Graveyard No.1

คนรับใช้

เขารวยและเป็นบ้า

 

เขาจ้างผมเป็นคนรับใช้ศพพ่อเขาได้ปีกว่าแล้ว

 

ผมไม่ได้บ้า แค่ไม่มีเงินตกถึงท้อง แล้วเขาก็จ้างงามเสียด้วย

 

ผมรู้ว่ามีคนพรรค์อย่างเขาที่เอาบ้านไว้ศพแบบนี้ ผมก็ได้ภาระเดียวกัน ต้องกินนอนที่นี่ เช้ามาก็ต้องเตรียมกับข้าว ต้องเล่นแผ่นเสียงไว้ทั้งวัน (Louis Armstrong ด้วยนะ คนโปรดพ่อเขา) ปัดกวาดเช็ดถู หาคนมาซ่อมแซม ทำสวน ไล่หนูไล่ปลวกแล้วก็ต้องอยู่เป็นเพื่อนมัน

 

มีกติกาเดียวที่ผมตั้งขึ้นมาในการทำงาน คือผมจะวางกับข้าวกับปลาไว้ที่ครัว เพราะบางทีวางไว้หน้าโลงพ่อเขาก็ลุกขึ้นจากโลงมากินต่อหน้าผมดื้อๆ (มีเฉพาะอาการนี้ ไม่เห็นจะทำอะไรอื่น) พอเปลี่ยนเป็นเอากับข้าวไว้ครัว แกก็เดินไปกินที่ครัว แต่ผมไม่ได้ปะแกไง หายไปอยู่ห้องอื่นแล้ว

 

เคยถามนายจ้างเหมือนกันว่าทำไมไม่ฝังไม่เผา เขาบอกว่าก็อยากทำ แต่พ่อไม่ยอม

 

“พ่อสั่งเสียไว้ก่อนตายเหรอครับ” ผมสงสัย

 

“ไม่ใช่ก่อนตาย หลังตายนี่แหละ คืนก่อนวันเผา แกลุกนั่งตั่งวางร่างรดน้ำศพบนศาลาวัด กูกำลังจะปิดศาลาแล้ว สัปเหร่อเด็กวัดไม่มีใครอยู่เลย เหมือนแกเขียนบทไว้ แกบอกว่าให้เอาแกไว้ เลี้ยงกูให้เหมือนกูเลี้ยงมึง แล้วเงินทองเท่าไหร่กูจะหาให้” เขาบอก

 

“มึงดูรถกูนี่” เขาพยักเพยิดหน้าให้ดูรถยุโรปหรูระยับ แพงเท่าเงินกินตำแหน่งผู้ว่าทั้งชีวิตราชการ กิจการพ่อเขานี่หลังพ่อตายก็ยิ่งรุ่งเรือง

 

“เป็นมึงจะเผาพ่อรึเปล่าล่ะ” เขาถาม

 

ผมส่ายหน้าหนักแน่น

 

“มึงอยู่กับกูนี่แหละ เดือดร้อนอะไรก็มาบอก คนทำงานนี้มันหายาก ยิ่งรู้อยู่ว่าพ่อกูเป็นไง” แกพูดแล้วลงจากบ้านไป

 

อีตอนนั้นผมงงๆ มัวแต่คิดเรื่องนี้ไปเรื่อย พอเอามื้อเที่ยงวางไว้บนโต๊ะครัวก็ยังใจลอยอยู่ รู้ตัวอีกทีพ่อเขาก็เดินเข้ามานั่งกินข้าวไม่รู้ไม่ชี้แล้ว

 

แกเหลือบมองผมด้วยลูกตาขาวๆ พยักพเยิดหน้าให้ทีนึงแล้วก็ก้มกินข้าวของแกไป

 


 

หิว

พอหิวก็เป็นคนอื่นได้ ให้ต้มเปื่อยรองเท้าหนังกินก็ยังได้ นี่กลัวอยู่ว่าวันหนึ่งจะกินศพ พอดีว่าจี้คนเป็นเสียก่อนเลยได้กลับมากินข้าวกินเนื้อดีๆ บ้าง

 

สลัมมันชุมผู้ร้ายเป็นธรรมดา มึงไม่โดนกูก็เจ้าอื่น ล้วงกันเองแทงกันเองก็มี ปล้นผีกูยังเคย

 

แล้วไม่ใช่วันพระนะ วันจันทร์เฉยๆ นี่แหละ เห็นใส่ชุดคลุมคนท้องมากูยิ้มเลย ดักหน้าเอามีดจิ้มท้องแก่ ห่าเอ้ย ท้องมันแตกลูกทะลักกอง ไอ้ลูกกรอกไต่ขากูใหญ่เลย แม่มันก็หัวเราะชอบใจ

 

ตอนนั้นโกรธมากกว่ากลัว กูหันหลังเดินหนีนิ่งๆ ทื่อๆ มึงอยากตามก็ตาม แต่มันไม่ตาม

 

รู้ทีหลังว่าอีนี่พึ่งตายมาได้ 3-4 วัน แขวนคอกับตีนเป็ดข้างคลองท้ายสลัม น้อยใจผัวทิ้ง เอาเลือดมดลูกเขียนพื้นปูนใต้ตีนว่า ‘พ่อแม่มึงยังอยู่ที่นี่’

แล้วพ่อแม่ผู้ชายก็ตายจริงๆ นะ เห็นว่าอยู่ๆ ก็ใจลอยไม่รู้สติ ผลัดกันเป็นๆ หายๆ ได้สี่เดือนก็มีคนเจอแขวนคอกับตีนเป็ดต้นนั้นแหละ

 

ไม่รู้ข่าวไปถูกมันได้ไง ไอ้ผู้ชายกลับมาบวช ร้องไห้ฟูมฟายน้ำตาอาบจีวรอยู่หน้าเมรุ บอกจะบวชจนตาย แต่เช้ามายังไม่ทันเก็บกระดูกพ่อแม่ก็มีคนเห็นศพมันห้อยสบงแขวนคอกับตีนเป็ดต้นเดียวกัน (ล่างเปลือย บนใส่อังสะ)

 

กูเลิกจี้แถวๆ นั้นแล้ว ทุกวันนี้ยังมีคนเห็นพวกนั้นมาแขวนคอกันซ้ำๆ

 

นี่อาทิตย์ก่อนกูไปปีนบ้านแทงเด็กมูลนิธิที่เก็บศพพวกมัน ได้เชือกแขวนคอเส้นนึงไปขายให้เขาทำของขอหวย น่าจะเส้นใช้แขวนคอพ่อไม่ก็แม่ผู้ชาย กูหายหิวไปอีกพักใหญ่

 


 

หมอ

แกเป็นหมอพม่า เป็นคนเมืองเหนือแต่เรียนมนต์พม่า ตำหนักอยู่ข้างบ้านผม ใครไปใครมาเยอะ รำคาญทั้งเสียงทั้งกลิ่น แต่อยู่มา 20 ปีแล้วก็ชิน

 

ทำทั้งสายขาวสายดำ แม่ผมก็เป็นลูกศิษย์

 

10 ปีก่อนแม่ไปกราบแกให้ช่วยถอนของพ่อ พ่อถูกเสน่ห์ อีคนทำก็ครูจบใหม่โรงเรียนที่พ่อเป็นครูใหญ่นี่แหละ ผมก็อยู่ในพิธี เห็นแล้วต้องเชื่อ เอากางเกงในแม่เปล่าๆ ลูบๆ หัวพ่อได้เนื้อเน่าติดขนลับเป็นขยุ้ม

 

เขาว่ามันเป็นกฎ ถ้าถอนได้จะสะท้อนกลับ ก็ย้อนเข้าอีครูสาวนั่นเป็นบ้าเป็นหลังบางวันมาแก้ผ้าแหกกลีบเนื้อเรียกพ่อผมอยู่หน้าบ้านบ้าง แต่เดี๋ยวนี้เขาเอาไปล่ามโซ่อยู่วัด

 

บางทีหมอก็รับงานเปล่า งานสุดท้ายนี่เผอิญแกเดินผ่านบ้านใครคนหนึ่ง กลับถึงตำหนักแกบอกลูกศิษย์ว่ากูเอาอีนางท้องแก่บ้านนั้นไว้ไม่ได้ มันเป็นปอป บ้านนั้นไม่มีใครรู้ ปล่อยไว้คนอื่นจะฉิบหาย

 

อาศัยโอกาสผัวเขาออกไปทำงานบุกไปกับลูกศิษย์ถึงบ้าน ผัวกลับมาก็เห็นเมียหลับตายไปเฉยๆ ตายได้ไม่กี่ชั่วโมงแต่เน่าแล้ว

 

ฝ่ายผัวมายิงหมอถึงตำหนักเลย

 

เขารัก บอกว่าเมียไม่ได้เป็นปอป เสียลูกชายคนแรกคาท้องแม่ด้วย

 

ไม่เชื่อว่าเมียเป็นปอป แต่เชื่อว่าหมอทำเมีย จะไม่เชื่อว่ามีผีจริงๆ หรือยังไงก็ไม่รู้ใจเขา

 

เขาสารภาพกับตำรวจว่าถ้ายิงไม่เข้าก็จะเผาหมอแกไปพร้อมตำหนักให้วอดเป็นเถ้า ก็ดีแล้วที่ไม่ต้องถึงแผนสองไม่งั้นบ้านผมคงฉิบหายด้วย

 

 


 

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

Kappasaisai@gmail.com

นักเขียนผู้หลงใหลการลับมีด เจ้าของเรื่องสั้น "ชายชราเบาหวาน" ที่ได้รับรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดประเภทเรื่องสั้น ปี 2555 ปัจจุบันใกล้จะมีนวนิยายของตัวเอง 1 เล่ม กับสำนักพิมพ์ Boligraf Book ยังคงเขียนงานอยู่อย่างต่อเนื่องที่บ้านของตน

Comments

comments

You may also like

Leave a comment

error: