MANTA RAY

 

ปีกบินร่อนตัดวาดฟองอากาศแตกตัว

จังหวะทรงพลัง ไหวเคลื่อนเนิบช้า

คอยสีสมุทรซึมแทรกเฉดปรัสเซียนบลู

ไหลผ่านชีวิตปลาปีศาจดึกดำบรรพ์

ฝังความรู้สึกส่วนลึกในตัวกระเบนราหู

 

ท่วงท่าเหินลังกาพาตัวสงบ

วนแหวกเหยื่อตื่นตระหนกเป็นวงรอบ

เลาะร่ายมนตร์แผ่รังสีความหลงใหล

แพลงก์ตอนนับล้านลอยล่องหยาดระยิบ

เข้าโพรงปากง่ายดายตามระยะเคลื่อน

ราวจุดดับแสงเลือนหายในหลุมดำ

 

นักท่องล่องเคลื่อนผ่านทุกสภาพผันแปร

ร้อนจรดหนาว ไม่สิ้นสุด มหาสมุทร

แม้นดิ่งลึกจุดเยือกแข็งจับอณูผิว

ระบบเลือดหลอมหลั่งสั่งสมองอุ่น

อัศจรรย์โครงสร้างวิวัฒน์หลายล้านปี

 

 

 

ฤดูเปลี่ยนพลัดถิ่นอพยพ

ชักนำเงาพายุดำคลั่กกลางสมุทร

วงกตสายลมปลุกคลื่นยักษ์สาดซัด

เสียงกระหน่ำคร่ำครวญระลอกสับสน

กระเบนจำลาร่อนเร่จากเขตน้ำลึก

รอนแรมติดปลายแหลมตื้นเขินใต้เกาะ

 

รอเวลาทุกอย่างหวนกลับมา

เฝ้าถอดรหัสมรสุมไขความในใจ

เคลื่อนพาเคี่ยวเข็ญจนเข้มแข็ง

การเปลี่ยนแปลงวนเวียนเวียนวน

มั่นคงเป็นเส้นตรงเหลือคณา

 

ถึงเวลาทุกอย่างหวนกลับมา

เสาะแสวงหาที่ทางสงบ

กระเบนราหู

 


 

ปภาตพงศ์ วันภักดี

ปภาตพงศ์ วันภักดี

จบการศึกษาระดับบัณฑิต และระดับมหาบัณฑิต จากคณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เครื่องเอกกีตาร์คลาสสิก ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำโปรแกรมวิชาดนตรีศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร นอกจากจะชื่นชอบในการเล่นดนตรีแล้ว ยังหลงใหลการเขียนบทกวีและงานสร้างสรรค์ทุกรูปแบบ โดยมักได้แรงบันดาลใจจากความรู้สึกภายใน ความทรงจำในวัยเด็ก และธรรมชาติรอบตัวที่กระทบกับความรู้สึกในขณะนั้น

ขณะนี้เป็นเวลาตามนาฬิกาลวงหลอก – อิสระ พันธ์ุยาง

 

กลิ่นความตายอบอวลข้าพร้อมลาลับ….

คำรักลวงหลอก….กระซิบบอก…. ซ้ำซาก….

งมงาย…. รอคอยรู้ว่าเป็นไปไม่ได้….

เจ็บปวดทุรนทุราย…. พาข้าจากไปเสียที….

วิญญาณจะดับสูญ…. ลืมทุกอย่าง…. หมดสิ้น….

Read More

นกเสรี

 

สวมมงกุฎหนามแหลมบนหัวฉัน
เปลี่ยนโลกสวยใบนั้นเป็นโลกร้าย
จากเจ้าหญิงแสนงามตามเจ้าชาย
เป็นนางมารผู้พ่ายโลกพิการ
.
ยิ้มไว้ ยิ้มไว้ นะคนดี
โลกใบนี้มิไร้เยื่อใยหวาน
ปีกเสรีที่ไร้พันธนาการ
จะพาเธอพบพานธารรื่นรมย์
.
ขยับปีก ขยับปีก อีกสักนิด
ข้ามให้พ้นถูกผิดโลกติดหล่ม
ทั้งจารีตประเพณีที่นิยม
เพียงเส้นผมบังภูเขาให้เรากลัว
.
เงยหน้าสิ เงยหน้า ช้าๆ หน่อย
ก็แค่วันฝนปรอยฟ้าสลัว
ผนึกใจเข้าไว้กับตนตัว
จะดี-ชั่ว เธอนั้นเป็นผู้คิด
.
โอ้ เห็นไหม เห็นไหม ขอบฟ้านั่น
ระเรื่อแสงแห่งวันฝันสถิต
ทาบทองทาดั่งเทวานฤมิต
เป็นของขวัญชีวิตและจิตใจ
.
จงโบยบิน โบยบิน โบยบินเถิด
ดวงวิญญาณจะล้ำเลิศราวเกิดใหม่
เสรีภาพมีค่ากว่าอื่นใด
เถิดรักษาอย่าให้ใครปล้นชิง
.
มิอาจพรากในนามแห่งความรัก
มิอาจผลักไสไปให้บางสิ่ง
อิสระสัจธรรมย้ำความจริง
โลกมิอาจหยุดนิ่งเพียงเพื่อใคร
.
หยิบมงกุฎหนามแหลมแล้วโยนขว้าง
โลกกลับไม่อ้างว้าง ใช่หรือไม่
ภูเขาสูง ทะเลกว้าง ทางแสนไกล
ล้วนสร้างไว้ให้ปีกเธอคนดี
.
สวมมงกุฎหนามแหลมบนหัวฉัน
คือวันนั้นซึ่งหัวใจไร้ศักดิ์ศรี
อย่าถามไถ่บินไปไหนในวันนี้
นกเสรี ! สุขใจเพียงได้บิน

 


 

แม่น้ำ เรลลี่

แม่น้ำ เรลลี่

โลกคือบ้าน หนังสือคือเพื่อน บทกวีคือชีวิต หลงรักการเขียนบทกวีทั้งรูปแบบฉันทลักษณ์และไร้ฉันลักษณ์ ปัจจุบันเป็นครูสอนภาษาอังกฤษและนักแปล

ปีใหม่หรือ?

 

ปีใหม่หรือ?
.
คงคล้ายๆ กับพรุ่งนี้นั่นแหละ
มันเติบโตขึ้นอีกหนึ่งวัน
ล้างหน้าแปรงฟันที่จุดเดิม
ยาสีฟันลดลงนิดหน่อยจากเมื่อวาน
แต่มันก็ยากจะสังเกตเห็น
กับทั้งชีวิตที่โตขึ้น และยาสีฟันที่ลดลง
.
แตกต่างไปอย่างไร
มันได้นอนหลับๆ ตื่นๆ
กินเหมือนเดิม
ขับถ่ายเหมือนเดิม
มีหวังขึ้นบ้างเล็กน้อยจากบรรยากาศรอบตัว
แต่แล้วก็อาจหมดหวังจากบรรยากาศเดียวกัน
.
มองย้อนไปตลอดทั้งปี
มันก็เห็นเฉพาะที่อยากจะเห็นนั่นแหละ
มันลืมอารมณ์ของเดือนกุมภาฯ
หรือลืมกระทั่งความเจ็บปวดในเดือนถัดมา
ปีทั้งปี มันบ่นว่ามันเจ็บปวด สาหัส
แต่มันก็เจอมาทุกปี แค่อาจรู้สึกมากหน่อย
เพราะแผลยังสดใหม่เท่านั้น
เรื่องดีก็มาก เรื่องเลวก็เยอะ
ชีวิตมันก็แบบนี้
.
แล้วมันก็พบกับคุณคนหนึ่ง
คุณที่มุ่งมั่นอย่างสุดใจ
ปีหน้าคุณจะดีขึ้น คุณบอกแบบนั้น
แต่ไม่รู้ว่าคุณเชื่ออย่างนั้นไหม
คุณขอบคุณตัวเองที่พาชีวิตผ่านมาได้
แต่คุณไม่เคยตำหนิตัวเองที่ผ่านมาได้ไม่ดี
ต้องคิดแบบไหน มองอย่างไรดี
ชีวิตมันดีอยู่แล้ว หรือแค่ปัดทิ้งไปก่อน
คืนข้ามปีนะโว้ย ทำให้มันดีดี คิดให้มันดีดีสิวะ
.
มันไม่รู้ต้องทำอย่างไรเหมือนกัน
ชีวิตมันปกติขนาดนี้
หนังสือสวดมนต์วางอยู่ที่เดิมเหมือนเหล้าขวดนั้น
มันก็อยู่ที่นี่ ที่เดิม
มองพระจันทร์คืนนี้แบบไม่เข้าใจ
และคงไม่ตื่นเต้นอะไรกับดวงอาทิตย์ของวันพรุ่งนี้
.
เสียงเพลงเปิดกระหน่ำเปลี่ยนไปอีกเพลงแล้ว
แต่อีกไม่ถึงวันก็คงเงียบลง
เหมือนเปลวดอกไม้ไฟหรือพลุแสนสวย
ที่สว่างวาบแล้วจางหาย
วินาทีที่ดับลงนั่นแหละ กลับช่างน่าสนใจ
ว่ามันมองเห็นอะไรในความมืดดำ

 

Photo by Stephanie McCabe on Unsplash


 

เอกสิทธิ์ เทียมธรรม

เอกสิทธิ์ เทียมธรรม

ทำงานบรรณาธิการเป็นหลัก มีผลงานเขียนเล็กน้อย ใช้เวลาส่วนใหญ่คิดแคปชั่นคมๆ ให้ สนพ. สมมติ

ผีเปรต – อิสระ พันธุ์ยาง

 

ด้านหน้าคือสระบัวขนาดย่อม มีแมลงหลากหลายชนิดบินโฉบเฉี่ยวไปมา บางครั้งเขาจะขว้างก้อนหินลงน้ำให้เกิดเสียงดังจ๋อมและมองดูริ้วน้ำแผ่วงกว้างออกไปจนลับหาย แต่สองสัปดาห์มานี้ เขาใช้พื้นที่แห่งนี้อำพรางตนเอง เพื่อซับหยาดน้ำตาจากความทุกข์ สีเขียวของพันธุ์ไม้กลายเป็นสีม่วงอมเศร้าดูหดหู่ สายลมอ่อนผ่อนคลายเปลี่ยนเป็นพายุร้ายโหมกระหน่ำ เสียงนกร้องเสนาะกลับฟังบาดหูไม่ต่างจากเสียงนินทาว่าร้าย หมู่เมฆเรียงรายคล้ายใบหน้าผู้คนกำลังจ้องมองลงมาด้วยแววตารังเกียจ

Read More

รางวัลที่ปลายไม้ – นิชานันท์ นันทศิริศรณ์

 

พลาดหวังอีกครา ไอเย็นยังค้างคาอยู่ในปาก กลิ่นและสีส้มเทียมๆ ฉาบผิวลิ้น ปลายนิ้วเหนียวรอยทางของความสดชื่นที่เพิ่งละลายตัว ไม้สีซีดชุ่มน้ำลายไม่ปรากฏร่องรอยรางวัล จบลงที่ความเบื่อหน่าย เขาบอกตนเองว่าไม่เอาอีกแล้ว จะไม่เสี่ยงโชคกับอะไรพรรค์นี้อีก

 

แล้วเด็กหญิงผมเปียใส่แว่นกรอบเงินก็วิ่งรี่มาเกาะรถของลุงเย็น เขาได้แต่มองตาม พยายามควบคุมสายตาไม่ให้ฉายแววอิจฉาเกินควร

 

“อ๊ะ ไม้ฟรี ไว้พรุ่งนี้หนูมาแลกนะคะ เดี๋ยวอ้วน” สิ้นคำเด็กหญิง คำว่าหมั่นไส้ก็ขยายใหญ่คับหัวหูของเขาจนอดไม่ได้ที่จะต้องขยับปากขยุกขยิกล้อเลียนคำนั้นของเธอ

 

“ไอ้ยักษ์! นิ่งเลยมึง จะเริ่มคาบเรียนใหม่แล้วนะเว้ย” ไอ้ผ่องตะโกนเรียกก่อนมันจะวิ่งเข้าห้องเรียน

 

กี่ครั้งแล้วนับตั้งแต่กิจกรรมแจกไม้ฟรีเริ่มต้นขึ้น กี่ครั้งที่เขาพลาด ไม่รู้ เขาเองก็ไม่ได้นับให้ทั่วถ้วน รู้แต่ว่ายาวนาน และนานกว่าระยะเวลาของเด็กหญิงชั้น ป.4 คนนั้น โชคของเธอถี่เหลือเกิน

 

เธอทำบุญด้วยอะไรกัน เขานึกลอยๆ พยายามคำนวณบุญกุศลของตนในคาบเรียนคณิตศาสตร์ หัวข้อที่เรียนวันนี้ – การเทียบบัญญัติไตรยางค์ของระดับชั้น ป.6 – กลายเป็นเรื่องง่ายสำหรับลูกเจ้าของร้านชำที่มีแม่ปล่อยดอกเบี้ยเงินกู้อยู่ลับๆ ให้แก่บรรดาลูกค้าที่มาจับจ่ายข้าวของ เขาพากเพียรเรียนรู้วิธีการคิดคำนวณดอกเบี้ย ไม่ใช่เพราะกตัญญูรู้คุณแต่ว่าอยากประจบเอาใจ หวังว่าเมื่อแม่อารมณ์ดีและนึกเอ็นดู แม่ก็จะบอกรับตู้ไอติมมาขายบ้าง แต่ไม่ว่าเขาจะช่วยแม่คิดคำนวณสักกี่ครั้งกี่หน แม่ก็ไม่เคยเห็นคุณงามความดีและเอ่ยถามเขาสักครั้ง ‘คนเก่ง อยากได้อะไรเป็นรางวัล’ ประโยคแบบนั้นไม่เคยหลุดออกจากปากแม่เลย เอาเถิด อย่างน้อยแม่ก็ให้เงินค่าขนมเพียงพอ เขาจึงไปยืนเกาะรถไอติมของลุงเย็นได้ทุกวัน

 

 

ลิ้นสีส้มกลับมาอีกแล้วนะลูก – เปล่า แม่ไม่ทักเขาแบบนั้น แม่เพียงอือเออพยักพเยิดหน้ารับรู้ว่าเขากลับมาแล้ว ข้าวปลาอยู่บนโต๊ะด้วยฝีมือของพี่ถนอม เสี้ยวไข่เจียวที่เหลือกับหมูกรอบผัดพริกเผารอเข้าไปสมทบกับสีส้มเมื่อบ่ายในลิ้นของเขา เพื่อนๆ เริ่มเรียกเขาว่าไอ้ยักษ์ แต่แม่ของเขาไม่เคยรู้ว่าเด็กชายตัวเล็กกระจ้อยได้รับฉายานี้มาได้อย่างไร

 

หลังกินข้าว เขาขึ้นห้องปิดประตูเงียบ โยนไม้ไอติมที่ล้างสะอาดและแห้งดีแล้วใส่กล่องพลาสติก กองไม้ไอติมในกล่องบ่งบอกว่าเขาขาดไร้แต้มบุญมานานแล้ว ถ้าไม่เอาไปขายทิ้งก็จะเอามาต่อเป็นหุ่นยนต์ เขาคิดอย่างนั้นขณะจ้องมองไปที่พวกมัน ก่อนจะคิดเรื่อยเปื่อยไปเรื่องอื่น

 

ปีหน้าก็ขึ้น ม.ต้นแล้ว ต้องพะวงเรื่องย้ายโรงเรียนอีก ทำไมเด็กผู้หญิงถึงเรียนต่อได้เลยในโรงเรียนเดิมกันนะ ช่างเถอะ เบื่อจะถามแม่แล้ว ถามกี่หนแม่ก็บอกแต่เพียงว่า จองโรงเรียนนี้ไว้ตั้งแต่แกยังไม่เกิด และแกก็ดันเกิดเป็นเด็กผู้ชาย

 

 

“มึงจะไปซื้อไอติมอีกแล้วหรอวะ ไหนมึงบอก…” ยังไม่สิ้นคำเพื่อน เขารีบวิ่งออกไปทันทีที่ได้ยินเสียงสัญญาณพักช่วงบ่าย พร้อมความคิดที่ว่าถ้าไปถึงก่อนเด็กหญิง ป.4 คนนั้น โชคจะเป็นของเขา ไม่ใช่เธอ

 

“วันนี้มาคนแรกเลยนะหนุ่ม”

 

“ครับ ขอยักษ์คู่เหมือนเดิมลุง” แล้วก็เหลียวซ้ายขวา ยิ้มยินดีที่ยังไม่เห็นวี่แววของเด็กหญิง

 

ชายชราส่งไอติมรสส้มเย็นชื่นใจให้เขา เด็กชายรับมาถือค้าง ค่อยๆ ละเลียดอยู่ข้างรถไอติม กะว่าถ้าได้ไม้ฟรีก็จะแลกทันที ไม่สิ ต้องรอแลกตอนที่เด็กหญิงชั้น ป.4 อยู่ด้วยจะได้โอ้อวดดวงดีกันเสียบ้าง

 

ไอติมหมดไปกว่าครึ่งก็ยังไม่เห็นวี่แววทั้งเด็กหญิงและรอยสลักบนไม้ ใจของเขาเริ่มเหี่ยวอีกครั้ง

 

“นี่ลุง ทำไมน้อง ป.4 คนนั้นยังไม่มาแลกไม้อีก”

 

“แหมหนุ่ม มิน่ายืนอ้อยอิ่ง รอน้องเขาล่ะสิเนี่ย”

 

เขาปฏิเสธพัลวันและทำท่าจะเดินกลับแม้ยังกินไม่หมดแท่ง

 

“นั่นไง มาแล้วล่ะหนุ่ม” เขาหันไปมองตามลุง เห็นเด็กหญิงโบกไม้โบกมือให้ลุงเย็นแต่ไกล

 

“วันนี้แลกอะไรดีจ๊ะหนู” ลุงรับไม้ฟรีจากมือเด็กหญิง สายตาชายชราจับจ้องไปที่โบผูกผมสีขาวของเธอ

 

“เอสกิโมเหมือนเดิมค่ะ”

 

ไอ้ยักษ์ยังวอแวข้างรถไอติม แม้ในมือจะเหลือเพียงไม้ไอติมซีดๆ สองแท่ง เขารีรอด้วยอยากรู้ว่าวันนี้เธอพกดวงมาอีกไหม

 

เขายืนชมนกชมไม้ไปพลางเดี๋ยวก็ได้รู้ เพราะเธอมีนิสัยแบบเดียวกันคือกินทันทีต่อหน้าลุง ไม่เดินเงียบหายไปอุบแอบรับรู้โชคชะตาของตนเพียงลำพัง กว่าเธอจะละเลียดเยลลี่แดงๆ นั่นเสร็จ ก็จวนจะหมดเวลาพัก

 

“โอโหหนู ยังงี้ลุงก็กำรี้กำไรหายหดสิ” ลุงเย็นแซวเด็กหญิงที่เพิ่งเปรมปรีดิ์กับเยลลี่หนุบหนับ ส่วนเด็กชายเดินคอตกกลับเข้าชั้นเรียน แว่วเสียงของลุงไล่หลังว่า “พี่เขามารอดูว่าหนูจะได้ไม้ฟรีหรือเปล่าน่ะ”

 

เธอได้ไม้ฟรีติดต่อกันเป็นไม้ที่เท่าไหร่แล้ว ไม้ก่อนหน้านี้เธอก็ไม่ต้องซื้อหา ผิดกับเขา เหี่ยวเฉาน่าอดสู ขนาดกินสองไม้ทุกวันก็ยังไม่เคยได้ไม้ฟรี กระทั่งไอ้ผ่องเอง เมื่อสองวันก่อนมันก็เพิ่งได้ไม้ฟรี นี่จะมีแค่เขาคนเดียวหรือที่เทพเจ้าไม้ฟรีไม่ดูดำดูดี นึกแล้วก็คิดในใจว่าเดี๋ยวพ่อจะกินให้ลิ้นสีส้มถาวรแม่งเลย

 

 

“มึงไม่ลองเปลี่ยนกินแบบอื่นดูบ้าง” ไอ้ผ่องพยายามช่วยคิดหาวิธี

 

“กูแพ้นมวัว ช็อกโกแล็ตก็กินไม่ได้” เขาตอบขณะก้มหน้าก้มตาลอกโจทย์ภาษาไทย วิชานี้เขาต้องทำการบ้านมาให้ไอ้ผ่องลอก แลกกับที่มันให้เขาลอกการบ้านวิทยาศาสตร์

 

“เรื่องมากจริงนะ ร่างกายมึงเนี่ย แต่เออกูได้ยินมาว่า ไอติมที่เป็นไม้ฟรีมันมีวิธีสังเกต บางคนบอกว่ามุมซองจะมีขอบขาวๆ หรือไม่ก็ให้ดูที่บาร์โค้ดตรงซอง มันจะประหลาดๆ กว่าปกติ มึงสังเกตน้องแว่นรึเปล่าวะ ตอนน้องเขาเลือก เขาจ้องไปที่บาร์โค้ดไหม” ไอ้ผ่องควงเหรียญห้าในมือเล่น ครุ่นคิดหาวิธีได้ไม้ไอติมฟรี มันเชื่อว่าทุกสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกนี้มีเบื้องหลัง มีที่มา มีเทคนิคที่ผู้คนส่วนใหญ่มองไม่เห็นหรืออาจมองข้ามไป

 

“ไม่รู้ว่ะ กูให้ลุงหยิบให้ทุกที แต่น้องเขาก็ให้ลุงหยิบให้นะเว้ย จะมีแปลกๆ ก็แค่น้องเขาชอบเอาไม้ไอติมไปเช็ดในกระเป๋ากระโปรงว่ะ”

 

“เออ แปลกจริง หาที่เช็ดได้ประหลาด แต่กูว่านะ ลุงเล่นมึงแล้วล่ะ แม่งเป็นคนขายต้องรู้สิวะว่าห่อไหนฟรีไม่ฟรี”

 

สิ่งที่ไอ้ผ่องพูดก็น่าคิด ร้านชำของแม่ก็มีขนมกรุบกรอบที่ให้ลุ้นของเล่นในซอง แม่เคยบอกว่าขนมพวกนี้หลอกเด็ก มีของเล่นอยู่จริง แต่น้อยยิ่งกว่าน้อย แม่อาศัยสังเกตน้ำหนักซองและเสียงกรุกกริกเวลาเขย่าห่อ แล้วก็เลือกห่อพิเศษเหล่านั้นขายให้เฉพาะลูกค้าขาประจำที่มาซื้อบ่อยๆ

 

พรุ่งนี้เขาจะถามลุงให้รู้กันไป

 

 

“อ้าว ว่าไงหนุ่ม กินอะไรดีวันนี้” ในสายตาลุงเย็น สีหน้าสีตาของไอ้ยักษ์ดูผิดประหลาดกว่าทุกวัน

 

“เหนื่อย… เมื่อไหร่ผมจะได้ไม้ฟรีกับเขาบ้างล่ะลุง” เขาไม่อ้อมค้อมให้ยุ่งยาก

 

“อย่าเพิ่งท้อสิหนุ่ม อีกตั้งหลายเดือนกว่าจะหมดเขต”

 

“ใครๆ เขาก็ได้กันหมด ขนาดไอ้ย้งมันยังได้ไม้ฟรีไปแล้วเลย มันกินเดือนละแท่งเนี่ย แล้วนี่ผมกินทุกวันนะลุง” เขาระบายความอึดอัดใจขณะยืนพิงรถไอติมจนเสื้อนักเรียนเริ่มออกสี

 

“ผมถามลุงจริงๆ นะ ลุงรู้ใช่มั้ยว่าไอติมแท่งไหนจะมีไม้ฟรี”

 

ลุงชะงักนิดหนึ่งคล้ายจะเรียบเรียงคำตอบก่อนเอ่ย “ลุงจะไปรู้ได้ยังไงเล่า”

 

“น่า ลุงบอกความจริงผมเถอะ ถ้าลุงไม่รู้แล้วใครมันจะไปรู้” เขาพยายามตีสีหน้าเศร้าหมองเหมือนลูกหมาแม่เสีย ส่วนลุงก็ยังอมพะนำไม่มีทีท่าว่าจะเผยข้อเท็จจริง

 

“ทำไมผมไม่เคยได้ไม้ฟรีสักทีล่ะลุง” เสียงที่เคยเข้มแข็งปรับให้เริ่มสั่นเครือ “ผมมันคนไร้โชคไร้วาสนา” เด็กชาย ป.6 ตัดพ้อ

 

“อ้าวหนุ่ม อย่าเพิ่งร้องสิ”

 

“ถ้าผมพอจะมีโชคกับเขาบ้าง ป่านนี้ผมก็ได้ไม้ฟรีไปแล้ว เหลือผมคนเดียวแล้วมั้งลุง ก่อนปิดเทอมผมจะได้ไม้ฟรีกับเขาบ้างหรือเปล่าก็ไม่รู้ จบเทอมนี้ผมก็ต้องย้ายแล้วนะลุง ใจคอลุงจะไม่สงสารผมหน่อยหรอ” ไอ้ยักษ์ยังคงรำพึงรำพันต่อไป ไม่ได้รู้ตัวเลยว่าเด็กหญิงที่อยู่ด้านหลังกำลังขยับแว่นตาและนิ่งฟังเขาบ่นพล่ามอยู่

 

“เออน่า กะอีแค่ไม้ฟรีเองนะหนุ่ม ไม่ได้วันนี้ เดี๋ยวพรุ่งนี้ก็ได้ มันก็ต้องได้เข้าสักวันน่า เหมือนหวยที่ลุงซื้อน่ะแหละ แล้วยักษ์คู่เนี่ย ถ้าได้ก็ได้ทั้งสองไม้เลยนา” ลุงเย็นพยายามปลอบด้วยคำพูดที่ไอ้ยักษ์คิดว่าลุงแค่พูดไปแกนๆ เท่านั้น ไม่ได้ไยดีเขาอะไรนักหรอก ฟังแล้วก็นึกสมเพชตนเอง ป.6 แล้วยังมากระซิกสะอื้นอะไรหน้ารถขายไอติม แล้วเขาก็ค่อยแผ่วเสียง แขนเสื้อขาวป้ายน้ำมูกใส เดินกลับเข้าห้องเรียน

 

นับตั้งแต่เริ่มกิจกรรมไม้ฟรี นี่เป็นวันแรกที่เขาไม่ได้กินไอติมยักษ์คู่รสส้มแสนชื่นใจ

 

 

กระดาษพับทบสีฟ้าอ่อนส่งต่อจากมือสู่มือ จ่าหน้าด้วยลายมือเล็กจิ๋วว่า พี่ยักษ์ 6/2 ไม่เคยมีใครส่งการ์ด จดหมาย หรือที่คั่นหนังสือเพื่อบอกความในใจกับเขามาก่อน เขาเคยเห็นไอ้ผ่องได้ครั้งหนึ่ง ติดกากเพชรเสียด้วย ข้อความเขียนด้วยหมึกสีชมพูกากเพชรอีกเช่นกัน แต่ก็เป็นการแกล้งกันเล่นๆ ระหว่างเพื่อนในห้อง ครั้งนั้นไอ้ผ่องไล่เตะไอ้ชัยไปรอบห้อง ด้วยมันอุตส่าห์วาดหวังว่าจะมีหญิงมาสารภาพรักตนบ้าง เมื่อความฝันถูกล้อเล่นเช่นนั้น มีหรือไอ้ผ่องจะนิ่งเฉย

 

ยักษ์เก็บกระดาษไว้ในกระเป๋าเสื้อ งุนงงในชะตากรรม เขาไม่เคยหมายปองผู้หญิงคนไหนในโรงเรียน และเท่าที่รู้ก็ไม่น่าจะมีใครมาชอบพอเขามากจนต้องส่งจดหมายน้อยมาเช่นนี้

 

สักพักเขาก็ขอครูไปเข้าห้องน้ำ คลี่กระดาษออกระหว่างทาง ข้อความสั้นๆ ลายมือเดียวกับจ่าหน้า พี่คะ ลุงไม่รู้ แต่ฉันรู้ เจอกันที่ชิงช้าหลังตึก เย็นนี้ ป.ล.เตรียมไม้ไอติมมาด้วย

 

จดหมายไม่ลงชื่อ ทันทีที่อ่านจบ เขารู้ทันทีว่าเป็นเธอ เด็กหญิง ป.4 คนนั้น เธอรู้จริงหรือเพียงแกล้ง เขาย่อมจะได้รู้เย็นนี้

 

 

เธอไกวชิงช้าเนิบๆ รอเขาอยู่แล้ว เขาพยักหน้าเป็นการทักทาย ไม่ได้ถามไถ่ชื่อเธอ ใครๆ ก็เรียกเธอว่ายัยแว่นเขาเลยทึกทักเอาด้วยว่าเธอมีชื่อเสียงเรียงนามอย่างนั้น

 

“พี่ไม่มีทางได้ไม้ฟรี” เธอหยุดชิงช้า เอ่ยประโยคแรกตรงไปตรงมา จ้องมองเขาขณะที่เขาเดินเข้าใกล้ เขาฟังแล้วฉุน ไหนว่าจะบอกเหตุผล แล้วทำไมมาพูดจี้ใจดำกันเช่นนี้

 

“บอกวิธีที่เธอรู้มาสิ”

 

“ไม่มีวิธีหรอกพี่ มีแต่ข้อสังเกตไปเรื่อยของคนนั้นคนนี้”

 

“แล้วทำไมเธอได้ไม้ฟรีบ่อยนัก”

 

“พี่คิดว่าฉันสังเกตจากห่อล่ะสิ ไม่เลย ลุงเย็นก็หยิบให้ฉันเหมือนที่หยิบให้พี่ พี่ก็คงเห็นบ้าง”

 

“ก็ใช่ แต่มันต้องมีวิธีสิ ที่เธอบอกว่าลุงไม่รู้แต่เธอรู้น่ะ”

 

“ฉันรู้มากกว่าลุงเย็น แต่ไม่ได้บอกว่ามันจะช่วยให้พี่ได้ไม้ฟรี”

 

“ช่างเถอะ” ยักษ์ถอนใจ “จะบอกมั้ย จะกลับแล้ว”

 

“ไอติมยักษ์คู่ไม่มีรางวัล” เธอโพล่งขึ้นจนเขาชะงักเท้า

 

“ตลก ถ้าเป็นงั้นจริง เรื่องแค่นี้ทำไมลุงจะไม่รู้”

 

“ไม่มีใครรู้หรอกพี่ คนนึกกันแค่ว่ายักษ์คู่น่ะได้ไม้ฟรียาก เพราะถ้าได้ก็จะได้ทั้งสองไม้ พี่ก็คิดอย่างนั้นใช่มั้ยล่ะ เลยกินแต่ยักษ์คู่รสส้มนั่นทุกวัน”

 

“เธอก็แค่เดามั่วเหมือนคนอื่น” ว่าแต่เธอรู้ได้ยังไงนะว่าเขากินไอติมอะไรทุกวัน

 

“ลูกพี่ลูกน้องฉันในอีกจังหวัดนึงก็ชอบกินแต่ยักษ์คู่ ตานั่นก็ไม่เคยได้ไม้ฟรีเหมือนกัน”

 

“อาจจะบังเอิญก็ได้นี่”

 

“แล้วแต่พี่ ฉันบอกสิ่งที่รู้หมดแล้ว เพราะงั้น ฉันขอไม้ไอติมพี่ด้วย”

 

สิ่งที่เธอบอกไม่ได้ช่วยให้เขากระจ่างขึ้นสักนิด เป็นเพียงสมมติฐานใหม่อีกข้อที่ไม่รู้จะพิสูจน์ให้แจ้ง ได้อย่างไร แต่สิ่งที่เธอขอก็ไม่ได้มากมายนัก แค่ไม้ไอติมของผม เหลือเฟือ เธอจะเอาไปเท่าไหร่ก็ได้

 

“แล้วก็ ฉันเพิ่งได้ไม้ฟรีมาอีกแล้ว อะนี่ ให้พี่แล้วกัน”

 

เขารับมา ทั้งหงุดหงิดและงุนงง สายตาของเธอผ่านกรอบแว่นนั่นดูไม่ใช่คนเลวร้าย เกือบจะรู้สึกแล้วด้วยว่าเขากับเธอน่าจะเป็นเพื่อนกันได้ ไม้ฟรีนอนนิ่งในกระเป๋าเขาแล้วเมื่อเธอเดินจากไป

 

เย็นวันนั้นเขากลับบ้านแล้วตรงไปที่กล่องเก็บไม้ไอติม โยนไม้ที่เธอให้ไว้บนกองไม้ของเขา รอยคำที่บอกว่าเป็นไม้ฟรีเลือนจาง ไม้ฟรีแรกที่เขาได้สัมผัส ไม่กล้าจดจ้องมันโดยตรง รู้สึกละอายคล้ายว่ามันยังไม่เป็นของเขาโดยสมบูรณ์ เขาจึงปล่อยให้มันนอนนิ่งเช่นนั้น แล้วค่อยๆ ลืมเรื่องโชคลางไปเรื่อยๆ ในวันต่อๆ มา

 

 

หลายวันต่อมา เขาก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่าเหตุใดจึงมีเพียงเขาที่ไม่เคยได้สัมผัสความรู้สึกของการได้ไม้ฟรีเลยสักครั้ง ครั้นจะหันไปกินรสอื่นเพื่อทดลองก็เดี๋ยวจะผื่นขึ้นน่ารำคาญ จะใช้ไม้ฟรีของเธอก็หยิ่งในศักดิ์ศรี ไม่เอาหรอกโชคชะตาของคนอื่น

 

จวนหมดเขตกิจกรรมไม้ฟรีแล้ว เขาก็ได้แต่ยืนกินยักษ์คู่รสส้มอย่างเหงาๆ ปลงเสียแล้วในความพยายามจะได้อย่างที่ทุกคนได้กัน ก่นด่าโชคชะตาว่าไม่ต้องมาเฉียดใกล้เขาแล้วก็ได้ ถึงอย่างไรทุกวันนี้เขาก็ได้กินไอติมวันละสองไม้อยู่แล้ว

 

ขณะที่เขาไม่เคยได้ไม้ฟรีเลย เด็กหญิงคนหนึ่งก็ได้ไม้ฟรีเป็นว่าเล่น เขาเกือบๆ จะเชื่อแล้วว่าโลกกำหนดมาให้คนเราแตกต่างกันอย่างบัดซบ คนหนึ่งไม่ต้องทำอะไรเลย ในขณะที่อีกคนหนึ่งพยายามแทบตาย

 

เกือบๆ จะเชื่ออยู่แล้ว แต่เขาก็ไม่ได้เชื่อ ด้วยไปได้ข่าวเสียก่อนว่า ยัยแว่นที่ใครๆ ต่างเรียกขานโดยไม่รู้นามที่แท้จริงนั้นน่ะ เธอถูกจับขณะคุ้ยขยะ พอถามก็ไม่ตอบ จนครูค้นเจอเองว่าเธอเก็บไม้ไอติมเป็นกำไว้ในกระเป๋ากระโปรง

 

หลังจบปีการศึกษา เขาสอบเข้าโรงเรียนในเมือง ส่วนเธอ บทลงโทษทำให้เธอต้องย้ายโรงเรียน ไม่ได้ต่อ ป.5 ที่เดิม

 

หลายปีต่อมา ใครต่อใครในโรงเรียนเก่าก็ยังพากันเล่าลือว่าไม้ของยัยแว่นหลอกลุงเย็นเสียสนิท และลุงเย็นนั่นแหละที่ต้องตอบคำถามเด็กรุ่นแล้วรุ่นเล่าไม่รู้จบว่าเพราะเหตุใดกันแน่ลุงจึงเลินเล่อเช่นนั้น

 

 

*หมายเหตุ
ผู้เขียนเลือกใช้คำว่า “ไอติม” แทนคำว่า “ไอศกรีม” เพื่อเลียนถ้อยคำอย่างเด็กๆ ให้เหมาะสมกับเนื้อเรื่อง

 

Photo by Lucas Benjamin on Unsplash


นิชานันท์ นันทศิริศรณ์

นิชานันท์ นันทศิริศรณ์

สนใจการอ่านเขียน แต่อ่านน้อย และเขียนน้อยยิ่งกว่าอ่าน เวลาเครียดชอบล้างจาน

ระหว่างฝัน ฉันไม่ปรารถนาค้นหาความจริง – อิสระ พันธุ์ยาง

 

น้องปีหนึ่งชายหญิงนั่งอยู่กลางวงโดยมีรุ่นพี่ล้อมรอบ ในมือข้างหนึ่งกำบัตรคำใบ้ไว้แน่น ใครสักคนส่งสัญญาณให้เปิดออก เสียงฮือฮาดังกึกก้องทั่วโถงอาคาร เขาไม่ยินดียินร้าย ได้แต่นั่งปล่อยความคิดไปเรื่อยเปื่อย ทันใดนั้น เขาต้องรีบหันไปตามเสียงเรียกที่ได้ยินทันที รุ่นน้องหญิงคนหนึ่งนั่งจ้องหน้าเขานิ่ง เขาหวั่นไหวกับแววตาคู่นั้น

Read More

ร้านเช่าวิดีโอของคุณมิกะ – ปันนารีย์

 

ฉันว่า ทำไมต้องมาข้ามถนนตรงสามแยก ตรงนี้เยื้องไปอีกนิดคือตลาดขายกับข้าวยามเย็น มีแต่คนพลุกพล่าน ข้ามตรงนี้ค่อนข้างยากลำบาก แยกซ้ายแยกขวาไปตรงมีรถเลี้ยวตรงนี้อยู่ตลอดเวลา เดินไปอีกเพียงนิดเดียวก็จะถึงทางม้าลาย ที่ฉันมายืนเสี่ยงตายอยู่ตรงนี้ ก็เพราะฉันชอบมาหยุดยืนเหม่อมองร้านเช่าวิดีโอของคุณมิกะที่ตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามถนน ฉันจำไม่ได้ว่าเคยเข้าไปเช่าหนังสักเรื่องมาดูหรือเปล่า ตอนที่ทุกคนยังมีเครื่องเล่นวิดีโออยู่ในบ้าน  คุณมิกะเป็นสาวร่างเล็กที่เข้าใจว่าน่าจะเป็นคนญี่ปุ่น คุณมิกะขึ้นป้ายหน้าร้านของเธอ ว่า

Read More

นาฬิกาสามเรือนในบ้าน

 

 

เรือนหนึ่งตรงเวลา

เรือนสองช้ากว่า

อีกเรือนคล้ายหยุดนิ่ง

ยังกระดิกเป็นจังหวะ

แม้แทบมองไม่เห็น

ระยะทางเคลื่อนเข็ม

แต่ละเรือนทำหน้าที่

ติ้กต่อกบอกจังหวะ

สม่ำเสมอ-แตกต่าง-สอดประสาน

เวลาคืออะไร?

สายลมพัดผ่าน

เข็มสั้นยาวเคลื่อนวน

ความทรงจำอัดแน่น

ลมหายใจติดขัด

การพบและจากลา

เวลาลักษณะอย่างไร?

เร็วช้า สั้นยาว หนักเบา

เวลาไม่หวนกลับจริงหรือ?

หรือได้ แต่เกินรับรู้

ทำไมหน้าปัดต้องเป็นวงกลม

ทำไมเข็มจึงต้องวิ่งวนเป็นวงกลม

หรือเวลาหวนกลับเสมอ

ในแบบของมัน

ทำไมบ้านหลังหนึ่งต้องมีนาฬิกาตั้งมากมาย?

แล้วพ่อก็ซื้อเรือนที่สี่เข้าบ้าน

คงเพราะกลัวเราไม่รู้เวลา

ยิ่งมีมากมาย 

ยิ่งสงสัยและอยากรู้เรื่องเวลา

เราแค่รู้เวลา

แต่เราไม่รู้จักเวลา

ยิ่งมีมากมาย 

ยิ่งไม่เชื่อว่าเรือนแรกตรงเวลา

 


อิสราวสี

อิสราวสี

เก็บเล็กผสมน้อย จนกลายเป็นบทกวีกระจ้อยร่อยแต่ละบท

 

ความจริงที่คุณไม่ได้พูดออกมา

 

ฉันอยากฟังเสียงฝีเท้าปราดเปรียวของกวางป่า
น้ำตกกระหน่ำหยดน้ำลงพื้น
การตอกรูสร้างรังของนกหัวขวาน
เเสงอาทิตย์เคล้าเสียงคลื่นทะเลยามเย็น
ค่ำคืนที่หริ่งไพรนับพันร้องระงมเป็นเสียงเดียว
หยาดฝนหลงฤดูพร่างพรมกระทบเเผ่นสังกะสี
รวงข้าวเขียวสดปลิวไสวผ่านสายลม
ส้นสูงของเเอร์โฮสเตสซึ่งย่ำลงอย่างระเเวดระวัง
เสียงหอบของนักปีนเขาในเอเวอเรสต์
เกือกม้าควบวนในสนามเเข่งไร้ผู้ชม
รถไฟที่เเล่นไปยังชายเเดนใต้
ธารน้ำเเข็งที่ทลายลงใต้มหาสมุทรในขั้วโลกเหนือ
สายฟ้าคำรามผ่านเเสงออโรราหลากสี
คำพูดเบื้องหลังการป่าวประกาศหาเสียง
อาการหลงรักที่ไม่เคยได้สารภาพ
ความเงียบสงัดในเชอร์โนบิล
เสียงสวดมนต์ก้องสะท้อนบนยอดเขาในทิเบต
เปลวไฟสงครามที่กำลังมอดดับในฮิโรชิมา
ฤดูกาลในนรกเเละความเจ็บปวดบั้นปลายของเเรงโบด์
เสียงหัวเราะสุดท้ายของเเม็คเเคนด์เลสส์ในอลาสกา
คำบรรยายของเเวนโก๊ะถึงธีโอในจดหมายฉบับเเรก
รอยยิ้มมุมปากของโมนาลิซา
บทเพลง 4.33 ที่เคจร่วมบรรเลงในห้องพิพากษา
นิทานที่ผู้เล่าเริ่มเรื่องด้วยกาลครั้งหนึ่งนานมาเเล้ว…
เเละความจริงที่คุณไม่ได้พูดออกมา

 


 

ปภาตพงศ์ วันภักดี

ปภาตพงศ์ วันภักดี

จบการศึกษาระดับบัณฑิต และระดับมหาบัณฑิต จากคณะดุริยางคศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เครื่องเอกกีตาร์คลาสสิก ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำโปรแกรมวิชาดนตรีศึกษา มหาวิทยาลัยราชภัฏกำแพงเพชร นอกจากจะชื่นชอบในการเล่นดนตรีแล้ว ยังหลงใหลการเขียนบทกวีและงานสร้างสรรค์ทุกรูปแบบ โดยมักได้แรงบันดาลใจจากความรู้สึกภายใน ความทรงจำในวัยเด็ก และธรรมชาติรอบตัวที่กระทบกับความรู้สึกในขณะนั้น

error: