เมื่อโลกปรากฏ

 

เมื่อโลกปรากฏ

ฉันจะปฏิเสธอย่างไร

มันจริงเหมือนน้ำตาในใจฉัน

คนอื่นเขาก็มี

น้ำตาในใจเขา

น้ำตาในใจแต่ละคนคงคล้ายกัน?

ถ้าร้องไห้แล้วทำไมไม่จากไป

อาจเพราะที่โลกใบนี้ ฉันร้องไห้น้อยครั้งและแผ่วเบาที่สุด

อาจเพราะฉันไม่ชอบน้ำตาบนโลกใบอื่น

ฉันอาจผิดก็ได้

 

เมื่ออีกโลกปรากฏ

ฉันก็ปฏิเสธไม่ได้

แม้ว่ามองไม่เห็น ไม่เปิดเผย

แต่มันจริงเหมือนน้ำตาในใจฉัน

 

เราอยู่บนโลกได้กี่ใบ นับอนันต์?

โลกปรากฏพร้อมกัน ซ้อนกลืนเป็นใบเดียว

ฉันก็เริ่มแปลกประหลาด

ต้นไม้ยังเป็นต้นไม้ กิ่งใบสีเดิม

ยังผลิดอกในฤดูร้อน

แต่ทุกอณูไม้ ปรากฏความรักของอีกโลก

 

เมื่อยังพบโลกเพียงใบแรก

ฉันหลับและฝันเศร้า

(เป็นใบแรกที่มาก่อนจริงหรือ?)

 

เมื่อพบอีกโลก

ฝันเศร้านั้นหายไป

แต่น้ำตาในใจกลับชัดขึ้น

ในน้ำตาก็ปรากฏความรักของอีกโลก

ต่างจากรักอื่นไหม?

ทั้งต่างและไม่ต่าง

แต่เมื่อมองความต่าง ฉันก็ชัดเจน

ฉันเห็นอิสรภาพอันประหลาด

 

ไม่เข้าใจความรักนี้

จึงสั่นไหว

ทำไมถึงอยู่ในน้ำตา

ยาพิษ

ความตาย

คนรักของฉัน

จะมองก็ไม่เห็น จะสัมผัสก็ไม่พบ

รู้ได้อย่างไรว่ามีอยู่?

ไม่รู้

แต่ปฏิเสธไม่ได้

 

แล้วฉันผิดหรือเปล่า?

ที่เคยร้องไห้โดยไม่รู้ว่าในน้ำตามีรัก

แล้วก่อนนี้มีความหมายหรือเปล่า?

 

น้ำตาในใจคือความกลัวอันอ่อนโยน

คือความสับสนเช่นใยแมงมุมบางเบาเหนียวแกร่ง

และตอนนี้คือความรักอันพิลึกล้ำ

 

ฉันไม่ได้รักหรือชังโลกใดเป็นพิเศษ ทั้งหมดก็คือฉัน

น้ำตาในใจยังกลิ่นเดิมแต่กลับเปลี่ยน

ฉันจะอยู่กับน้ำตานี้อย่างไร?

 

 


 

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

Kappasaisai@gmail.com

นักเขียนผู้หลงใหลการลับมีด เจ้าของเรื่องสั้น "ชายชราเบาหวาน" ที่ได้รับรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดประเภทเรื่องสั้น ปี 2555 ปัจจุบันใกล้จะมีนวนิยายของตัวเอง 1 เล่ม กับสำนักพิมพ์ Boligraf Book ยังคงเขียนงานอยู่อย่างต่อเนื่องที่บ้านของตน

 

SCHOOL LIFE No.15 – ตื่นในฝัน

 

ผมรู้ว่ากำลังฝัน แต่ไม่ตื่น

 

ไม่ได้คิดว่ามันโกหก แค่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่กำลังเกิดขึ้น เป็นฝันและเป็นจริง

 

อยู่ในร่างกาย ม.ปลาย ทั้งๆ ที่เรียนจบมหาวิทยาลัยมานานแล้ว

 

ทุกคนกลับมาเรียนอีกครั้งเพราะไม่มีอะไรดีกว่านี้

 

ใช่ ไม่มีอะไรดีกว่านี้

Read More

Graveyard No.7

ผ้าเช็ดตัว

 

 

“คุณเป็นยังไงบ้าง”

 

ชายหนุ่มถาม ยิ้มให้ เขาขึ้นมาจากสระตัวเปียกมะล่อกมะแล่ก สวมกางเกงขาสั้นสีดำ เสื้อยืดสีขาว ผมรองทรงสั้น หยิบแว่นบนไม้กระดานท่าน้ำที่เรานั่งอยู่ด้วยกันมาสวม

 

ฉันอยู่กับพ่อแม่ได้สักพักแล้ว แม่บอกว่า ‘ถ้ายังคิดอะไรไม่ออกก็กลับมาบ้านก่อน’

 

“ก็ดีนะ” ฉันยิ้มตอบ รู้สึกกลวงๆ ในใจมีก้อนมวลเปล่าแต่แน่นโหวงอัดอยู่

 

มวลนั้นคือเวลา

 

เขาเอียงคอจ้องฉงน

 

“ถ้าไม่สบายใจก็ไม่เห็นต้องโกหกนี่” เขาเอ่ย

 

ฉันเบือนหน้าหนี บ่ายนั้นเงียบเฉา เกลียดแดดเศร้า เห็นวันเวลาที่ไม่ต้องการในดวงอาทิตย์

 

“พอตายแล้วเราไม่โกหกหรอกนะ” เขาปัดป่ายเนื้อตัวเช็ดน้ำ

 

ฉันหัวเราะ ตาคนนี้ไร้เดียงสาชะมัด

 

“ใครห้ามเหรอ” ฉันถาม

 

“ตัวเราเอง” เขาตอบ “ไม่ใช่ว่าห้ามตัวเอง แต่ไม่ทำ โกหกไม่ใช่ของจำเป็นขนาดนั้นอีก ก็ยังโกหก แต่น้อยมากๆ ร้องไห้บ่อยกว่าอีก”

 

ฉันไม่เข้าใจที่เขาพูดเลย

 

“ถ้าฉันถามอะไรก็จะตอบงั้นเหรอ?” ฉันฉงน

 

“ถามสิ” เขาหันมองฉันยิ้มๆ “ผลัดกันถาม-ตอบดีกว่า”

 

“ปีนี้อายุเท่าไหร่แล้ว” ฉันเริ่ม

 

“ยี่สิบห้า หยุดแค่นั้นแหละ” เขาพูด นอนแผ่ไปกับกระดานท่าน้ำ ดูไม่ได้รังเกียจแสงแดดเลย

 

“ปีนี้ฉันสามสิบ” ฉันตอบแผ่วๆ “กลับมาอยู่บ้านแม่ได้สามเดือนแล้ว”

 

“ลาออกเหรอ” เขาตอบเหมือนเห็นแผลฉัน เอียงคอหันมองทั้งที่ยังนอนแผ่

 

“ถ้ารู้แล้วจะมาถามทำไม” ฉันฉุนเล็กๆ

 

“คุณควรจะพูด ถ้าคุณอยากหาย ก่อนอื่นคุณก็ต้องพูด” น้ำเสียงเขาราบเรียบ

 

ฉันเหมือนตัวชาที่ได้ยินแบบนั้น

 

“ตอนยี่สิบห้าทำอะไรอยู่” ฉันถามไปเรื่องอื่น

 

“ไม่ได้ทำอะไรเลย” เขาตอบเรียบเฉย “จริงๆ นะ ไม่ได้ทำอะไรเลย”

 

“ตั้งแต่เรียนจบมาฉันก็รู้สึกเหมือนกันว่าไม่ได้ทำอะไรเลย” ฉันหัวเราะขมๆ

 

“ไม่ ผมไม่ได้ทำอะไรเลยจริงๆ” เขาส่ายหน้า ตอบหนักแน่น มันประหลาด เขาพูดมันออกมาอย่างไร้อาภรณ์ปิดบังใดๆ พูดเหมือนทักทายว่าเช้านี้อากาศดีนะ

 

“ตั้งแต่เรียนจบมาสามปีอะนะ” ฉันเลิกคิ้ว

 

เขาพยักหน้าง่ายดาย

 

อารมณ์ที่เขาเผยนั้นเองฉันถึงรู้ว่าหลับฝันอยู่ ฉันยังอยู่

 

“ขอโทษนะ” ฉันเอ่ยเศร้า เหมือนไปทำให้เขาพูดเรื่องนี้

 

“ไม่หรอก” เขายิ้มให้ท้องฟ้า

 

ยิ้มสวยเหมือนดวงอาทิตย์

 

“ผมเคยอ่านหนังสือเล่มนึง เขาบอกว่า ‘เมื่อข้าตาย ถึงรู้ว่าเป็นใคร’ มันเป็นแบบนั้นจริงๆ นะ”

 

เรามองกัน เขาส่ายหน้า

 

“ผมพูดให้คุณเข้าใจไม่ได้หรอก คุณต้องตายถึงจะรู้ว่าทุกๆ อย่างที่ได้ทำมันมีความหมายพิเศษ คุณรู้ว่ามีดบาดน่ะเจ็บ แค่คุณไม่เคยถูกมีดบาด” เขาบอก

 

“แต่ต้องเป็นความตายที่สงบพอสมควรนะ ไม่อย่างนั้นคุณก็ฝืนไม่ไหว มันจะเศร้ามากจนทำตัวดีๆ ไม่ได้เลย ต่อให้มีใครพยายามช่วย” เขายักไหล่ให้

 

เขากลับไปมองท้องฟ้าอีกครั้ง แววตาเหมือนได้เห็นสิ่งที่งดงามเหลือเกิน

 

“ผมโชคดีที่แม่ยังอยู่คอยรักและดูแล แล้วก็โชคดีที่ได้เจอความรักที่ไร้เงื่อนไข”

 

“แม่รักเธอได้ขนาดนั้นเลยเหรอ” ฉันพูดไม่ถูก แต่ยินดีกับเขา

 

“ไม่หรอก แม่ก็ยังรักผมเหมือนที่คนๆ หนึ่งจะรัก ผมมีสองความรัก อีกหนึ่งจากทุกๆ อย่าง”

 

“ทุกๆ อย่าง?” ฉันงุนงง

 

“ทุกๆ อย่าง” เขายืนยัน “ผมก็มีเรื่องที่ต้องรับผิดชอบ เหมือนคนอื่น มีเรื่องเสียใจ หิวโหย สับสน ร้องไห้ มันแย่มากเลยนะที่พอตายแล้วเราหลับไปให้พ้นทรมานไม่ได้ ความรู้สึกมันจะติดอยู่กับเรา จำได้หมดจด น้ำตาทุกหยด จนกว่าความรักจะมาอีก”

 

อา… ความตายช่างน่ากลัว

 

ชีวิตก็ช่างเศร้า

 

ฉันร้องไห้ก่อนจะหลับลงครั้งนี้ หลับทุกเวลาที่รู้สึกถึงเวลา

 

ไม่รู้เหมือนกันว่าจะเป็นไปถึงเมื่อไหร่

 

“วันนี้ความรักกลับมาล่ะ” เขาลุกนั่งยิ้มให้ “เพราะงั้น ผมก็เลยมาหาเพราะคุณเศร้า”

 

ทำไมกันล่ะ… เราไม่ได้รู้จักกัน

 

ฉันไม่เข้าใจ แต่อบอุ่นประหลาดเหมือนถูกกอดโดยแสงแดด

 

“ขอบคุณนะ” ฉันยิ้มให้ ราวกับจะร้องไห้

 

รับรู้ลึกๆ ว่าตัวเองกำลังหนุนหมอน หมอนที่เพิ่งหมาดน้ำตาฉันเอง

 

แต่ไม่เป็นไรแล้ว ไม่เป็นไรเลย

 

ทำไมนะ พอมีความรู้สึกที่เขามอบให้ฉันก็เข้มแข็งอย่างประหลาด

 

“คุณช่วยหาผ้าเช็ดตัวให้ผมสักผืนสิ” เขาพูดยิ้มๆ เหมือนรู้ว่าต้องอำลากันแล้ว

 

“ฉันจะหาผืนที่อุ่นที่สุดให้” ฉันยิ้ม “ผืนฟูใหญ่”

 

เขาหัวเราะเขินๆ แต่ฉันคิดจริงๆ ว่ามันจะเป็นผ้าเช็ดตัวที่ดีที่สุดผืนหนึ่งในชีวิตที่จะมอบให้ใครสักคน

 

ฉันจะตื่น ไม่มีอะไรในวันพรุ่งนี้นอกจากตามหาผ้าเช็ดตัวผืนนี้ที่รออยู่สักแห่ง

 


 

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

Kappasaisai@gmail.com

นักเขียนผู้หลงใหลการลับมีด เจ้าของเรื่องสั้น "ชายชราเบาหวาน" ที่ได้รับรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดประเภทเรื่องสั้น ปี 2555 ปัจจุบันใกล้จะมีนวนิยายของตัวเอง 1 เล่ม กับสำนักพิมพ์ Boligraf Book ยังคงเขียนงานอยู่อย่างต่อเนื่องที่บ้านของตน

ทรายสีดำ

 

 

หลับตา ทุกครั้ง

ฉันเห็นหาดทรายดำทอดไกล เลียบทะเลสีหมอง

ไม่แน่ใจว่า ฟ้าขาวขุ่นหรือสีอะไร

แต่หาดนั้นมาหาทุกเวลา

เมื่อจมความมืดข้างในตัวเอง ไม่ว่าหลับใหลหรือรู้ตัว

เหมือนเพื่อนมาเยี่ยมเยือนยามว่าง มันเป็นอิสระจากฉัน

 

วันหนึ่งอันว่างเปล่า เมื่อฉันหลับตาหนีตัวหนังสือบนตัก

หาดทรายมาหาฉัน

ก้มกอบทรายสีดำนั้น

แล้วพบว่าเม็ดทรายทั้งหมด คือฉันเอง

ฉัน…เมื่อวานนี้ เมื่อเดือนก่อน เมื่อปีก่อน

ฉัน…เมื่อนาทีก่อน

ฉันเมื่อวินาทีก่อนที่ฉันรู้จักดี

ฉันที่เป็นคนอื่นที่ฉันไม่รู้จัก

ฉันที่เคยตายไปแล้วเมื่อชาติภพที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้

ฉันในนาทีที่หนึ่งล้านของชาติภพที่เท่าไหร่ก็ไม่อาจรู้ได้

 

ทรายนั้นเป็นเถ้าของฉัน

เม็ดหนึ่งนั้น คือ ความรู้สึก ความคิด ความทรงจำ ร่างกาย ทรงผม ดวงตา ริมฝีปาก

จะเป็นฉันอีกไม่รู้จบ

 

ฉันพบฉันเมื่อปีก่อนโดยบังเอิญ

พิศวงหัวใจว่าตัวฉันช่างมากมายและยาวไกลเหลือเกิน

บางวันฉันอยากรู้จักเม็ดทรายทุกเม็ด แต่อีกวันฉันก็ไม่กล้าจะปิดเปลือกตาลง

ทุกความผิด ความทุกข์ ความยินดี อยู่ในหาดทรายนี้

มากต่อมากเป็นสิ่งที่ไม่รู้ว่าเคยมี เพราะฉันได้ตายซ้ำๆ เลือนหายไปซ้ำๆ

 

ฉันไม่แน่ใจอีกต่อไปว่าฉันมีความหมายอย่างไรกัน

หาก ‘ฉัน’ มีแค่ ‘ฉัน’ เดียว ฉันอาจเข้าใจได้ชัดเจนกว่านี้

แต่เพียงในชีวิตหนึ่งก็มีฉันมากมายเหลือเกิน

วันนี้ฉันตาย ฉันก็จะเป็นเม็ดทรายสีดำอีกเม็ดที่รอฉันกลับมาพบอีกครั้ง

สักวันหนึ่ง

 


 

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

Kappasaisai@gmail.com

นักเขียนผู้หลงใหลการลับมีด เจ้าของเรื่องสั้น "ชายชราเบาหวาน" ที่ได้รับรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดประเภทเรื่องสั้น ปี 2555 ปัจจุบันใกล้จะมีนวนิยายของตัวเอง 1 เล่ม กับสำนักพิมพ์ Boligraf Book ยังคงเขียนงานอยู่อย่างต่อเนื่องที่บ้านของตน

Graveyard No.6

ขอให้อยู่

 

เถ้าแก่ตึกถามว่า ‘กลัวไหม’ เธอส่ายหน้า เห็นท่าไม่ใส่ใจแกมรำคาญแกก็หวังว่ากูคงได้คนที่ต้องการแล้ว

 

หวังไว้คนที่เท่าไหร่แกก็ไม่ได้นับ

 

แกย้ำให้เข้าใจและเห็นใจว่า ‘ถ้าเธออยู่ได้ คนก็จะค่อยๆ กลับมา’

 

เธอพยักหน้า ต้องเอาอยู่แล้ว ห้องนี้ชั้นนี้ไม่คิดค่าเช่า ค่าน้ำ ค่าไฟ เธอก็มีความหวังขึ้นอีกโข

 

มันเจ็บเศร้าอย่างหนึ่งว่าถ้ารักไม่เหมือนคนอื่นก็ต้องกินความหวังเข้าไปมากๆ ให้มันอิ่มลม ไม่งั้นก็อยู่ไม่ไหว

 

วันไปคุยเรื่องเช่าห้องเธอยังกอดต้นฉบับที่วาดค้างๆ ไว้แน่น มันอยู่กับเธอมาสี่เดือนแล้ว เส้นตายเห็นในสายตา แต่ทุกวันก็เหนื่อยงานที่ออฟฟิศเหลือเกิน

 

เมื่อเดือนก่อนชายหนุ่มผู้เป็นบรรณาธิการสำนักพิมพ์บอกเธอว่าถ้าไม่ทันก็คงต้องล้มเลิก เขาชินชาแล้ว เสียดายแต่โอกาสของมือสมัครเล่น เธอมีมือที่โตได้อีกไกล

 

ไปได้อีกไกล… เธอฟังคำนั้นแล้วสงสารตัวเอง

 

เธอลาออก ปิดไม่ให้ใครรู้ หอบข้าวของจากที่พักเก่ากับเงินเก็บก้อนเท่ากำปั้นไปตายกับความหวังอยู่เงียบๆ

 

3 วันแรกมานอนที่นี่เธอได้ยินเสียงกระซิบพร่าข้างหูปลุกตื่น เสียงนั้นถามว่า ‘ทำอะไรอยู่’

 

เธอมองไปที่โต๊ะ นิยายภาพลงสีไว้ยังวางค้าง

 

เธอตอบกลับเสียงนั้นว่า ‘วาดนิยาย’

 

ไม่รู้หรอกว่าหญิงหรือชาย ในห้องนี้ไม่เห็นร่องรอยบอกได้ แต่เธอรู้แน่นอนว่าห้องที่อยู่น่ะ มี ไม่งั้นคงไม่โล่งไปทั้งชั้น 4 นี่ชั้น 3 คนก็เริ่มหาย แล้วก็คงลามเหมือนเริม

 

แม่ครัวร้านข้าวหน้าตึกบอกว่า มันไม่ได้มีแค่ห้องนั้น

 

เท่าที่แกรู้ ห้องตรงข้ามมีผู้ชายผูกคอตายหลังพยายามฆ่าหนุ่มคนรักเพราะหึงหวง

 

พอได้ฟังแบบนั้น สามทุ่มวันต่อมาเธอก็ได้ยินเสียงเตะเก้าอี้ล้มเหมือนแทนคำพูดว่า ‘ยินดีที่ได้รู้จัก’ จากวันนั้นทุกสามทุ่มก็ได้ยินเสียงเก้าอี้ล้มตลอด

 

แม่ครัวร้านข้าวถามว่าเธอไม่กลัวหรือ

 

เธอทำหน้านึก จะบอกว่าไม่กลัวผีก็ไม่ใช่ แต่มันยังแตะไม่ถูกที่กลัว ไอ้ที่ตรงนั้นอยู่ไหนก็ไม่รู้เหมือนกัน

 

“แปลว่าเคยเจอผี?” แม่ครัวถาม

 

ครั้งหนึ่งไปทำบุญเช้าวัดเก่า มันตัดหัวประหารกันแล้วโยนใส่ เธอโกรธตะโกนใส่มันว่าก็ขอให้พวกมึงตัดหัวกันอยู่ที่นี่จนโลกฉิบหาย

 

อีกครั้งไปนอนเฝ้าศพเพื่อนที่เพิ่งรับปริญญา กลับจากฉลองได้งานแล้วรถคว่ำ มันมาร้องไห้ข้างโลงทั้งร่างคอหักบิดไปข้างหลัง (ก็หันหลังเอาหน้าคุยกับเธอ) บอกให้ช่วยทำโน่นทำนี่เหมือนจะให้ใช้ชีวิตแทนกัน หนนี้เธอกลัว

 

“แล้วนี่ทำงานทำการอะไรล่ะเรา ไม่เห็นออกไปไหน” แม่ครัวถาม

 

เธอยิ้มแล้วเฉไฉชวนคุยไปเรื่องอื่น

 

นับวันคืนไม่ได้ ตื่นมากินแล้วก็วาด รู้ตัวอีกทีดูเหมือนมีคนมาเช่าชั้น 3 จนโหวกเหวกโวยวาย ชั้น 4 ก็เพิ่มมาอีกราย เป็นป้าคนหนึ่ง หล่อนยังสวยเหมือนเพิ่งพ้นสาว บางทีสวนกันตอนเธอไปหาอะไรกิน เจอกันก็ยิ้มให้

 

เธอชอบยิ้มนั้น เหมือนหล่อนเอ็นดู

 

“หนูอยู่ห้องนั้นเหรอ” วันหนึ่งป้าคนสวยก็ชวนคุย เธอพยักหน้า จริงๆ ก็อยากคุย แต่อีกใจก็ไม่อยาก เธอไม่ชอบพบหน้าผู้คนเท่าไหร่

 

“เก่งจัง” หล่อนพูด

 

“ถ้าหนูไม่อยู่ก็ไม่มีใครมาอยู่ ก็ช่วยๆ เถ้าแก่เขาไป” เธอถ่อมตัวอายๆ

 

“ดีแล้วล่ะ” หล่อนยิ้มสวยให้

 

พอเธอคิดว่าทั้งหมดนี้เป็นฝีมือตัวเองแล้วก็ชื่นใจเล็กๆ

 

อยู่แบบนี้มันเศร้าเอาเรื่อง

 

ขังตัวเองวาดภาพ อยากให้เสร็จเร็วๆ ไม่ถึงไหนสักที วาดไปก็หวังไป ‘ต้องขายได้น่ะ’ ‘หมด 3000 เล่มจะดีแค่ไหน’ ‘ต้องได้สิ มีคนอ่านอยู่แล้ว’ ‘5000 เล่มเลยเป็นไง’

 

บก.บอกว่าสัญญาทำแค่ 1000 เล่ม

 

เธอคิดว่างานของเธอน่าจะคาดหวังได้มากกว่านั้น

 

“ก็ใช่ แต่พิมพ์ 1000 เล่มน่ะรอบคอบที่สุดแล้ว สำนักพิมพ์พี่ก็แค่ห้องเช่านี้ พี่ต้องรับงานอื่นทำด้วย ไม่งั้นก็อยู่ไม่ได้” เขาถอนใจ จุดบุหรี่สูบ

 

“เหลือขายมาจะเอากองไว้ไหน สู้พิมพ์น้อยแล้วขายหมดค่อยพิมพ์ซ้ำดีกว่า จะให้พี่พิมพ์ 3000 เล่มตามนิยมก็ได้ แต่พี่คงจ่ายค่าลิขสิทธิ์ทันทีไม่ได้ เพราะทุนมันเพิ่มอีกเท่าตัว ต้องแบ่งจ่ายเราตัดตามยอดขายจริง 3 เดือนสายส่งถึงจะตัดยอดทีนึง” เขาพูด

 

ปลอบตัวเองว่า 1000 เล่มก็ได้ เงินแค่นี้ก็เอา มีพันแรกก็ต้องมีพันต่อไป

 

ขอแค่ให้ได้เริ่ม

 

2 เดือนกว่าในที่สุดกระดาษแผ่นสุดท้ายก็วาดเสร็จอิ่มใจที่สำเร็จ ดีใจที่พ้นทรมาน ถ้าไม่มีแผ่นสุดท้ายนี้ชีวิตก็เป็นเรื่องลมๆ แล้งๆ เธอโทรแจ้งบก.แล้วก็หลับไปในรุ่งเช้า

 

หลับไปได้ 2 ชั่วโมง ในฝันนั้นมืดสนิทเธอได้ยินเสียงร้องไห้ เศร้าจนเธอต้องตื่น

 

เศร้าจนสงสาร ไม่ใช่แค่สงสารคนร้องไห้แต่สงสารตัวเองด้วย ก็ไม่รู้ว่าจะสงสารตัวเองด้วยเรื่องอะไร

 

สายๆ บก. ก็โทรหาบอกให้เอาต้นฉบับมาส่งแล้วคุยกัน เธอดีใจจนลืมสงสาร เธอโทรหาเพื่อนสนิทที่ปิดไม่ให้รู้ว่าเธอเป็นตายร้ายดีอย่างไร เล่าให้ฟังทุกอย่างตั้งแต่เรื่องตึกผีนี่จนเรื่องกระดาษแผ่นสุดท้าย

 

เธอเล่าเพราะอยากให้เพื่อนกลับมาวาดรูปอีกครั้ง

 

“เขายังไม่ได้เขียนสัญญากับแกอีกเหรอ” ปลายสายถาม

 

“มันคุยตอนไหนก็ได้นี่งานยังไม่เสร็จ” เธอไม่เห็นเป็นเรื่องสำคัญ

 

“แกบอกว่าทีแรกเขาจะพิมพ์ 3000 เล่ม แต่ตอนนี้ลดเหลือ 1000 เล่ม?” เพื่อนยังรุกถาม

 

“1000 ก็ 1000 สิ ไม่ใช่ไม่เข้าใจนะ ฉันตัดสินใจแล้ว ยังไงก็ต้องผ่านไปให้ได้” เธอถอนใจทิ้งความรู้สึกน่าเสียดาย

 

เธอไม่ใช่คนเดียวสักหน่อยที่ได้พิมพ์หนังสือระดับนี้ มีคนอยากพิมพ์งาน แต่ทำได้แค่พิมพ์ขายเองกลุ่มเล็กๆ แค่ 50 เล่ม 100 เล่ม อีกมากมาย 1000 ก็เยอะแล้ว

 

“แก… แกรู้ได้ยังไงว่าพอแกเอาต้นฉบับให้เขาแล้วเขาจะไม่บอกว่าเหลือพิมพ์แค่ 500 เล่ม” เสียงเพื่อนลำบากใจ “แกวาดมือนะ งานอยู่กับเขา เขาจะบีบแกยังไงก็ได้”

 

เธอฟังแล้วหัวใจชา จะบอกได้หรือว่าเพื่อนน่ะคิดมาก ยิ่งฟังเพื่อน เธอยิ่งกังวลในความเอาใจใส่และหวังดีของบก.

 

“เอางี้สิ แกก็บอกเขาไปว่า พี่จะขายกี่เล่มก็ได้ แต่ให้เขียนสัญญาว่าค่าเรื่องตามจำนวนพิมพ์จริง ถ้าพิมพ์น้อยก็ต้องจ่ายเลย”

 

แล้วเพื่อนก็วางสาย

 

เธอร้อนใจโทรหาบก. บอกทุกอย่างตามที่เพื่อนแนะนำ แข็งใจพูดกับเขาจนมือไม้สั่น แต่เขาว่าเรื่องสัญญาน่ะไว้คุยกันหลังต้นฉบับตีพิมพ์แล้วก็ได้ สัญญามันเขียนตอนไหนก็ได้ เธอรู้ว่าเขาไม่คิดจะเขียนสัญญา

 

เธอยิ้มให้ปลายสายว่าคงส่งต้นฉบับให้ไม่ได้

 

เขาหลอกมาตลอด เหมือนคนรักเหี้ยๆ คนหนึ่ง เขาตั้งใจไว้แต่แรกแล้วว่าจะจ่ายให้เธอแค่ 1000 เล่มจากยอดพิมพ์ที่มากกว่านั้น ถ้ามีลายลักษณ์อักษรเขียนว่าจะจ่ายเท่าพิมพ์จริงไม่ใช่ 1000 แผนก็ล้ม

 

เธอร้องไห้ ปล่อยน้ำตาไหลจนหมดตัว นอนนิ่งเหมือนระบบอวัยวะหยุดทำงานไปแล้ว รู้สึกว่าทุกอย่างยากเหลือเกิน

 

สามทุ่มยังได้ยินเสียงเก้าอี้ล้ม แต่มันไม่มีความหมายอะไรอีกแล้ว เธอแทบจะตะโกนบอกให้มันมาล้มอยู่ในห้องนี้ด้วยซ้ำ อย่างน้อยก็ช่วยอยู่เป็นเพื่อนกันหน่อย เธอกลัวเหลือเกิน

 

สามทุ่มวันแรกผ่านไป

 

สามทุ่มวันที่สองผ่านไป

 

เธอยังนอนร้องไห้ไม่ขยับเขยื้อน

 

สามทุ่มวันที่สามเธอได้ยินเสียงป้าคนนั้นตะคอกมา

 

“มันจะอะไรกันนักกันหนา! น่ารำคาญ!! เห็นใจคนอื่นเขาบ้าง!!!”

 

คำด่าพร่ำสวดกระแทกลั่น ได้ยินชายคนหนึ่งที่เธอไม่คุ้นถามขึ้นว่าเกิดอะไร

 

“ก็ไอ้ห้องเนี่ยทำเสียงดังน่ารำคาญอยู่นั่นแหละ” ป้าบอก

 

“แต่ห้องนี้ไม่มีคนอยู่นะครับ” อีกฝ่ายตอบงงๆ

 

“เออ ก็รู้ไงว่าไม่มีคนอยู่ เพราะงั้นมันก็สมควรทำตัวให้เหมือนไม่มีคนอยู่สิ ไม่เห็นใจห้องตรงข้ามบ้าง หนูเขาเศร้าอยู่ก็ยังกวนใจ”

 

ประโยคนั้นเองดึงเธอกลับมา งุนงงไม่เข้าใจ ข้างนอกยังโต้เถียง เธอลุกขึ้นซวนเซ อยากจะรู้อยากจะคุย

 

แต่พอเปิดประตูเสียงก็ดับสนิทดื้อๆ ราวกับปิดวิทยุ ไม่มีใครอยู่ตรงนั้น

 

เธอเดินออกไปสอดส่ายมองดูตลอดโถงโล่งเปล่า ทิ้งประตูห้องตัวเองเปิดอ้าไว้

 

ประตูห้องเธอที่เบื้องหลังกระแทกปิดลงทั้งๆ ที่ไม่ได้แตะต้อง

 

เธอนั่งอยู่ที่โถง ไม่กล้าเข้าห้องตัวเอง จนเช้าถึงลงไปถามเถ้าแก่ แต่ถามยังไงแกก็ไม่ตอบ

 

“หนูจะอยู่ห้องนี้ให้จนมีลูกค้ากลับมาเช่าเต็มชั้น 4 ถ้าเถ้าแก่ยอมบอก หนูไม่ได้กลัว หนูแค่อยากรู้” เธอหยิบสมุดเปล่าบนโต๊ะเถ้าแก่ยื่นให้อีกฝ่าย บอกว่าเขียนสัญญาขึ้นมาได้เลย

 

‘อย่าแพร่งพรายอีก’ เถ้าแก่กำชับ คนที่ตายในห้องนั้นคือเมียน้อยแกเอง รถคว่ำ วนเวียนอยู่นี่ ชั้น 4 เขาเห็นกันทั้งนั้นจนหายกันไปหมด ที่แม่ครัวไม่ยอมบอกเธอเรื่องผู้หญิงคนนี้ก็เพราะเช่าตึกเถ้าแก่ทำร้านข้าว ห้องฝั่งตรงข้ามเป็นคู่รักที่ได้อยู่ฟรีเหมือนเธอ ฝ่ายชายที่ถูกแทงให้การว่าแฟนเขาหึงหวงเพราะเห็นไปไหนมาไหนมีผู้หญิงห้องตรงข้ามตามตลอด คู่นี้หึงกันแรงอยู่แล้ว ฝ่ายที่แขวนคอตายก็ไม่สืบไม่สาวอะไรทั้งนั้น ลงมือกันเลย

 

นั่นเป็นเรื่องทั้งหมด เธอฟังไปงั้นเองให้ผ่านๆ หู ถึงอยากรู้แต่ใจมันตาย เธอลงลายมือชื่อตามสัญญาแล้วก็กลับมาที่ห้อง

 

‘อยู่จนกว่าจะมีคนกลับมาเช่าเต็มชั้น 4’ เธอยักไหล่ จะให้ไปไหนได้ ยังต้องนอนร้องไห้อีกกี่วันก็ไม่รู้ จะทำอะไรต่อก็ยังไม่แน่ใจ เงินก็ไม่มีแล้ว แต่อย่างน้อยก็อยู่ฟรี

 

เธอมองต้นฉบับนิยายภาพที่เข้าเล่มบนโต๊ะ ไม่อยากเห็นมันด้วยซ้ำ

 

เผาทิ้งดีไหม ลืมไปเสีย

 

เธอพลิกอ่านแต่ละแผ่น อ่านแล้วก็ร้องไห้

 

ที่หน้าสุดท้ายมีปากกาหมึกน้ำเงินเขียนไว้มุมกระดาษ ลายมือนิรนาม

 

‘ร้องไห้ก็ร้องไป ไม่ทำก็ไม่ต้องทำ แต่อยู่ให้ได้’

 

เธอยิ้มทั้งน้ำตา

 


 

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

Kappasaisai@gmail.com

นักเขียนผู้หลงใหลการลับมีด เจ้าของเรื่องสั้น "ชายชราเบาหวาน" ที่ได้รับรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดประเภทเรื่องสั้น ปี 2555 ปัจจุบันใกล้จะมีนวนิยายของตัวเอง 1 เล่ม กับสำนักพิมพ์ Boligraf Book ยังคงเขียนงานอยู่อย่างต่อเนื่องที่บ้านของตน

Slice of life No.4 – ที่หลับซ่อนอยู่

 

 

ในตอนนี้เธอมีลูกค้าอยู่ 4 รายด้วยกันที่มาขอรับคำปรึกษาแก้ไข

 

คนหนึ่งปวดหลัง คนหนึ่งภาวะเครียดจัด คนหนึ่งต้องการขอหย่ากับสามี

 

ส่วนเขาตามหาเทปคาสเซ็ตที่หายไป

 

เขาไม่ปฏิเสธสิ่งเหลือเชื่อใดๆ ในเมื่อเขาต้องการสิ่งที่เหลือเชื่อ

 

Read More

SCHOOL LIFE No.13 – สาวน้อยเวทมนตร์

 

 

ผมตกหลุมรัก

 

เธอเป็นเพื่อนร่วมห้องมาตั้งแต่ม.ต้น เป็นคนที่ใบหน้าและแก้มลงตัวกับผมสั้นๆ แบบทรงนักเรียนหญิงอย่างหมดจด ผมกล้าพูดว่าเธอตัดผมทรงนี้ได้น่ารักที่สุดในทางช้างเผือก

Read More

Slice of life No.3 – นักลับมีด

 

นักลับมีด

 

เงินเก็บสะสมตั้งแต่ฉันจำความ

 

อันที่จริง เงินสะสมเหล่านั้นคือเงินรางวัลตลอดชีวิตที่ผ่านมา ฉันยังรับรู้ถึงความหวังเก่าแก่เคลือบอาบทุกเหรียญทุกธนบัตร

 

Read More

SCHOOL LIFE No.12 – น้องสาว

 

 

“วันนี้ไม่ไปโรงเรียนรึไง” น้องชายเปิดประตูเยี่ยมหน้าเข้ามาถามในห้อง ผมนอนอ่านการ์ตูนอยู่

 

“ไม่สบายน่ะ ต้องทำรายงานส่งพรุ่งนี้” ผมตอบ “เอาจดหมายลาป่วยนี่ไปให้ครูที่ห้องพักด้วยแล้วกัน”

 

Read More
error: