เนตร – เอพริษา

วันที่ 1

มิราตื่นขึ้นมากลางดึกเหมือนหลายๆคืนที่ผ่านมา เธอเป็นนักเขียนนวนิยายแนวแฟนตาซีที่มีชื่อเสียงและเคยทำงานได้รวดเร็ว สมองปลอดโปร่ง แต่ช่วงนี้หญิงสาวไม่เข้าใจตนเองเหมือนกันว่าทำไมถึงมีความผิดปกติทางร่างกาย หรือจะพูดให้ถูกคือความผิดปกติทางสมอง มิราสังเกตว่าตนเองสมาธิสั้น ว่อกแว่ก ไม่เป็นตัวของตัวเอง ขี้ระแวงและ…รู้สึกเหมือนมีใครจ้องมอง

ที่เธอชอบสะดุ้งตื่นกลางดึก ก็เพราะรู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองนั่นเอง

ความผิดปกติที่เป็นมาตั้งแต่เริ่มเขียนนวนิยายเรื่องใหม่

เมื่อนึกถึงตรงนี้สายตาของมิราก็เหลือบไปที่โต๊ะเขียนหนังสือของตนอย่างอัตโนมัติ หญิงสาวมองฝ่าความมืดไปยังวัตถุชิ้นหนึ่งที่อยู่ข้างๆคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนของเธอ ท่ามกลางความมืดยังคงมองเห็นรางๆว่า วัตถุชิ้นนั้นมีขนาดเท่าฝ่ามือเด็ก มันคือหินขนาดเขื่องก้อนหนึ่งที่มีรูปร่างแปลกตา มีลักษณะเป็นทรงรีที่มีมุมแหลมจรดกันทั้งสองด้านคล้ายกับดวงตามนุษย์ และที่พิกลกว่านั้นคือ หินนั่นมีร่องเป็นทรงกลมมนอยู่ด้านในคล้ายกับลูกตา

มิราได้หินก้อนนี้มาอย่างลึกลับ ขณะเดินทางไปเที่ยวน้ำตก ‘นางไศล’ กับเพื่อน ในตอนนั้นมิราแทบหมดหวังกับอาชีพที่ใฝ่ฝัน นั่นคือการเป็นนักเขียน เธอส่งต้นฉบับไปหลายที่ บางที่ปฏิเสธ และบางที่ยังรอการตอบรับ

ชินี เพื่อนสนิทของมิรา ไม่อยากเห็นสภาพเศร้าสร้อยของเธออีกต่อไป จึงเอ่ยว่า

“เธออาจอยู่กับที่ อยู่ในบ้าน ในเมือง ในที่เดิมๆเกินไป ไอเดียเลยไม่พุ่ง ไปเที่ยวกันมั้ย”

“ไม่หรอก เธอก็รู้ว่าฉันไม่ชอบไปเที่ยว”

“เอาน่า ไปเที่ยวครั้งนี้อาจได้พล็อตเรื่องใหม่ก็ได้นะ”

“เธอจะพาฉันไปเที่ยวไหนเหรอ มิติอนาคตรึไง”

“บ้าน่า…ก็ไปน้ำตกนางไศลไง”

“หือ…ที่ไหนน่ะ ไม่เคยได้ยิน”

“เป็นน้ำตกที่ยังไม่เปิดให้ท่องเที่ยวอย่างเป็นทางการ เพราะชาวบ้านกลัวว่าถ้ามีคนนอกเข้าไป อาจมีเรื่องไม่ดีเกิดขึ้นในหมู่บ้าน หรือนักท่องเที่ยวอาจเจอเรื่องประหลาด”

“เรื่องประหลาดอะไร!” มิราถามอย่างสนใจ แม้จะเชื่อครึ่งไม่ครึ่ง แต่ถ้าสถานที่ที่เธอกำลังจะไปมีตำนานลึกลับก็อาจนำมาดัดแปลงเป็นนวนิยายเรื่องใหม่ได้

“เขาว่ากันว่า น้ำตกนี้มักมีหินรูปร่างแปลกๆ บางทีเป็นหินนำโชค เอ…ฉันว่าชาวบ้านคงกลัวนักท่องเที่ยวไปแย่งหินนำโชคเขามากกว่าเลยไม่ยอมเปิดให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว แต่ช่างเถอะ ที่อยากให้ไปน่ะก็เพราะ น้ำตกนางไศลน่ะสวยมากๆๆๆ ก.ไก่ล้านตัว”

หินนำโชค…นางเอกได้หินนำโชคมาจากน้ำตกลึกลับ เมื่อนำกลับไปที่บ้านก็พบว่าหินนั้นมีวิญญาณพี่สาวของเธอจากอดีตชาติ ที่รอคอยการแก้แค้น…

พล็อตใหม่!

แล้วมิราก็ตกลงทันทีอย่างไม่ลังเล

ขณะที่ชินีกำลังเลือกมุมถ่ายรูป มิราก็ออกสำรวจบริเวณรอบๆเพื่อเก็บรายละเอียดสภาพแวดล้อมเผื่อได้ใช้บรรยายฉาก น้ำตกที่ว่านี้สวยลึกลับจริงๆ มิราดื่มด่ำความงามธรรมชาติจนกระทั่งเท้าพาเธอเดินเข้าไปยังป่าลึก ลึกจนแทบไม่ได้ยินเสียงน้ำตก

ฉับพลัน! มีหญิงชราปรากฏตัวอย่างไม่คาดฝันตรงหน้า นางมอบหินนี้ให้มิรา

“เนตรไศล…แม่หนูรับไปเถิด แม่หนูเป็นผู้ถูกเลือก”

“มันคืออะไรคะ”

“เนตรไศล…หินมหัศจรรย์…”

จังหวะนั้นเสียงของชินีก็ดังขึ้น

“มิรา! หาตั้งนาน นึกว่าแมวคาบไปกินแล้วซะอีก มาถ่ายรูปทางนี้เร็ว”

หญิงสาวหันไปรับคำเพื่อน อดขำไม่ได้ เข้าป่าไม่พูดถึงเสือ แต่พูดถึงแมวแทน…แล้วหันกลับมาหาหญิงชราอีกครั้ง แต่ปรากฏว่าเธอพบเพียงหินรูปทรงประหลาดวางบนพื้นดิน มิราหยิบขึ้นมาอย่างงงๆ

“หินอะไร เหมือนตาคนเลย เพราะอย่างนี้สินะถึงชื่อเนตรไศล” เธอใช้ความคิดว่าจะเก็บไว้หรือปล่อยทิ้งไว้ตรงนั้นดี แล้วก็ได้คำตอบว่า

“เก็บไว้ดีกว่า อาจเป็นหินนำโชคก็ได้”

มิราตัดสินใจนำหินประหลาดใส่เป้ที่สะพายอยู่ แม้จะไม่ได้เป็นสายมูเตลู แต่ของอย่างนี้ไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่ ไม่แน่ว่าหญิงชราลึกลับอาจนำโชคมาให้ และ…มิราแปลกใจจนขนลุกซู่ เรื่องราวที่เธอเจอวันนี้คล้ายกับพล็อตที่วางไว้ก่อนจะมาเที่ยวเลยแฮะ

แน่นอน…เธอได้พล็อตและชื่อนวนิยายเรื่องใหม่แล้ว…เนตรไศล…ขอบคุณคุณยายนะคะที่ช่วยให้หนูตั้งชื่อนวนิยายเรื่องใหม่ได้

เนตรไศล…หินนำโชคและนำพล็อตนวนิยายมาสู่เธอ

แล้วก็เป็นดังที่คาด เมื่อมิรานำหินรูปดวงตามาไว้ใกล้ตัวขณะทำงาน เธอก็มีไอเดียบรรเจิด เขียนงานได้อย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ต้นฉบับหลายเรื่องที่เคยถูกปฏิเสธนั้นได้รับการติดต่อมาจากสำนักพิมพ์อย่างไม่คาดฝัน

“ใช่ค่ะ เราเคยปฏิเสธต้นฉบับนวนิยายเรื่อง มนต์เทวา เพราะคิดว่าพล็อตเรื่องไม่มีอะไรแปลกใหม่ แต่มาคิดดูอีกที ตัวละครในเรื่องน่าสนใจและมีมิติมากเลยค่ะ ถ้าคุณมิรายังไม่ได้เอาต้นฉบับไปตีพิมพ์ที่ไหน สำนักพิมพ์ของเรายินดีรับพิจารณาอีกครั้งนะคะ”

หรือในวันหนึ่ง มิราได้รับแจ้งว่านวนิยายของเธอที่วางจำหน่ายมาหลายปีแล้ว กำลังจะได้ผลิตเป็นละครโทรทัศน์ที่มีนักแสดงดาวรุ่งเป็นตัวละครเอก

จากนักเขียนที่ไม่มีใครรู้จัก กลายเป็นนักเขียนดาวรุ่ง นวนิยายของเธอหลายเรื่องมีผู้เลือกหยิบมาสร้างเป็นละครโทรทัศน์ และทำให้ละครมีเรตติ้งและยอดวิวนับล้านวิว ไม่มีใครไม่รู้จักมิราและผลงานจากปลายปากกาของเธอ

มิรากลายเป็นเน็ตไอดอลในโซเชียลภายในเวลาเพียง 3 เดือน ตั้งแต่นำหินรูปดวงตากลับมาจากน้ำตกนางไศล

แต่ตอนนี้ หลังจากเริ่มเขียนนวนิยายเรื่อง ‘เนตรไศล’ มิราก็เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติที่เกิดขึ้น ทุกครั้งที่เริ่มเขียน มิรามักสัมผัสได้ถึงสายตาล่องหนคอยจ้องมองอยู่ และเธอก็เชื่อสุดใจว่า ก้อนหินรูปดวงตานี้เองเป็นผู้จับตามองเธอ

ความคิดของมิราล่องลอยไปไกล จนกระทั่งตอนนี้นาฬิกาบอกเวลา 4.00 น. ความจริงตอนนี้เป็นเวลาตื่นของเธอในยามที่หัวกำลังแล่น มิรามักตื่นก่อนสว่างเพื่อเขียนต้นฉบับ แต่วันนี้เธอสะดุ้งตื่นราวตีสาม ถ้าจะนอนต่อก็คงไม่ได้ เพราะอยากเขียนตอนต่อไปของนิยายให้เสร็จเร็วๆ

มิราเปิดไฟในห้องให้สว่าง ส่วนหนึ่งเพื่อให้สมองตื่น อีกส่วนหนึ่งบอกตามตรงว่า เธอกลัวก้อนหินรูปร่างพิกลนั่น จนไม่กล้าตื่นก่อนสว่างและขยาดการนอนดึก เพราะช่วงนี้มิราไม่อยากใช้ชีวิตตอนกลางคืนร่วมกับหินเนตรไศลนั่นเอง

แต่เดิมนั้นมิราไม่กลัวหรือคิดว่าหินเนตรไศลมีวิญญาณหรืออาถรรพณ์อะไร เพราะเรื่องแบบนั้นควรจะอยู่ในนวนิยายเรื่อง ‘เนตรไศล’ ที่เธอกำลังเขียนอยู่มากกว่า แต่แปลกจัง ทำไมตั้งแต่เริ่มเขียนนวนิยายเรื่องนี้ ถึงรู้สึกแปลกๆ หินนั่นจ้องมองและทำให้เธอเขียนตอนต่อไปของนวนิยายเรื่องนี้ได้ยากขึ้น

หรือหินนั่นจะมีอาถรรพณ์จริง…และอาถรรพณ์เริ่มสำแดงในตอนที่เริ่มเขียนเรื่องราวเกี่ยวกับมัน…มิราไปลบหลู่สิ่งที่อยู่ในหินหรือ…

แต่แล้ว…มิราก็รู้วิธีขจัดความกลัวและความกังวลทั้งปวง

หญิงสาวหยิบสมาร์ทโฟนแล้วตั้งท่าจะเซลฟี่ แต่…เดี๋ยวก่อน ตอนนี้ไม่ได้

มิราวิ่งเข้าห้องน้ำอย่างรวดเร็ว ล้างหน้า ทาแป้งตลับ แต่งหน้าอ่อนๆ เปลี่ยนชุดนอนจากเสื้อยืดคอย้วย กางเกงวอร์มยับย่นเป็นชุดเดรสสบายๆเหมือนที่เธอมักสวมตอนเขียนงาน

มิราเดินมานั่งที่โต๊ะเขียนหนังสือ พยายามสลัดความรู้สึกพิกลที่มีต่อหินนั่นทิ้งไป เธอยกสมาร์ทโฟนขึ้น

แชะ!

ตื่นตีสี่ เขียนต้นฉบับ สมองแล่น โปรดักทีฟสุดๆ

แม้จะเป็นเวลาตีสี่เศษๆ แต่ยอดกดไลก์ก็พุ่งกระฉูดถึงหลักร้อยในเวลาไม่ถึงสิบนาที

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่มิราพยายามทำเพื่อหลอกตัวเอง (และแฟนคลับ) ว่าเธอเขียนงานได้ลื่นไหล ทั้งที่จริงตลอดสัปดาห์นี้ยังเขียนไม่ได้สักหน้า

หลังจากโพสต์ลงในไทม์ไลน์เฟซบุ๊กแล้ว มิราก็เปลี่ยนเป็นเสื้อผ้าชุดเดิม ล้มเลิกความตั้งใจเขียนต้นฉบับ เพราะเริ่มรู้สึกง่วงงุน อาจจะเป็นเพราะเธอสบายใจที่วันนี้ได้แสดงตัวตนในโลกโซเชียลตั้งแต่ยังไม่สว่าง มิรามักทำแบบนี้เสมอ เวลามีเรื่องไม่สบายใจ เธอชอบโพสต์ความคิดหรือเหตุการณ์ที่ตรงข้ามกับชีวิตจริงลงในโซเชียล พอทำแบบนั้นก็รู้สึกว่า มีตัวตนใหม่เกิดขึ้นซ้อนทับตัวตนเดิม

เมื่อล้มตัวลงนอนต่อ อุปาทานพิศวงก็กลับมาอีกครั้ง มันจ้องมองเธออีกแล้ว

ก่อนจะกลับคืนสู่โลกนิทรา หญิงสาวเหมือนจะได้ยินเสียงหัวเราะแผ่วๆ แว่วมาจากที่ไกลๆพร้อมถ้อยคำเยาะเย้ย

สมองแล่น…แล่นไปแบบกู่ไม่กลับล่ะสิ…นอนต่อไปแล้ว นึกว่าจะแน่

วันที่ 2

แชะ!

กาแฟ ไข่ลวก เบคอน …

อาหารเช้าวันนี้ เป็นครั้งแรกที่ทานน้อยมากๆ ปกติต้องมีข้าวต้มกุ้ง นมสด น้ำส้มคั้น แต่ถือคติว่า เรากินเพื่ออยู่ อยู่เพื่อเขียนค่าาาาาาา

เมื่อกดโพสต์เสร็จ มิราเลื่อนจานอาหารทั้งหมดออกไป เธอไม่อยากกินอะไรเลย น้ำหนักลดลงด้วย นอนก็ไม่หลับ แต่งานยังต้องเดิน

มิรานั่งลงหน้าคอมพิวเตอร์ เธอตัดสินใจ ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ต้องเขียน ‘เนตรไศล’ ต่อให้ได้ และแม้จะรู้สึกแปลกๆกับหินรูปร่างประหลาด มิราก็ยังคงวางมันไว้ในตำแหน่งเดิมนั่นคือ ข้างคอมพิวเตอร์

ของนำโชคขนาดนี้ เอาไปซ่อนไว้เพราะความกลัวบ้าๆบอๆ ก็อดโชคดีน่ะสิ

คอมพิวเตอร์เปิดติดปุ๊บ พอดีกับความรู้สึกแปลกๆก็แล่นเข้ามาในหัวเธออีกครั้ง

ดวงตาจ้องฉันอีกแล้ว…

ทำไมนะ เวลาจะเริ่มเขียนนวนิยายเรื่องนี้ ดวงตานี้ต้องสำแดงอะไรแบบนี้ด้วย ตอนอาบน้ำ กินข้าว เดินเล่น ก็ปกติดี แต่พอจะเริ่มเขียนทำไมต้องจ้องฉันด้วย…

ช่างเถอะ ก็หินมันเป็นรูปคล้ายดวงตา เราคงมโนไปเอง เหมือนกับที่เมื่อคืนเราฝันว่าหินนั่นพูดได้ไง

แชะ! แชะ! แชะ! แชะ!

หนังสือหลายเล่ม บรรยากาศบนโต๊ะทำงาน ปากกา กระดาษ บันทึกด้วยสมาร์ทโฟนหลายสิบรูปก่อนจะถ่ายทอดสู่เครือข่ายไร้พรมแดน

พร้อมลุยงาน!

เช้าวันนี้ขอทักทายด้วยนวนิยายเรื่องใหม่ เนตรไศล นักโบราณคดีสาวได้หินมาจากหญิงชราลึกลับ และเมื่อเธอนำมันกลับมาที่บ้านกลับมีเรื่องแปลกๆเกิดขึ้น เป็นต้นว่า แม่บ้านสังเกตว่ามีหญิงแต่งชุดไทยโบราณเข้ามาอาศัยอยู่ในห้องของนางเอก หรือคืนหนึ่ง นางเอกฝันว่ามีหญิงสาวที่หน้าตาละม้ายคล้ายเธอยืนอยู่ข้างหิน…หินเนตรไศลจะมีความเป็นมาอย่างไร อย่าลืมติดตามกันน้า

หลังจากคลิกโพสต์ลงไทม์ไลน์เสร็จ มิราก็ตั้งใจจะเปิดไฟล์เวิร์ดเพื่อพิมพ์ตอนต่อไปของนวนิยาย

ทว่า…

หินนั่น

ไม่ใช่แค่ความรู้สึกว่าหินนั่นกำลังจ้องเขม็งเท่านั้น ขณะนี้มิรารู้สึกพิกลกว่าเดิม

นั่นเสียงอะไรน่ะ

ทำเป็นขยัน รู้น่าว่าเป็นโรคประสาท

ก้อนหินประหลาดนั่นมีเสียงจริงๆเหรอ เมื่อคืนเธอไม่ได้ฝันไปหรือไง เสียงนั่นมาจากบริเวณนี้ รอบโต๊ะของเธอ มันจะมาจากไหนถ้าไม่ใช่จากหินเนตร…ไศล…

“นางเอกได้หินประหลาดจากหญิงชรา พล็อตเดิมๆ”

อะ…อะไรนั่น หินประหลาดนั่นมีเสียงจริงๆ

“พล็อตเดิมๆน่ะ ดีแล้ว จะได้ฉกเอาไปง่ายๆหน่อย”

เสียงนั่น…ไม่ใช่…ไม่ใช่เสียงเดียวกับเสียงแรก

“รออ่านนะ”

“เขียนแต่เรื่องแฟนตาซีซ้ำซาก เขียนแนวอื่นไม่เป็นหรือไง”

“ไม่ชอบก็อย่ายุ่ง ให้กำลังใจเธอนะ”

“ได้ยินว่าไปเที่ยวน้ำตกนางไศลมา…งั้นคงเขียนให้ตัวเองเป็นนางเอกเรื่องนี้น่ะสิ”

แน่แล้ว…หินเนตรไศลถูกผนึกวิญญาณ! มีวิญญาณร้ายหลายดวงสิงอยู่ที่นั่น

ไม่จริง! หินนี้เคยทำให้เธอสมองปลอดโปร่ง ไอเดียบรรเจิด และผลิตงานเขียนออกมาอย่างยอดเยี่ยม จะเป็นหินอาถรรพณ์ได้ยังไง

นอกจากว่า…วิญญาณที่อยู่ในหินไม่พอใจที่มิรานำเรื่องราวของหินเนตรไศลมาสร้างสรรค์ตามจินตนาการของเธอ

บ้าน่า เรื่องแบบนี้มีแค่ในเรื่องแต่ง ถึงมิราจะเขียนนิยายแนวแฟนตาซี แต่เธอไม่ได้เชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติแบบงมงาย

มิราตัดสินใจลุกจากโต๊ะทำงานไปยังชั้นหนังสือที่มีหนังสือหลากหลายประเภท แน่นอนว่าเธอรู้สึกว่าดวงตาหลายร้อยคู่กำลังจ้องตามทุกอิริยาบถ มิราพยายามบอกตัวเองว่าเธอเครียดที่เขียนงานไม่ได้ ยิ่งเครียดก็ยิ่งประสาทหลอน ยิ่งประสาทหลอนก็ยิ่งเครียดขึ้นอีก วนไปวนมาไม่รู้จบ

มิราต้องหยุดเขียนชั่วคราว และเปิดคอมทิ้งไว้ เธอต้องการอ่านหนังสือเพื่อฝึกการจดจ่อกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

เธอหยิบหนังสือเล่มหนึ่งขึ้นมา แล้วนั่งลงบนโซฟาตัวโปรด แน่นอนว่ามิรารู้ตัวว่ากำลังถูกจ้องด้วยดวงตาของหินเนตรไศล แต่พยายามไม่สนใจ แล้วคว้าเอาสมาร์ทโฟนมาถ่ายรูปตนเอง ทำเป็นถ่ายทีเผลอขณะอ่านหนังสือ

แชะ!

ก่อนเขียน…ต้องอ่านให้มาก

โพสต์สั้นๆ แค่นี้แหละ

แต่…มันมาอีกแล้ว เสียงจากหินประหลาด

“อ่านหนังสือเรอะ…เล่มนี้เคยอ่านไว้ตั้งแต่ปีที่แล้ว ยังอ่านไม่จบอีก”

หา! วิญญาณนั่นรู้ด้วยเหรอ

“ขยันจังค่ะ”

เอ่อ…วิญญาณดวงนี้ชมฉัน

“กองดองตัวแม่”

“อ่านเล่มละหน้า แล้วก็มารีวิวว่าอ่านจบแล้ว”

บ้าแล้ว! มิราลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ทั้งดวงตาปริศนานั่น ทั้งเสียงอีกนับร้อย มันตามมาหลอกหลอน เธอจะปล่อยให้เป็นแบบนี้ไม่ได้ ทางเดียวที่จะรู้ว่าหินนั่นมีอะไรซ่อนอยู่คือต้องกลับไปที่น้ำตกนางไศล

วันที่ 3

มิราถ่อสังขารที่ทั้งเหนื่อยจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ กินอะไรก็ไม่อร่อย และยังมีสภาพจิตใจว่อกแว่กง่ายไร้สมาธิไปยังที่ที่เธอพบหญิงชราผู้พาความลึกลับมาให้

หญิงสาวนั่งลงตรงจุดที่เธอหยิบหินรูปทรงพิศวงในวันนั้น ทบทวนเหตุการณ์ที่ผ่านมา

“พี่คะ!”

มิราเรียกหญิงสาวชาวบ้านคนหนึ่งที่เดินผ่านมา

“เรียกพี่เหรอจ้ะ” เธอตอบกลับด้วยท่าทางเป็นมิตร

“ค่ะ…คือหนูมาหาคุณยายแก่ๆท่าทางประหลาดๆคนหนึ่งน่ะคะ แกอยู่หมู่บ้านนี้ไหมคะ”

“หมู่บ้านนี้มียายแก่ๆหลายคนจ้ะ ชื่อยายอะไรล่ะจ้ะ”

“หนูไม่รู้จักคุณยายคนนี้ค่ะ แต่แกให้หินหนูมาก้อนหนึ่ง” ว่าแล้วมิราก็ควานหาหินลึกลับในเป้ใบเดียวกับที่เธอเก็บหินนั่นมาครอบครอง แต่…

หินไปไหน???

มิราจำได้ว่าหยิบใส่เป้แล้วนี่นา

“อ้าว! หินไปไหนเนี่ย”

“มีอะไรเหรอจ้ะ แล้วยายคนไหนให้หินอะไรคุณจ้ะ”

“หินชื่อเนตรไศลค่ะ หนูเอามันมาด้วยแต่มันหายไปไหนแล้วไม่รู้ค่ะ”

“นี่คุณจ้ะ…” หญิงชาวบ้านลดเสียงลงจนเกือบเป็นเสียงกระซิบ “ถ้าคุณหยิบเอาหินอะไรออกไปจากหมู่บ้าน ก็เอามาคืนเถอะคุณ หินบางก้อนให้โชคลาภก็จริง แต่บางทีก็มีอาถรรพณ์เหลือร้าย”

อาถรรพณ์…ใช่แล้ว เธอต้องโดนอาถรรพณ์หินแน่ๆ

“ค่ะพี่ หนูจะรีบเอามาคืนนะคะ”

หญิงชาวบ้านพยักหน้าเห็นด้วย และขอตัวจากไป

จริงด้วย มิราต้องเอามันมาคืนที่นี่ ที่ผ่านมาเธออาจจะโชคดีเพราะหินเนตรไศล แต่ตอนนี้กลับกลายเป็นโชคร้ายเพราะหินก้อนเดียวกัน

เมื่อกลับมาถึง มิราก็พบว่าหินลึกลับวางอยู่บนโต๊ะเขียนหนังสือของเธอเหมือนเดิม ไม่ได้ขยับเขยื้อนแม้แต่น้อย คิดแล้วเสียวสันหลังวาบ

วันที่ 4

เช้าแล้ว มิรายังนอนอยู่บนเตียง และเพิ่งสังเกตว่าเมื่อวานนี้ทั้งวันที่ออกไปหาหญิงชรา เธอไม่รู้สึกว่ามีดวงตาของหินเนตรไศลจ้องอยู่ และไม่ได้ยินเสียงวิญญาณผีปิศาจที่ถูกผนึกอยู่ในนั้นด้วย เพราะอะไรน่ะเหรอ…คำตอบง่ายนิดเดียว เพราะหินก้อนนี้อยู่ในบ้าน แต่เธอออกไปข้างนอก อาถรรพณ์ของหินจึงทำอะไรเธอไม่ได้

เมื่อพบว่าหินประหลาดอาจนำโชคร้ายมากกว่าโชคดี มิราจึงต้องทำอะไรสักอย่าง

มิราจ้องไปที่หินลึกลับอย่างใช้ความคิด

เอาไงดี…

ทุบทิ้งไหม…ไม่ดีกว่า ถ้าทุบแล้ววิญญาณออกมาจากหินล่ะ ที่นี้หลอนจัดแน่

เอาไปวางไว้นอกบ้าน ไม่ต้องตั้งไว้โต๊ะทำงานแล้ว…แต่…ถ้าหินนี้ยังเป็นหินนำโชคอยู่ล่ะ ที่ผ่านมาเธออาจเครียดสะสมจนทำให้หลงๆลืมๆ สมาธิสั้น ประสาทหลอนไปเองก็ได้

หรือจะเลิกเขียนนวนิยายเรื่อง ‘เนตรไศล’ ลบไฟล์ทิ้งไปเลย

ใช่แล้ว วิธีนี้เป็นทางออกที่ดีที่สุด ไม่ต้องทิ้ง ไม่ต้องทำลาย หินเนตรไศลยังคงมีอยู่ต่อไป เธอแค่ยกเลิกการเขียนนวนิยายเรื่องนี้ ง่ายนิดเดียว

ทันใดนั้น มิราก็เหลือบไปเห็นสัตว์ชนิดหนึ่งที่เธอแสนจะขยะแขยงกำลังไต่ช้าๆบนคอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กที่แง้มไว้

แมลงสาบ!

ตายแล้ว มันเข้ามาได้ไงเนี่ย ไม้กวาด ไม้กวาดอยู่ไหน อ้าว…อยู่ข้างล่างนี่นา ถ้าลงไปเอาไม้กวาด แล้วมันไต่ไปที่อื่น ไปซ่อนอยู่มุมใดมุมหนึ่งของห้องนอนนี้จะทำยังไง

ไปไม่ได้ ต้องหาไม้อะไรก็ได้แถวนี้เขี่ยออกไป

แล้วมิราก็พบทางออก เธอคว้าร่มยาวขึ้นมาแล้วทำสมาธิกับการเขี่ยแขกไม่ได้รับเชิญออกทางหน้าต่าง ซึ่งตอนนี้มันไต่ไปบริเวณขอบคอมพิวเตอร์ ใกล้กับหินปริศนา

มิราพยายามเขี่ย…เขี่ย…เขี่ย…โดยที่ไม่ทันมองว่า ด้ามร่มนอกจากกำลังเขี่ยแมลงสาบแล้ว ยังเขี่ยหินเนตรไศลไปด้วย

ตุบ!!! พลั๊ก!!!

“ว้าย”

มิราร้องเสียงหลง ภาพที่เห็นตรงหน้าคือ คอมพิวเตอร์ที่ตกลงมาจากโต๊ะพร้อมกับ…

หินเนตรไศล…

ที่ตอนนี้แตกกระจาย…

วันที่ 5

คอมพิวเตอร์โน๊ตบุ๊กต้องเอาไปซ่อม เพราะนอกจากมันจะตกจากโต๊ะอย่างแรงแล้ว ช่างยังแนะนำให้อัพเดตระบบโน่นนี่

มิราเลยไม่มีอุปกรณ์ใช้พิมพ์ต้นฉบับ

และที่สำคัญ ปฏิบัติการไล่ล่าแมลงสาบเมื่อวานยังทำให้เธอทำลายหินพิศวงนั่นไปโดยปริยาย

คิดมาถึงตรงนี้แล้วมิราอดหวั่นใจไม่ได้ เมื่อหินเนตรไศลแตกแล้ว วิญญาณร้ายที่สิงอยู่ในหินนั่นจะล่องลอยอยู่ที่ไหนกันในตอนนี้

หินผนึกวิญญาณ… มันมีตำนานหรือใครเล่ารายละเอียดอะไรไว้ไหมนะ ถามอากู๋ดีกว่า

แล้วมิราก็ตั้งท่าจะเข้าเว็บไซต์เสิร์ชเอนจิ้นที่ชื่อกูเกิ้ล เธอหยิบสมาร์ทโฟนขึ้นมา แต่เอ๊ะ!

สมาร์ทโฟนเป็นอะไรเนี่ย ทำไมหน้าจอดับ

กลายเป็นว่ามิรากลับไปที่ร้านซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ร้านเดิมอีกครั้ง ปรากฏว่าแบตเตอรี่ของสมาร์ทโฟนเสื่อมจึงต้องเปลี่ยนใหม่ สรุปคือมิราไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟนทั้งวัน แถมยังต้องระแวงว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นหลังจากหินเนตรไศลแตกไปแล้ว ทั้งหมดเพราะแมลงสาบตัวเดียว!!!

เธอกลับมานั่งอ่านหนังสือที่บ้านอย่างเหงาๆ และยังหวั่นว่าเมื่อหินเนตรไศลแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยแล้ว จะเกิดอะไรกับเธอขึ้นต่อไป มิราจะยังสามารถเขียนงานได้ลื่นไหลอยู่หรือเปล่า

แต่สิ่งที่เธอสังเกตได้คือ ดวงตาปริศนาหลายร้อยคู่…อันตรธานไปแล้ว รวมทั้งเสียงเซ็งแซ่นั่นด้วย

เมื่อไม่มีอาถรรพณ์จากหินรูปดวงตา หญิงสาวก็สบายใจอย่างบอกไม่ถูก เธอทำกิจวัตรประจำวันด้วยสมองปลอดโปร่ง โล่งเบา ไม่ต้องระแวง ไม่ต้องกังวล วันนี้ทั้งวันมิราจึงได้อ่านหนังสือกองดองที่คั่งค้างไว้ตั้งแต่เดือนที่แล้ว ปีที่แล้ว และหลายปีที่แล้วจบตั้งสามเล่ม นั่งทำสมาธิที่สวนหลังบ้านได้ถึง 30 นาที ทั้งที่เมื่อก่อนเธอนั่งนิ่งๆได้แค่ 30 วินาทีเท่านั้น ตอนเย็นหลังมื้ออาหาร มิรายังเล่นโยคะได้ถึง 1 ชั่วโมง คืนนี้เธอรู้สึกว่า ‘ชีวิต’ ของเธอกลับมาอีกครั้งหนึ่ง เป็นตัวของตัวเอง ไม่ต้องกังวลกับสายตาจากหินเนตรไศล และเสียงปริศนาที่พยายามค่อนแคะเหมือนเมื่อก่อน มิราได้ข้อสรุปว่า ปาฏิหาริย์ทั้งหลายที่เกิดขึ้นมาจากความสามารถของตนเองทั้งนั้น เธอเพียรเขียนๆๆๆๆๆทุกวัน แม้ถูกปฏิเสธงานหลายครั้ง จนวันนี้พิสูจน์ได้ว่ามีฝีมือจริง มันไม่ได้เกิดจากหินเนตรไศลแม้แต่น้อย

หินรูปดวงตานั่นอาจจะไม่มีอาถรรพณ์อะไรเลย…

ส่วนคำตอบที่ว่า ทำไมเธอจึงมีอาการแปลกๆ เมื่อเริ่มเขียน ‘เนตรไศล’ นั่นก็เพราะความเครียด มิราไม่เคยเขียนนวนิยายที่ดัดแปลงจากประสบการณ์จริง เธอจึงกลัวว่าจะเขียนยังไงไม่ให้คนอ่านรู้สึกว่าเอาเรื่องตัวเองมาเขียนหรือจะดัดแปลงอย่างไรไม่ให้พาดพิงถึงสถานที่จริง ความกังวลทั้งมวลจึงก่อตัวขึ้นกลายเป็นความผิดปกติดังที่เกิดขึ้นนั่นเอง

ดังนั้นไม่ว่าหินเนตรไศลจะยังอยู่หรือแตกไปแล้ว ก็อาจไม่มีผลอะไรกับเธอสินะ ทั้งหมดนั้นมิราเพียงแต่คิดไปเอง

แล้วเหตุการณ์ประหลาดที่เธอพบหญิงชราลึกลับคนนั้นล่ะ

ยายแกแก่แล้ว อาจจะพูดจาเรื่อยเปื่อยตามความเชื่อตน…มิราตอบตนเอง

อ้อ…แล้วหินเนตรไศลที่เธอตั้งใจเอาใส่เป้ในวันนั้นล่ะ มิราแน่ใจว่าตนเองหยิบใส่เป้แล้วแน่ๆ แต่ทำไมถึงกลายเป็นว่ามันยังตั้งอยู่ตำแหน่งเดิม…

นี่เป็นคำถามข้อสุดท้ายที่เธอต้องหาคำตอบให้ได้

วันที่ 6

มิราออกจากร้านซ่อมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ด้วยความผิดหวัง ที่จริงวันนี้เธอต้องได้คอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน แต่เมื่อไปถึงก็พบว่าร้านปิด หน้าร้านปิดป้ายประกาศว่า

ปิด 1 วัน

มีธุระด่วนที่ต่างจังหวัด ลูกค้าที่รับนัดอุปกรณ์สามารถมารับได้ในวันพรุ่งนี้

ขออภัยในความไม่สะดวก

แม้จะผิดหวังและเซ็งที่ไม่ได้โพสต์ไทม์ไลน์ และถ่ายเซลฟี่เหมือนเคย แต่มิรารู้สึกว่าตั้งแต่หินลึกลับแตกไปเธออารมณ์ดีขึ้น มีสมาธิขึ้น จะทำอะไรก็ไม่มีดวงตาและเสียงปริศนาคอยติดตาม

ก่อนกลับบ้านเธอแวะเข้าร้านหนังสืออิสระแห่งหนึ่งที่เคยเข้าประจำ ตาไปสะดุดที่หนังสือเล่มหนึ่งที่เกี่ยวกับการใช้หินบำบัดโรค ที่จริงมิราก็เคยได้ยินศาสตร์การบำบัดด้วยหินมานาน แต่ไม่เคยสนใจเท่าวันนี้มาก่อน

มิราอ่านคร่าวๆ พบว่า หินบางชนิดมีพลังในการรักษาโรคอย่างมหัศจรรย์ เพราะแร่ธาตุที่อยู่ในหิน

แร่ธาตุ…

เหมือนมีลำแสงสว่างวาบกลางศีรษะ ที่ผ่านมาเธอมองหินเนตรไศลแบบไสยศาสตร์มาตลอด เมื่อกลับมามองในแบบวิทยาศาสตร์ ก็พบว่า ถ้าหินมีแร่ธาตุบางอย่างที่รักษาโรคได้ มันก็มีแร่ธาตุบางอย่างที่ส่งผลต่อร่างกายในทางลบได้น่ะสิ

จริงๆแล้ว ที่เธอมีอาการแปลกๆ กระวนกระวาย สมาธิสั้น รวมทั้งประสาทหลอน ก็อาจมีสาเหตุมาจากหินที่เธอตั้งไว้ใกล้ตัวๆเวลาทำงานก็ได้

งั้นเหตุการณ์วันนั้น มิราก็แค่ ‘ลืม’ เอาหินเนตรไศลไป แต่เข้าใจว่าตนเอาใส่เป้แล้ว แร่ธาตุอันตรายบางอย่างจากหินเนตรไศล คงทำให้เธอมีอาการหลงๆลืมๆ

ไม่ได้มีอาถรรพณ์อะไรเลย…

มิรายิ้มอย่างสบายใจ หินแตกไปแล้ว ต่อไปนี้เธอจะกลับมาเป็นมิราที่สมองลื่นไหล เขียนงานได้รวดเร็วเหมือนเดิม

มิราไม่ลังเลที่จะเขียนนวนิยายเรื่อง ‘เนตรไศล’ ต่อ ในเมื่อหินเนตรไศลเป็นแค่หินรูปทรงแปลกตา ไม่ได้เป็นหินอาถรรพณ์อะไร

วันที่ 7

และแล้วคอมพิวเตอร์ และสมาร์ทโฟนของมิราก็กลับมาใช้งานได้ตามปกติ

แชะ!

รูปบรรยากาศบนโต๊ะเขียนหนังสือโพสต์ลงไทม์ไลน์อีกครั้งพร้อมข้อความว่า

มิรา come back

ขอโทษทุกคนที่หายไปนะคะ พอดีเครื่องมีปัญหาค่ะ

สัญญาว่าจะอัพความก้าวหน้าของ เนตรไศล ทุกวันเหมือนเดิมนะคะ

พอโพสต์เสร็จไม่ถึง 2 นาที ยอดไลก์พุ่งเหมือนเดิม มิรายิ้มภูมิใจแต่ก็ต้องหุบยิ้มโดยพลัน

มันมาอีกแล้ว…

ความรู้สึกว่าถูกจ้องมอง

และแว่วเสียงนั่น

“อัพเพื่ออะไรใครอยากรู้”

“อัพเลยจะได้เป็นไอเดียนิยายเรื่องใหม่ของฉันด้วย ว่าแต่ใครจะเขียนเสร็จก่อนน้า”

หินเนตรไศลนั่น เธอทิ้งเศษซากของมันไปหมดแล้ว

มันกลับมาอีก ไอ้อาการประสาทหลอน…

Photo by Aaron Burden on Unsplash

แร้งฟินิกซ์-นรีเรขา

ฉันเป็นแร้ง…ผู้โดดเดี่ยว…ในทะเลแห่งความฝัน

ดวงตาเล็กหยีฝ้าฟาง

ขาลีบเล็กอ่อนเปลี้ย

ขนหลุดร่วงเป็นหย่อม

ปีกบางสีฝุ่นปลิวลม

กำลังบินตามเส้นทางฮีโร่อันสูงส่ง

ในหัวใจมีเพียงความฝันและประกาศิตจากจักรวาลก่อนออกเดินทาง

“แตกดับ…กลับกำเนิด”

ฉันไม่เข้าใจมันสักนิด…แต่ก็ยังถลาไปตามแรงฝัน

เส้นทางผู้พิชิตช่างยากแท้

.

ผ่านมากี่ร้อนหนาว

แดดแรงกล้าเผาไหม้ปีกอันบางเบา….แต่หาเผาไหม้ความฝัน

ฝนกระหน่ำซ้ำมรสุม….ไม่อาจโยนความฝันฉันทิ้งไปได้

ลมหนาวพัดมาเย็นเยือก….แต่ข้างในกายยังระอุด้วยไฟฝัน

.

เรี่ยวแรงอ่อน

ปีกค่อยๆขาดปลิวด้วยแรงลม

ดวงตาเริ่มไม่สู้แสง

ร่างของฉันกำลังจะสลาย

จิตวิญญาณกำลังหลุดลอย

คงไว้แต่ความฝันที่ไม่อาจทำให้เป็นจริงได้อีกต่อไป

หรือเส้นทางนี้ไม่เหมาะกับแร้งอย่างฉัน

.

ทันใดนั้น…แผ่นดินสะเทือน

ลูกไฟดวงโตพุ่งตรงมาที่ฉัน

โอ…แร้งน้อยผู้มีไฟฝัน กำลังถูกเพลิงจักรวาลทำลายให้มอดไหม้

ไม่ทันรู้ตัว…ฉันอยู่ตรงกลางดวงไฟได้เยี่ยงไร

.

ร้อน…ร้อนเหลือรับ

เปลือกตามิอาจเปิดได้ ด้วยว่าแสงจากลูกไฟแยงเข้าจักษุประสาท

ร่างกายขยับไม่ได้ ด้วยว่ากำลังจะถูกแผดเผา

หรือฉันกำลังจะดับสูญ

.

และแล้ว ร่างกายเริ่มเย็นลงทีละน้อย

ดวงตาเริ่มเปิดได้ ฉันมองปีกตนเองอีกครั้ง

อัศจรรย์นัก ไฉนมันกลายเป็นสีทองแผ่สยายดั่งปีกนกฟินิกซ์

แร้งตัวนี้บังเกิดใหม่กลางกองอัคนีแห่งความฝันเช่นนั้นหรือ…

บัดนี้…ฉันพร้อมจะโบยบินตามเส้นทางฮีโร่

อีกครั้ง

.

ถึงระยะหนึ่ง…ร่างของฉันจวนสลายตามกาลเวลาอีกครั้ง

แต่ฉันรู้ดีว่า

เมื่อไหร่ที่ฉันเหนื่อยล้าหนักหน่วงเหมือนใกล้สิ้นลม

เมื่อนั้นฉันพร้อมจะเผาไหม้ตัวตนเก่า

เพื่อถือกำเนิดตัวตนใหม่

ที่งดงาม

เก่งกาจ

เข้มแข็ง

ยิ่งกว่าเดิม

.

ฉันยังเดินทางต่อ

และเข้าใจคำประกาศิต “แตกดับ กลับกำเนิด” อย่างแจ่มแจ้ง

คำพรที่ได้จากความเพียร

.

ฉันดั่งแร้งฟินิกซ์ในทะเลแห่งความฝัน

ทุกครั้งที่ฉันพ่ายแพ้

ฉันจึงแกร่งขึ้นจากเถ้าถ่านของความล้มเหลว

ให้ถือกำเนิดใหม่อีกครั้งบนเส้นทางวีรปักษา

เป็นวัฏจักร…ชั่วนิรันดร์


นรีเรขา

นรีเรขา

นามปากกาของ อรวรรณ ฤทธิ์ศรีธร จบปริญญาตรี-โท จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม สาขาภาษาไทยทั้ง 3 ใบ ปัจจุบันนั่งเขียนทั้งงาน non-fiction และ fiction ตามแต่ dopamine และ synapses ในสมองจะจูงมือพาไป

รั้ว – อิสระ พันธุ์ยาง

 

           อายแดดลูบไล้ผิวหน้าชุ่มเหงื่อ ถุงมือผ้าถอดพาดไว้บนลวดหนามเส้นบนสุด เขาหย่อนตัวลงนั่งพลางสูดลมหายใจเข้าออกช้า ๆ  นึกชื่นชมฝีมือช่างของตนเอง เขาลุกขึ้นปัดฝุ่นบนกางเกงวอร์มออก ก้มหยิบค้อนและคีมใส่กระเป๋าหนังคาดเอว กระชับปีกหมวกบนศีรษะ มองตรงไปยังตัวบ้าน เห็นภรรยาจูงสุนัขเดินตรงเข้ามา เขารีบเข้าไปลูบหัวมันอย่างเอ็นดู สุนัขสีน้ำตาลเข้มกำยำสูงราว ๆ สามฟุตยืนกระดิกหาง ส่งเสียงเล็กเสียงน้อยออดอ้อนอายุมันร่วมสองปีแล้วถ้านับเวลาแบบมนุษย์ แต่นิสัยของมันดูไม่สอดคล้องกับอายุและรูปร่างเอาเสียเลย คนขายบอกว่ามันเกิดจากสุนัขพันธุ์โกลเด้น รีทรีฟเวอร์ผสมกับสุนัขเพศเมียพันธุ์ไทยแท้ เขาถูกชะตาตั้งแต่แรกเห็นเลยตั้งชื่อ‘เจ้าอ้วน’ เพื่อให้ตรงข้ามกับลักษณะของมัน เจ้าอ้วนเป็นสุนัขชอบอ้อน ขี้เล่น เขาหวังว่าภรรยาจะมีอาการดีขึ้นถ้าได้เลี้ยงสุนัขสักตัว

            ช่วงนี้เขาว่างเว้นจากงานผู้รับเหมาต่อเติมจึงขลุกตัวอยู่แต่ในบ้าน คอยซ่อมแซมส่วนต่าง ๆ ของบ้านให้กลับมาแข็งแรงอีกครั้ง เช่นเดียวกับตอนนี้ เจ้าอ้วนเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ ชอบหนีออกจากบ้าน วันสองวันถึงจะกลับมานอนสิ้นแรงอยู่หน้ากรง เขาไม่สบายใจนักตอนมันหายไป เพราะภรรยาจะมีอาการแย่ลง เขาจึงทำทุกทางเพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าอ้วนหนีออกไปอีก

            “เจ้าอ้วน คราวนี้ไม่ต้องล่ามโซ่แล้วนะ วิ่งเล่นอยู่ในบ้านนี่ล่ะ” เขาพูดปนหัวเราะหันยิ้มชื่นชมฝีมือการขึงรั้วลวดหนามของตน “สูงขนาดนี้ คงออกไปไม่ได้แล้วแหละ” มีความมั่นใจในน้ำเสียง

            เขานั่งลงหยอกสุนัขพลางสบตาภรรยาคล้ายขอความเห็น เธอยิ้มมุมปากก่อนส่งโซ่ที่ล่ามสุนัขให้เขา ขณะยื่นมือไปรับ เจ้าอ้วนวิ่งกระชากจนโซ่หลุดหล่นลงพื้น ทันใดมันกระโจนอ้อมไปด้านหลังเขาอย่างรวดเร็ว  ภรรยาตะโกนเรียกดังลั่น ส่วนเขายืนมองไม่กังวลแต่แล้วสิ่งที่ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เจ้าอ้วนกระโดดใช้ขาหน้าทั้งสองพาดขึ้นบนลวดหนามเส้นบนสุดของรั้ว มันหายใจรุนแรง ร้องครางต่อเนื่องเขาตกตะลึงไม่เชื่อสายตาตนเอง วินาทีต่อมา เจ้าอ้วนดีดตัวพ้นรั้วลวดหนามไปได้ฉับพลันมันเห่าหอนลากยาวโหยหวน ตั้งท่าจะวิ่งไปที่ใดที่หนึ่ง แต่ปลายโซ่พันแน่นอยู่กับลวดหนามเส้นล่างสุด มันจึงติดแหง็กอยู่กับที่ ใช้เท้าหน้าตะกุยพื้นดิน ร้องครางปานขาดใจ เขาหยิบโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงวอร์มขึ้นถ่ายภาพเหตุการณ์ตรงหน้า ภรรยารีบเข้าไปแกะปลายโซ่ที่พันอยู่ เจ้าอ้วนร้องดังขึ้นเรื่อย ๆ เขานิ่งมอง พลันรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก

            “เขต! ออกมาพามันเข้าบ้านเร็ว ๆ รั้วนี่สงสัยจะกั้นไม่อยู่”  เขาสะดุ้งตกใจคำพูดภรรยาวนเวียนในหัวจนเย็นย่ำ

            หลังมื้อเย็น เขาลุกเดินไปมารอบบ้าน ก่อนหยุดยืนหน้าโรงรถด้านหลัง เหมือนมีบางอย่างดึงดูดให้เดินเข้าไป ด้านในมืดสลัว กลิ่นคราบน้ำมันเจือปนกลิ่นความชื้นแตะจมูกรุนแรง เขาเดินลึกเข้าไปอีกชั่วอึดใจ แสงไฟนีออนกระพริบถี่ ๆ บนเพดาน เขาเพ่งสายตามองโดยรอบช้า ๆ เหลือบเห็นเงาดำทะมึนอยู่ในมุมสลัวไม่รู้อะไรดลใจให้เขาเดินเข้าไปใกล้เงาดำทะมึนนั้นเขารู้สึกปวดตาเนื่องจากแสงไฟยังกะพริบเดี๋ยวมืดเดี๋ยวสว่าง จู่ ๆ เขาได้ยินเสียงเครื่องยนต์แผดคำรามสนั่นหวั่นไหว เกิดแสงไฟจ้าสาดออกมาจากเงาทะมึนนั้น เขาตกใจแต่กลับอิ่มเอม แสงและเสียงสอดผสานกันอื้ออึง ภาพอดีตผุดขึ้น เขาหลับตาลงเห็นใบหน้าเรียวยาวของหญิงสาวดวงตาหยาดเยิ้ม ผมดำยาวสยายถึงกลางหลัง ปากอวบอิ่มน่าสัมผัส กลิ่นกายละมุนซ่าน เธอเรียกชื่อเขาโดยไม่ออกเสียง ยื่นมือมาพร้อมยิ้มหวาน เขาเดินเข้าไปหาเธอ ทันใด เสียงแจ้งเตือนจากเฟสบุ๊คดังขึ้น เขาตกใจลืมตาตื่นบนเตียง ลุกนั่งงุนงงกับความฝันเมื่อครู่ ตัวเลขบนหน้าปัดบอกเวลาหนึ่งทุ่มเศษ เขางัวเงียกดอ่านคอมเม้นต์ล่าสุด ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นเราจากกันและกันได้ แปลกใจใครกันมาคอมเม้นต์แบบนี้ เขาอ่านชื่อเฟสบุ๊ค‘อัสดง นิรันดร์’และกดดูโปรไฟล์เป็นภาพทิวทัศน์ตอนพระอาทิตย์กำลังตก เขารู้สึกคุ้นเคยกับภาพที่เห็น คล้ายว่าตนเกี่ยวข้องกับภาพนี้ไม่มากก็น้อย

          ไม่มีสิ่งใดขวางกั้นเราจากกันและกันได้ข้อความนี้วนเวียนในความคิดจนดึกดื่น โพสต์เขาเกี่ยวอะไรกับข้อความนี้ แค่ภาพที่ถ่ายไว้เมื่อตอนเที่ยง ออกจะดูตลกด้วยซ้ำ เพื่อนคนอื่น ๆ ในเฟสบุ๊คก็พิมพ์แซวกันสนุกสนาน แล้วนี่ใคร เป็นเพื่อนตอนไหน ทำไมคอมเม้นต์แบบนี้

          เขาหันมองภรรยาพริ้มหลับใต้ผ้าห่มหนา เขาถอนหายใจ เอนกายลงหลับตา ภาพฝันตอนหัวค่ำผุดขึ้นมารบกวน แทรกด้วยข้อความคอมเม้นต์ของเฟสบุ๊คปริศนา ยิ่งข่มตาหลับยิ่งกระวนกระวาย ในที่สุด เขาตัดสินใจลุกจากเตียง

            แสงไฟสว่างพรึบขึ้นในโรงรถ มองเห็นสิ่งหนึ่งเต็มตา เขาเข้าไปใกล้สิ่งนั้น เห็นคราบฝุ่นหนาที่เบาะนั่งสีดำเครื่องยนต์มีหยากไย่ยุ่งเหยิง ยางล้อหน้าและหลังแบนซูบ ไฟหน้ากลมโตคู่นั้นขุ่นฝ้า เขาขยับเข้าไปใกล้แฮนด์ทั้งสอง มองเห็นเรือนไมล์ขุ่นมัว  ตัวเลขบอกระยะทางสะสมแสดงผลพร่าเลือน เขาถอยมายืนมองเศษซากความทรงจำอย่างอาลัย เสียงลมพัดมาแล้วเงียบลงน่าใจหาย ภาพวันวานไล่เรียงขึ้นเป็นฉาก

            หลังแต่งงานไม่นาน ภรรยาเขาตั้งครรภ์ สร้างความยินดีแก่ครอบครัวทั้งสองฝ่าย แต่หน้าที่ทำให้เขาต้องเดินทางออกตรวจงานต่างจังหวัดอยู่บ่อย ๆ ครั้นกลับมาบ้าน เขาต้องยับยั้งความต้องการให้แนบเนียนที่สุด ภรรยามองสามีออก จึงตอบสนองเท่าที่ทำได้ แต่เหมือนความต้องการยังไม่ถูกเติมเต็ม เมื่อมีโอกาสได้ค้างอ้างแรมเพื่อนช่างรับเหมาชักชวนออกเที่ยวหย่อนใจตามร้านคาราโอเกะ  และที่นั่นเอง เขาได้พบกับเธอ หญิงสาวสวยสะพรั่งร่างอวบอัด ผมดำยาวสยาย ใบหน้าเรียวยาว พูดจากระฉับกระเฉง มีความคิดอยากเดินทางรอบโลกฝันอยากมีชีวิตอิสระ แต่โชคชะตาไม่เข้าข้างเธอนักทีแรกเขาเพียงถูกใจรูปร่างหน้าตาเธอเท่านั้นแต่พอคุยไปคุยมา เขากลับพบว่าตนเองหลุดเข้าไปในดินแดนแห่งความฝันของเธอ  คืนนั้นเขาและเธอร่วมรักกันในรีสอร์ทราคาถูกด้วยความมึนเมาและเร่าร้อนพลุกพล่าน รุ่งเช้าเขาเล่าทุกอย่างเกี่ยวกับครอบครัวให้เธอฟังพร้อมยื่นเงินให้ เธอพยักหน้าไม่พูดอะไร เขาจากมาโดยไม่คิดว่าจะได้เจอกันอีก กลับถึงบ้าน เขาดำเนินชีวิตตามปกติ  แต่ก่อนหลับตานอนทุกครั้ง เขามักคิดถึงเธออย่างรุนแรง บางครั้งต้องขอให้ภรรยาซึ่งอุ้มท้องสี่เดือนช่วยคลายความร้อนลุ่มให้อย่างทุลักทุเล มันช่วยได้ชั่วขณะ เขายังฝันถึงเธอ บ่อยครั้งเข้า ภรรยาขอร้องให้เขาควบคุมอารมณ์เนื่องจากต้องการเวลาพักผ่อนและเกรงว่าจะเป็นอันตรายต่อเด็กในครรภ์

            เมื่อต้องออกตรวจงานในพื้นที่รับผิดชอบ เขาไม่พลาดที่จะแวะไปร้านคาราโอเกะแห่งนั้นอีก แต่ต้องผิดหวัง เธอลาออกไปหลายสัปดาห์แล้ว เขาได้เบอร์โทรศัพท์เธอจากเจ้าของร้าน  เขาโทรไปหา จึงได้รู้ว่าเธอออกมารับงานบริการด้วยตัวเอง จากวันนั้น เขาโทรหาเธออยู่บ่อย ๆ เธอมักเตือนเขาเรื่องเวลาและความเหมาะสม

            เวลาได้บ่มเพาะความสัมพันธ์จนสุกงอม เขาหาโอกาสนัดพบเธอ เธอชอบพูดถึงการเที่ยวรอบโลกให้ฟัง ไม่นาน เขาตัดสินใจซื้อรถมอเตอร์ไซค์วิบากมือสองโดยบอกภรรยาว่าเอาไว้ขี่สำรวจป่ารอบบ้าน ตอนนั้นภรรยาตั้งท้องได้ห้าเดือน อาเจียนไม่เว้นวัน แม่ยายย้ายมาอยู่ดูแลลูกสาวที่บ้านเขาหายห่วงมากขึ้น

            อีกไม่กี่เดือน เขาจะได้พบหน้าลูกชาย เป็นความสุขที่ยากจะบรรยาย แต่นั่นไม่ใช่ความสุขเดียวของเขา เพราะเมื่อมีโอกาส เขาจะชวนเธอซ้อนรถมอเตอร์ไซค์วิบาก ออกตระเวนกางเต้นดื่มด่ำธรรมชาติครั้งละสองสามคืน บางครั้งร่วมสัปดาห์ กว่าจะรู้ตัวว่าตกหลุมรักเธออย่างหัวปักหัวปำ ก็ตอนที่เธอบอกให้เลิกติดต่อกับเธอเสีย เพราะเธอถูกข่มขู่ทางโทรศัพท์ว่าให้เลิกยุ่งกับเขา เธอไม่มีทางเลือกมากนัก  

            เขาจมอยู่ในวังวนความทุกข์ ดูภาพเธอซ้ำไปมา ในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่สามีที่ดี จนในที่สุด เขาได้เห็นหน้าลูกชายครั้งแรก มันคือความงามที่ธรรมชาติบันดาลอย่างแท้จริง  แต่เวลาอนุญาตให้เขาและภรรยาพบทารกน้อยได้เพียงห้าชั่วโมง ลูกชายร่างกายไม่แข็งแรง มีอาการแทรกซ้อนหลังคลอด และจากไปโดยไม่มีวันหวนมา ภรรยากรีดร้องราวสัตว์ป่า น้ำตาอาบแก้ม เอาแต่เพ้อพร่ำร้องเรียกลูกน้อย ราวกับเชื่อว่าลูกจะฟื้นคืน เขาเฝ้าปลอมประโลม แต่เหมือนภรรยาจะมองไม่เห็นการมีอยู่ของเขาบางครั้งเขาถูกภรรยาชี้หน้าด่าว่ามักมาก ไม่รู้จักพอ เป็นสาเหตุให้เธอตรอมใจขณะอุ้มท้อง บางครั้งพูดขึ้นว่า อีนั่นมันต้องตายตามลูกเธอไป เขาก็ด้วย สมควรตายตามหรือตายแทนได้ยิ่งดี

            เขาแบกรับความกดดันทุกรูปแบบ ทั้งจากภรรยาและคนรอบข้าง  นึกโทษตนเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า  แต่ทุกอย่างก็ผ่านพ้นไป และมีทีท่าดีขึ้น หลังจากลูกสุนัขเข้ามาในบ้าน

            “เขต! เจ้าอ้วนหายไปไหน” เขาสะดุ้ง สลัดความคิด ตั้งสติ เสียงภรรยาร้องเรียกร้อนรน  เขาตะโกนตอบ วิ่งรุดไปหา ภรรยานั่งร้องไห้ ผมกระเซอะกระเซิง ในมือกำปลอกคอสุนัขไว้แน่น

            “ทำไมไม่ใส่กลอน เจ้าอ้วน! เจ้าอ้วน!” เสียงภรรยาดังขึ้นเรื่อย ๆ เขานึกโทษตนเองที่ไม่ตรวจดูประตูกรงขังให้เรียบร้อย เมื่อตั้งสติขึ้นได้ รีบพยุงภรรยาเข้าบ้าน ปลอบใจว่าเดี๋ยวมันก็กลับมา อีกฝ่ายไม่ฟัง

            ผ่านไปสองวัน เจ้าอ้วนยังไม่กลับมา อาการภรรยาทรุดลงจนไปทำงานไม่ได้ เธอไม่ลุกจากเตียง  ในมือยังกำปลอกคอสุนัขแน่น ร้องเรียกเจ้าอ้วนแผ่วเบาซ้ำ ๆ บางครั้งครางออกมาคล้ายเสียงสุนัข บางทีลุกขึ้นนั่งร้องเพลงกล่อมลูกงึมงำ ตกเย็นไปยืนหน้ากรงขัง เทอาหารใส่กะละมัง ใช้ไม้เคาะเสียงดัง ตะโกนเรียกเจ้าอ้วนสุดเสียงล้มลงร้องไห้เยี่ยงทารก  เขาได้แต่ยืนมอง ภาวนาให้เจ้าอ้วนกลับมาโดยเร็ว

            เขาออกตามหาเจ้าอ้วน ทั้งที่มั่นใจอยู่แล้วว่ามันต้องกลับมา เขาถามผู้คนละแวกนั้น ติดป้ายประกาศพร้อมให้รางวัลผู้พบเห็น ไม่นานเขาได้เบาะแสจากเพื่อนบ้านคนหนึ่ง ว่าเห็นสุนัขลักษณะคล้ายเจ้าอ้วนเดินเข้าไปในป่ากับสุนัขอีกตัว เขารีบนำข่าวไปบอกภรรยา สีหน้าเธอสดชื่นขึ้น

            เป็นอย่างที่คิด รุ่งเช้าของอีกวัน เจ้าอ้วนกลับมานอนเหนื่อยอยู่หน้ากรงขัง มันคงสนุก มีสุข เขาคิด

            ภรรยาดูสดชื่นขึ้นทันตา เขาแปลกใจว่าเพราะอะไร สุนัขตัวเดียวถึงมีอิทธิพลต่อความรู้สึกมนุษย์มากนักเขาอดไม่ได้ที่จะแอบถ่ายภาพภรรยายืนหยอกเจ้าอ้วนหน้าบ้าน แล้วโพสต์ภาพนั้นลงเฟสบุ๊คพร้อมเขียนบรรยายเรื่องราวน่ารัก ๆ  ขณะเดียวกันก็คิดหาวิธีป้องกันไม่ให้เจ้าอ้วนหนีออกจากบ้านอีก

            ตกค่ำ ทั้งบ้านเงียบสนิท ภรรยาเข้านอนเร็วกว่าปกติ เจ้าอ้วนเช่นกัน  เขาหลับตาลงได้ไม่ถึงห้านาที เสียงแจ้งเตือนจากเฟสบุ๊คดังขึ้นหนึ่งครั้ง เขาลืมตาขึ้นอย่างหัวเสีย แต่ยังอุตส่าห์กดเข้าไปดู แววตาเขาลุกวาว  หัวใจเต้นแรง ลืมกันหรือยังพ่อสิงห์นักบิด ข้อความสั้น ๆ จากเฟสบุ๊คปริศนาทำให้เขาลุกพรวดจากเตียง จ้ำอ้าวมายังโรงรถ รวบรวมความกล้า พิมพ์ข้อความส่งไปทางเมสเซนเจอร์ของอีกฝ่าย ออยใช่ไหม แล้วบทสนทนาผ่านการพิมพ์ก็ลื่นไหลราวสายธาร หัวใจเขาพองโต ภาพวันวานฉายชัด

            เขาเข้าห้องนอนราวเที่ยงคืน เขาฝันว่าตนเองขี่รถมอเตอร์ไซค์วิบาก ตะลุยป่าใหญ่ ค้างอ้างแรมกับเธอ และแบ่งปันไออุ่นจนรุ่งสาง

            ตื่นเช้าเขารีบจัดแจงงานในบ้านจนเสร็จสรรพ ภรรยากอดรัดฟัดเหวี่ยงเจ้าอ้วนอยู่หน้าบ้านด้วยความเบิกบาน ส่วนเขาตรงไปยังโรงรถ ใช้เวลาทั้งวันปลุกชีพมอเตอร์ไซค์คู่ใจ

            หลังภรรยาเข้านอน เขาเดินเบา ๆ ไปยังโรงรถ นั่งมองเจ้าวิบากอย่างสุขใจพิมพ์ข้อความคุยกับเธอจนดึกดื่น เธอนัดพบเขาต้นสัปดาห์หน้า เขายังไม่รับปากทั้งที่ใจโบยบินไปแล้ว เขายังกังวลและเป็นห่วงภรรยา เกรงว่าเจ้าอ้วนจะหนีไปอีก เขาอยากให้ภรรยาทำความเข้าใจพฤติกรรมของมัน ไม่ต้องวิตกเกินไป ยังไงเราเลี้ยงมากับมือ มันต้องกลับมาหาเราอยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่เคยพูดออกไป

            เรื่องการนัดหมาย เขาเริ่มลำบากใจ จะปฏิเสธก็กลัวเธอจะหายไปแต่ถ้าออกไปหาแล้วภรรยารู้เรื่องเข้า ปัญหาต่างๆ จะตามมาไม่สิ้นสุด

            จู่ ๆ เขาได้ยินเสียงเจ้าอ้วนครางแปลก ๆ จึงรีบส่งข้อความบอกขอตัว แล้วรีบเดินไปยังกรงขังสุนัข เสียงครางฟังเข้มข้นขึ้น  แสงไฟนีออนหลอดยาวบนเสาไฟหน้าบ้านส่องลอดเข้าไปในกรงขัง แทบใจสลาย มือไม้สั่น กัดกรามแน่น เขาเห็นภรรยากึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่ในกรงขังสุนัข มือข้างหนึ่งกำลังสาละวนอยู่กับอัณฑะเจ้าอ้วน ส่วนอีกข้างดูเหมือนจะล้วงเข้าไปในกางเกงตนเอง เจ้าอ้วนเห็นเขาไกล ๆ จึงกระดิกหาง ส่งเสียงเรียก เขารีบถอยหลบเร้นไปในความมืด ยืนเหงื่อแตกพลั่ก ทบทวนสิ่งที่ตาเห็น ควบคุมลมหายใจให้ปกติ

            สักพัก เจ้าอ้วนเงียบเสียงลง เขาได้ยินเสียงประตูกรงขังถูกลั่นกลอน เสียงฝีเท้าเคลื่อนผ่านไป เขาหายใจเข้าออกลึก ๆ รวบรวมความกล้า โผล่ออกมาจากที่ซ่อน ในกรงขังไม่มีใครนอกจากเจ้าอ้วน

            รุ่งเช้ามาเยือน แสงแดดส่องผ่านบานเกร็ดเข้ามา เขาไม่เห็นภรรยาอยู่ข้างกาย รู้สึกปวดหัว เจ็บคอ ครั่นเนื้อตัว หนาว ๆ ร้อน ๆ  ภาพเมื่อคืนลอยขึ้นเด่นชัด เขาพยายามสลัดมันทิ้ง แต่ไม่เป็นผล สักพักภรรยาเดินเข้ามาในห้องนอน เขาลุกขึ้นทันที เกือบจะพลั้งปากถามเรื่องเมื่อคืน ภรรยามองเขาแวบหนึ่งก่อนเดินไปหยิบอะไรบางอย่างบนชั้นหนังสือแล้วกลับออกไป เขามองตามการเคลื่อนไหวนั้นด้วยความสงสัย ไม่นานเสียงเจ้าอ้วนดังขึ้น เขาวิ่งออกไปยังกรงขัง พบภรรยากำลังจูงเจ้าอ้วนเดินเล่น เขาเดินตามห่าง ๆ ความคิดมากมายผุดขึ้นในหัว เขาพึ่งสังเกตเห็นว่าช่วงนี้ใบหน้าภรรยาดูเปล่งปลั่ง มีชีวิตชีวา แต่กลับพูดคุยกับเขาน้อยลง หรือแทบไม่พูดเลย เขาเริ่มไล่เรียงความคิด พยายามวิเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้น แต่ยังไม่ด่วนสรุป เกรงว่าตนเองจะคิดผิด คงเป็นไปไม่ได้ หมอจิตเวชบอกเขาว่า ภรรยาถูกกระทบกระเทือนทางจิตใจจากการสูญเสียลูก ให้ดูแลอย่างใกล้ชิด อย่าให้มีอะไรมากระทบจิตใจเธออีก

          เขาเริ่มตั้งข้อสงสัยกับความสัมพันธ์ระหว่างภรรยากับสุนัข เป็นความสงสัยที่ไม่กล้าหาคำตอบ ยิ่งเวลาผ่านไป ความสงสัยนั้นยิ่งบ่มเพาะขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นความเครียด พักหลังมานี้เขาแทบไม่ได้เตะเนื้อต้องตัวภรรยาเลย เขาเริ่มไม่เข้าไปเล่นกับเจ้าอ้วนเหมือนเดิม กลางคืนหมกตัวในโรงรถ พิมพ์ข้อความคุยกับเธอคนนั้นจนดึกดื่น ตอนกลับเข้านอนไม่กล้าเหลือบมองกรงขังสุนัข

            สภาพการณ์ดำเนินไปเช่นนั้นจนใกล้ถึงวันที่เธอนัดหมายใจเขายังเลื่อนลอย มีอาการปวดหัวเป็นระยะ

            ขณะกำลังเช็ดรถมอเตอร์ไซค์ในโรงรถยามค่ำ เสียงภรรยาดังขึ้นจนเขาสะดุ้งตกใจ รีบวิ่งออกมาดู เมื่อเธอเห็นเขา เธอรีบวิ่งมาบอกให้เขาออกตามหาเจ้าอ้วนทันที ใบหน้าเธอยับย่น น้ำตานอง สะอื้นหนักหน่วง ร่างสั่นเทาเหมือนคนทรงเจ้า เขาถอยห่าง ทั้งที่ไม่รู้ว่าทำไมจึงถอยออกมา เธอหันหน้าไปยังกรงขัง ทรุดลงนั่งร้องเรียกเจ้าอ้วนทั้งน้ำตา

            เสียงเครื่องยนต์คำราม เขาขึ้นควบมันไว้มั่น สายตามองตรงไปเบื้องหน้า แสงไฟกลมโตคู่นั้นสาดส่องเห็นทาง  ฟ้าคืนนี้ไร้แสงดาวและแสงจันทร์ รอบข้างดูนิ่งงัน เสียงร้องของภรรยายังดังอยู่เป็นระยะ เขารับปากว่าจะออกตามหาเจ้าอ้วนจนพบ แต่ในใจเขากลับหวาดหวั่นการมีอยู่ของเจ้าอ้วน ภาพคืนนั้นผุดขึ้นมาในห้วงคิด 

            ก่อนรถจะเคลื่อนตัว เสียงแจ้งเตือนจากเฟสบุ๊คดังขึ้น เขาชะงัก รีบกดขึ้นอ่าน พรุ่งนี้แล้วที่จะถึงวันนัดหมายกับเธอคนนั้น ในหัวเริ่มหนักอึ้ง เขากำครัชมอเตอร์ไซค์ไว้ไม่ยอมปล่อย เสียงเครื่องยนต์ดังอื้ออึงอยู่เช่นนั้น หากสิ่งที่เห็นและสิ่งที่คิดเป็นเรื่องจริง เขาควรทำอย่างไร จะยับยั้งภรรยาหรือจะปล่อยไปเพราะเห็นแก่ความสุขของเธอ แต่เขาจะรับได้ไหมกับเรื่องดังกล่าว หรือจะนำตัวภรรยาไปพบแพทย์เพื่อรักษาอย่างจริงจังแล้วเรื่องเธอคนนั้นอีก เขาจะไปตามที่นัดหมายไว้หรือไม่ หากได้เจอกัน เขาคงอยากครองคู่กับเธอตลอดชีวิต

            ขณะคิดวกวนสับสนจนปวดหัว เสียงสุนัขเห่าหอนดังขึ้นไกล ๆ เขามั่นใจว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของเจ้าอ้วน เขาเงยหน้ามองแผ่นฟ้าสีดำ ทอดสายตาอยู่เช่นนั้น จนตัดสินใจบางอย่างได้ เขาปล่อยครัชมอเตอร์ไซค์ เร่งความเร็วไปข้างหน้า เสียงสุนัขเห่าหอนดังระงมทั่วทิศทาง เขากัดฟันแน่น เร่งความเร็วเต็มที่

            ค่ำคืนนี้ไร้แสงดาวและแสงจันทร์ บรรยากาศรอบข้างเงียบงัน แต่อีกไม่นาน รุ่งเช้าจะมาถึง..


อิสระ พันธุ์ยาง

อิสระ พันธุ์ยาง

สรรค์สร้างเสียงเพลงแห่งความมืดในนาม Lotus Of Darkness เพียรพยายามสร้างงานเขียนเพื่อทำความเข้าใจมนุษย์ ชีวิตที่เหลือวาดหวังออกเดินทางแสวงหาความจริง ขณะนี้นั่งหายใจรดแป้นพิมพ์ กลั่นกรองตัวอักษรนับแสน แทนชีวิตและจิตวิญญาณ

บอลลูนวิเศษกับไข่ยักษ์มหัศจรรย์ – อิสระ พันธุ์ยาง

 

เสียงออดแผดสนั่นเขาสะดุ้งตื่น นั่งงัวเงียมองโต๊ะทำงานระเกะระกะ กัดฟันลุกยืนมองเข็มนาฬิกาบนผนัง ผลักบานประตูออก ปะทะเปลวแดดแสบหน้า ได้ยินเสียงเครื่องจักรก่อสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินไกล ๆ

Read More

คลั่งพระจันทร์

 

โอ้แสงจันทร์

เปล่งรัศมีในคืนเดือนเพ็ญ

เจ้าคือตะเกียงยามราตรี

แสงจันทร์นวลใส

งามสะพรั่งกลางผืนผ้าสีนิล

Read More

ดาดฟ้า – อิสระ พันธุ์ยาง

 

บันทึกถึงเธอผู้ดำรงอยู่ในความทรงจำแตกสลาย 27/11/2562

คุณยินยอมสละลมหายใจเพื่อให้ใครที่รักมีชีวิตนิรันดร์แม้เธอจะอยู่แสนไกลกับใครอีกคน ความจริงคือเธอไม่เคยเป็นส่วนหนึ่งกับคุณ ทั้งที่คุณเปิดเปลือยหมดลมหายใจและจิตวิญญาณเพื่อเธอ คงไม่เพียงพอที่กาลเวลาจะเข้ามาพิสูจน์คำรัก คุณสถาปนาความฝันบนความจริงให้เธอรับรู้ บอกกล่าวสม่ำเสมอว่าเธอคือแรงผลักดันสำคัญในการมีชีวิตอยู่  แต่ผลสุดท้ายไม่เป็นเช่นนั้น ค่ำคืนผ่านพ้นยาวนานแสนเหน็บหนาว คุณปวดร้าวกับการคิดถึงเธอ ทุกสิ่งอย่างที่เป็นเธอในความทรงจำของคุณยังเด่นชัดในคืนค่ำที่คุณเดียวดาย เธอมองไปข้างหน้าด้วยสายตาของผู้กล้าพร้อมใครเคียงข้าง ส่วนคุณยังอาลัยรักเมื่อครั้งเก่า เข็มนาฬิกาในตัวคุณไม่ยอมเดินไปข้างหน้า คุณพยายามทำชีวิตให้ดีให้เหมาะให้ควร เพื่อว่าสักวันเธอจะหันมองแล้วเลือกคุณเป็นคู่ชีวิต ความหวังนั้นลางเลือนแต่พอมีหวัง คุณกำลังหลอกตัวเองใช่หรือไม่ คุณกรอกหูตัวเองเสมอว่าเธอยังรักคุณอยู่ เปิดข้อความนั้นอ่านซ้ำไปซ้ำมา บางครั้งคุณอยากตายด้วยมือตนเองดีกว่ารอให้ใครย่ำเหยียบประณามว่าคุณมักมากไม่รู้จักพอ ความรักคุณผิดบาปในสายตาผู้อื่น เราต่างมีเจ้าของในนามของความถูกต้องจอมปลอม เราหมดสิทธิ์เลือกความวิเศษสุดในชีวิตให้กับตนเอง ก้มหน้าตรากตรำทำสิ่งถูกต้องไปจนวันตาย ลึก ๆ แล้วเราอาจโหยหาซึ่งกันและกันตลอดเวลา เผลอย้อนคิดถึงวันวานที่มีเพียงเราในห้องหับเรียบง่ายแห่งนั้น เสียงหัวเราะยังกังวานในความเศร้าของปัจจุบัน ท่าทางอ่อนหวานทว่ายียวนของเธอยังโลดแล่นในความทรงจำ คุณอยากบอกเธอว่าคุณรักเธอมากแค่ไหน แต่คุณต้องเก็บกดไว้ในพื้นที่ส่วนลึกที่มีเธอเป็นแค่จินตนาการ คุณบอกรักเธอต่อหน้าสิ่งของเครื่องใช้ที่คุณขอเธอเป็นที่ระลึกก่อนจากกัน คุณกำลังพาตัวเองไปสู่ความหมายใหม่ โดยไม่ลืมจะพกพาเธอไปด้วย ทุกที่ที่คุณอยู่ มีเธอเคียงข้างเสมอ แม้ว่าในจินตนาการก็ตาม

 

Read More

On Purification of Language

ทำไมหล่อนถึงไม่ตั้งชื่อบทกวีเป็นภาษาไทย

(Why don’t you name your poem in Thai?)

ฝรั่งหัวทองกินสมองหล่อนเข้าไปแล้วหรือ

(Have those Blondies brainwashed you?)

ทำไมหล่อนถึงไม่ตระหนัก

(Why aren’t you aware that)

ในห้วงนทีแห่งภาษาไทย

(in the vast ocean of Thai language,)

มีถ้อยคำให้เลือกสรรเหลือคณนา

(there are countless words for you to pick up.)

มีคลังแห่งวัฒนธรรมอันรุ่มรวยที่จะช่วยถอดถ่ายความคิด

(There is a rich repertoire of culture enabling you to transfer thought)

จากภาษาหนึ่งสู่อีกภาษาหนึ่ง

(from one language to another.)

 

ออนเพียวริฟิเคชั่นออฟแลงเกวจ

(On purification of language)

“แบบนี้ได้ไหม?”

(Is it okay for me to translate it like this?)

ไม่ได้!

(I don’t think so. How can I let the readers know)

ดูนะ!

(that the original phrase above is different from the original phrase below?)

ว่าด้วยการทำภาษาให้บริสุทธิ์

(On purification of language)

เห็นไหม? ทำไมภาษาไทยจะไม่มีถ้อยคำมากพอให้หล่อนใช้

(See? Should I put some footnotes to explain the difference?)

“แต่นั่นมันฟังดูไม่เหมือนชื่อบทกวี”

(But would that look like an academic writing rather than a poem?)

งั้นเอางี้ เอ้ย เช่นนั้นใช้เช่นนี้! ภาษปริสุทธิการ

(Let’s try this. Purification of language (Note: in a sanskritized form))

“ทำไมเธอนับคำบาลีสันสกฤตเป็นภาษาไทยแต่ไม่นับคำอังกฤษ”

(Or maybe I should look for Latin or French translation of this)

เออใช่ ขอบคุณที่เตือนให้ฉันไม่ตกเป็นทาสของภารตภิวัฒน์

(to make a parallel example of how T(h)ai is Indianized.)

เอ้ย ฉันหมายถึง การทำให้เป็นอินเดีย

(I mean there might be some similarities between Latinization and Indianization.)

งั้น เอ้ย เช่นนั้น หล่อนก็ลองใช้ ชำระล้างถ้อยคำ

(Let’s try again. Purifico the words.)

“แต่ ชำระ มาจากภาษาเขมรนะ”

(But could the two cases be compatibly compared?)

ล้างคำ

(To wash the words.)

“ฟังดูเหมือนล้างจาน”

(This sounds like to wash the dishes.)

แต่ก็ฟังดูเป็นชื่อบทกวีอยู่นะ

(Does this piece of work look like a translation at all?)

“เค”

(“k”)

 

เอาอีกแล้ว!

(There you go again!)

หล่อนพูดไทยคำอังกฤษคำอีกแล้ว!

(The language is laughing at me again!)

แค่พูดคำไทยเมื่อพูดภาษาไทยจะทำให้หล่อนขาดใจตายหรือ!

(“Do you think you have control over me?”)

“แต่เธอก็พูดไทยคำ บาลีคำ สันสกฤตคำ เขมรคำ จีนคำอยู่ตลอดเวลา

(“How bold of you to think)

ที่ผ่านมาเธอทนตัวเองได้ยังไง”

(that you can dissect me,)

ก็ฉันใช้จนมันกลายเป็นคำไทยไปหมดแล้ว!

(and recomposed the same me in another form.”)

เค ไม่ใช่คำไทยและไม่มีวันเป็นคำไทย!

(“You will never ever succeed.”)

เพียวริฟิเคชั่นไม่ใช่คำไทยและไม่มีวันเป็นคำไทย!

(“The work of purification and translation)

“เธอรู้ได้ไงว่าไม่มีวัน”

(is only your vain arrogance.”)

 

ฉันไม่คุยกับหล่อนแล้ว

(Fine, I’m done with you.)

ถ้อยคำของหล่อนมีแต่จะทำให้ถ้อยคำของฉันต้องแปดเปื้อน

(I know that language,)

ถ้อยคำของหล่อนมีแต่อหังการ์

((even though it’s us who name you language,))

คิดจะยั่วโทสะให้ฉันเสียการควบคุม

(is never ever under my control.)

ถ้อยคำของหล่อนไม่พยายามสื่อสาร

(Thank you for having been allowing me to communicate,)

มีแต่กั้นกำแพงสูงตระหง่านไม่ให้ใครปีนเข้าไปหาความหมาย

(but why do you have to be so hard to please,)

ถ้อยคำของหล่อนปิดประตูใส่ถ้อยคำของฉัน

(and couldn’t be more cooperative.)

ไม่เปิดรับความหวังดีที่ซ่อนไว้ระหว่างบรรทัด

(You are so mean.)

ฉันไม่คุยกับหล่อนแล้ว

(I’m done with you.)

 

“จ้า”

“k”


นลิน

นลิน

นักเรียนคติชนผู้ชมชอบเรื่องเล่าและบทเพลง

คำปณิธานก่อนถือกำเนิด

 

มนุษย์ทุกคนเกิดมา

เพราะได้รับอนุญาตจากเบื้องบน

มนุษย์ทุกคนเกิดมา

ต้องกล่าวปณิธานต่อเบื้องบน

ว่าจะถือกำเนิดในโลกเพื่ออะไร

ต้องมีจุดมุ่งหมายที่ยิ่งใหญ่พอ

ต้องมีความปรารถนาที่ยิ่งใหญ่พอ

จึงจะได้รับอนุญาตให้ถือกำเนิด

 

เมื่อดวงวิญญาณอุบัติขึ้นในโลก

เราจะเห็นมนุษย์บางผู้ตั้งหน้าตั้งตาทำตามความฝัน

นั่นคือมนุษย์ที่ “จำได้” ว่าตนปณิธานสิ่งใดไว้ต่อเบื้องบน

เราจะเห็นมนุษย์บางผู้เพิ่งรู้ตัวว่าอยากทำสิ่งใดบนผืนโลกนี้

นั่นคือมนุษย์ที่ “เพิ่งจำได้” ว่าตนปณิธานสิ่งใดไว้ต่อเบื้องบน

เราจะเห็นมนุษย์บางผู้ปล่อยชีวิตเลื่อนลอยไปวัน ๆ

นั่นคือมนุษย์ที่ “ลืม” ว่าตนปณิธานสิ่งใดไว้ต่อเบื้องบน

มนุษย์ทุกผู้ต่างตั้งปณิธานก่อนถือกำเนิดเสมอ

มิเช่นนั้นไม่ได้มายืนอยู่ตรงนี้

 

เบื้องบนไม่ยินยอมให้มนุษย์ที่ไม่มีความฝันจะทำให้โลกสูงส่งมาถือกำเนิดดอก

เราเพียงลืมคำปณิธาน

เรามีมือที่พร้อมจะทำสิ่งยิ่งใหญ่กันคนละอย่าง

เรามีดวงตาที่พร้อมจะมองเห็นคุณค่าในบางสิ่งที่ไม่เหมือนกัน

เรามีสมองที่พร้อมจะสร้างสรรค์ความมหัศจรรย์ที่แตกต่างกัน

เรามีหัวใจที่พร้อมจะให้บางอย่างแก่เพื่อนมนุษย์ในคนละแบบ

 

คุณเท่านั้นที่รู้ว่าตนเองปณิธานสิ่งใดไว้กับเบื้องบนก่อนถือกำเนิด

คุณที่จำคำปณิธานได้ จงมุ่งมั่นทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ต่อไป

คุณที่จำคำปณิธานไม่ได้ จงคิดทบทวนถึงอดีตที่ผ่านมา

ตอนคุณยังเยาว์ ทั้งเยาว์วัยและเยาว์วุฒิ

คำปณิธานชัดเจนนัก

ตอนนั้นคุณฝันอยากเป็นอะไร

ตอนนั้นคุณฝันอยากทำอะไร

ตอนนั้นคุณฝันอยากใช้เวลากับสิ่งใด

นั่นแหละ ปณิธานที่ให้ไว้ก่อนถือกำเนิด

 

คุณทุกคนมีปณิธานที่อยากเปลี่ยนโลกเสมอ

มนุษย์มีพลังเปลี่ยนโลกเสมอ

 


 

นรีเรขา

นรีเรขา

นามปากกาของ อรวรรณ ฤทธิ์ศรีธร จบปริญญาตรี-โท จากมหาวิทยาลัยขอนแก่น และปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม สาขาภาษาไทยทั้ง 3 ใบ ปัจจุบันนั่งเขียนทั้งงาน non-fiction และ fiction ตามแต่ dopamine และ synapses ในสมองจะจูงมือพาไป

บทกวีของสัมภเวสี

 

 

ตื่นจากตาย

เห็นภาพ

ยินเสียง

ดมกลิ่น

รับรส

รู้ร้อนหนาว

แต่ไม่รู้อิ่ม, หยิบจับไม่ได้

 

หินตรงหน้า ไม่นับเดือนปี

คว้าก้อนหินไม่ได้ จึงไร้เหตุผลนับเวลา

 

ชีวิตเหมือนเรื่องเล่าอีกฟากทะเล

จำได้เพียงน้ำตาตอนสิ้นใจ

ยังรู้รสน้ำตา

ดำรงอยู่เกินอายุขัย

ศตวรรษล่วงผ่าน

ป่าล้มหายเป็นหนทาง

หมู่บ้านงอกเงยจากลำธาร

ฉันยังอยู่

เพื่อหนีอะไร?

เร่ร่อนค้นหาสิ่งใดงั้นหรือ?

พรุ่งนี้ก็อีกปี

มะรืนก็อีกร้อยปี

ถึงมะรืน รสชาติเวลาคงคล้ายฟาง

 

ฉันเคยเห็นคนตายกลายเป็นความมืด

คนสีดำเด่นชัดในสีดำ

ฉันจะมืดมิดเพราะน้ำตาหยดนั้นไหม

นกตัวหนึ่งร้องเพลงบนกิ่งไม้

ว่าทิ้งโลกที่กอดไว้ จะหยุดร้องไห้

น้ำตาแห้ง จึงโบยบิน

 

โอ้… ฉันใฝ่ฝันจากไป

ความตายเมื่อร้อยปีก่อนไม่ได้มอบให้

ฉันจึงอภัยที่ฆ่าฉัน

อภัยให้ตัวเอง

แต่ให้คนรักไม่ได้

กลิ่นกอดเธอหายไปทศวรรษไหน

ไม่รู้จักเธอแล้ว

ใครช่วยบอกได้

ฉันอยากอภัยเธอ

กี่พรุ่งนี้

จึงทิ้งโลกใบสุดท้ายในอ้อมกอดสำเร็จ

 

 

 

 


ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

Kappasaisai@gmail.com

นักเขียนผู้หลงใหลการลับมีด เจ้าของเรื่องสั้น "ชายชราเบาหวาน" ที่ได้รับรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดประเภทเรื่องสั้น ปี 2555 ปัจจุบันใกล้จะมีนวนิยายของตัวเอง 1 เล่ม กับสำนักพิมพ์ Boligraf Book ยังคงเขียนงานอยู่อย่างต่อเนื่องที่บ้านของตน

แฟนของฉันกับดอกทานตะวันของเขา

 

ยามใดที่รู้สึกแย่ ฉันจะขอให้แฟนเล่าเรื่องในวัยเด็กของเขาให้ฟัง คืนนี้เขาเล่าเรื่องดอกทานตะวันดอกแรกที่เคยปลูก

 

“นั่นเป็นสิ่งมีชีวิตสิ่งแรกที่เราทำให้งอกขึ้นมา” เขาบอก “เอ๊ะ ไม่ใช่สิ สิ่งแรกนั่นถั่วเขียวต่างหาก” แล้วฉันก็นึกถึงภาพถั่วเขียวรองใต้กระดาษทิษชู่เปียก เราอายุห่างกันหลายปี แต่การเรียนปลูกถั่วงอกจากถั่วเขียวเป็นหนึ่งในประสบการณ์ในวัยเรียนที่เราผ่านมาเหมือนกัน

 

“เราไปหยุดอยู่หน้าร้านขายเมล็ดพืช เดินไปหาคนขาย บอกว่า ‘พี่ครับ ผมอยากปลูกอะไรบางอย่าง อะไรที่สวยๆ'”

 

‘อย่างนั้นก็ต้องเป็นดอกไม้สิ’

 

เขาได้ซองเมล็ดดอกทานตะวันกลับบ้านมา เมื่อถึงบ้านก็นึกได้ว่า ไม่มีกระถางต้นไม้ แล้วก็ไม่มีดินด้วย

 

“เราไปบอกแม่ แม่ก็พูดว่า อ้าว แล้วจะปลูกยังไงล่ะ ลงเอยว่าต้องรอเป็นสัปดาห์กว่ารถขายกระถางต้นไม้จะแวะผ่านมา”

 

“เราเอากระถางดอกตะวันขึ้นไปปลูกบนดาดฟ้า แล้วรดน้ำทุกวันเลย” เขาทำท่ารดน้ำต้นไม้ให้ฉันดู แล้วก็ฮัมเพลงออกมา

 

“มีไปนั่งเฝ้าด้วยนะ”

 

“มีวันหนึ่งดีใจที่เห็นอะไรงอกออกมา ก่อนจะรู้ตัวว่า นั่นมันวัชพืชนี่หว่า” เราหัวเราะขึ้นพร้อมกัน

 

เขาตื่นเต้นมากเมื่อเห็นดอกทานตะวันค่อยๆ โตวันโตคืน มันสวยที่สุดตอนบานเต็มที่ แต่ไม่นานก็เหี่ยวเฉา เขาเศร้า แล้วก็คิดว่า “แค่นี้เหรอวะ”

 

เรื่องดอกทานตะวันนี้ไม่มีปรัชญาชีวิตคูลๆ แต่อย่างใด มันก็แค่เรื่องของเด็ก ป.2 ที่อยากปลูกดอกทานตะวันเท่านั้นเอง แต่ยามที่เขาเล่า ฉันมองเขาด้วยสายตาเอ็นดู พลางจินตนาการถึงเด็กชายคนหนึ่งที่นั่งเฝ้าต้นดอกทานตะวันบนดาดฟ้า

 

อ้อ แล้วดาดฟ้านี่เองที่นำไปสู่เรื่องถัดไป นั่นคือเรื่องของเขากับดาวหางฮัลเลย์…

 


 

พินดา

พินดา

,,,

error: