหมือนที่ฉันหนีคุณมานั่นแหละ…

 

โกเมศ ถ้าคุณยังมีชีวิตอยู่โปรดรู้ไว้ด้วยว่าฉันบันทึกเรื่องเหล่านี้ไว้เพื่อเตือนตัวเองว่าจะไม่ลืมคุณ เหมือนที่ฉันจะไม่ลืมคนในครอบครัว มันช่วยไม่ได้ที่คนตายไปแล้วจะทำให้ฉันลืม เมื่อฉันเริ่มจำอะไรได้มากขึ้น ปะติดปะต่อเรื่องราวได้ชัดเจนขึ้น ฉันก็ไม่จำเป็นต้องซักไซ้อะไรกับแม่อีก จึงเริ่มกินข้าวอย่างหิวกระหาย ทุกคนก็ต่างหันกลับไปกินข้าวในจานของตัวเองโดยไม่มีบทสนทนาอะไรอีก เรื่องในเย็นวันนั้นก็มีเท่านี้แหละ แล้วฉันจะเขียนหาคุณอีกในวันข้างหน้าหรือจนกว่าฉันจำอะไรได้อีก

 

รักเสมอ,

ฉันเอง—โกเมศ

 

สมุด ทีทรรศน์

สมุด ทีทรรศน์

นักเขียนหลากหลายบทบาท เขียนทั้งเรื่องสั้น บทวิจารณ์วรรณกรรม บทความวิชาการ บางครั้งก็เป็นบรรณาธิการแปล ในอีกนามปากกาคือจิรัฏฐ์ เฉลิมแสนยากร

 


ภาพปก: Calum Lewis

 

“สมุด ทีทรรศน์นำผัสสะการรับรู้รสและกลิ่นมาใช้เล่าเรื่องได้อย่างเป็นเอกภาพ
รสและกลิ่นของอาหารเชื่อมโยงกับลักษณะตัวละครและความทรงจำอย่างมีนัยยะ
ตอนจบของเรื่องคล้ายจะหักมุมแบบผีๆ สางๆ
แต่เปล่าเลย 
เขายอมให้ผู้อ่านเดาได้
และชวนให้ครุ่นคิดเกี่ยวกับบางเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์
ด้วยถ้อยคำตบท้ายของตัวละคร

ไปเรียน หรือหนีไป?
ไม่ว่าอย่างไร คนข้างหลังก็อยู่กับความตายหรือมิใช่นะ?
ไม่ว่าอย่างไร คนตายก็ตายไปแล้ว และบ่อยครั้งที่ไม่มีใครจำได้…”

– นิชานันท์ นันทศิริศรณ์

Comments

comments

You may also like

Leave a comment

error: