SCHOOL LIFE No.12 – น้องสาว

 

 

“วันนี้ไม่ไปโรงเรียนรึไง” น้องชายเปิดประตูเยี่ยมหน้าเข้ามาถามในห้อง ผมนอนอ่านการ์ตูนอยู่

 

“ไม่สบายน่ะ ต้องทำรายงานส่งพรุ่งนี้” ผมตอบ “เอาจดหมายลาป่วยนี่ไปให้ครูที่ห้องพักด้วยแล้วกัน”

 

เขาถอนใจรำคาญ ผมเป็นแบบนี้อยู่เรื่อยๆ ตั้งแต่ม.ต้นแล้ว ถ้ามีการบ้านค้างต้องทำ หรือไม่อยากไปเรียนด้วยเหตุผลกลใดก็แล้วแต่ ผมก็ไม่ไปมันดื้อๆ

 

ผมรู้ว่าเขาอึดอัดใจ กังวลที่พี่ชายไม่ไปเรียน เขาเป็นผู้ใหญ่กว่าผมมาก ทั้งที่อ่อนกว่ากัน 4 ปี ผมเป็นเด็ก ม.ปลาย งี่เง่า เขาเป็นเด็ก ม.ต้น โตเกินวัย สุภาพกว่า นิ่งกว่า ยอมรับคำตำหนิที่ไม่ยุติธรรมและปัญหาต่างๆ เหมือนพนักงานบริษัทในละครที่ก้มหน้ารับผิดชอบไป นั่นแหละการเติบโต การที่รู้ว่าโลกไม่ได้เป็นของตัวเองอีกแล้ว

 

ผมไม่เคยยอมรับการเติบโตแบบนั้น เป็นคนที่ใช้กำลังง่ายดาย น้องต้องมาขวางรั้งห้ามปรามเสมอ แต่ผมไม่เคยยอม อีกใจหนึ่งก็คิดว่าเป็นเด็กแบบนี้ก็ดีแล้ว ไม่ใช่เพราะผมเป็นเด็กรึไง เขาถึงปลอดภัย

 

แต่วันหนึ่งก็ต้องโตจนได้ แล้วผมจะปกป้องเขายังไงดี

 

“แม่ทำกับข้าวทิ้งไว้ในตู้เย็นนะ หิวก็อุ่นเอา” เขาบอก ปิดประตูห้องผมลงอีกครั้ง

 

เช้านั้นผมนอนกลิ้งไปมา นานๆ ทีก็กลั้นใจลุกขึ้นมาทำรายงานสักครั้งหนึ่ง หมดแรงก็ลงไปกองกับเตียงต่อ เพื่อนที่โรงเรียนทักแชทมาเรื่อย สรุปงานกับการบ้านให้ จริงๆ ถ้าได้เรียนผ่านอินเทอร์เน็ตอย่างเดียวไม่ต้องไปโรงเรียนก็คงวิเศษ

 

กว่างานจะเสร็จก็เข้าพักเที่ยง ได้ยินเสียงกระแทกปิดประตูบ้านวิ่งตึงตังเข้าไปห้องนอนฝั่งตรงข้าม

 

“เป็นอะไรรึเปล่า” ผมเคาะห้องน้อง ตกอกตกใจทุกครั้ง เป็นห่วงจนคุมตัวเองไม่ได้

 

“เปล่า ไม่มีอะไร” เสียงน้องสาวตอบมาจากข้างใน ตื่นเครียดอึดอัด แต่ไม่ได้มากมายเกิน ‘ปกติ’

 

“ส่งจดหมายลาให้แล้วนะ” น้องสาวบอก

 

“ไม่ต้องกลับไปโรงเรียนอีกก็ได้ อยู่บ้านเถอะ” ผมรู้สึกเป็นห่วง

 

“ไม่เป็นไรหรอก คาบบ่ายมีเรียนคณิตศาสตร์” เขาตอบ น้ำเสียงฟังสงบแล้ว

 

ผมอ้าปากจะคัดค้าน แต่สุดท้ายก็หุบเงียบ รู้สึกว่าตัวเองจะเอาแต่ใจทุกเรื่องไม่ได้ ถึงจะไม่เห็นด้วย

 

เขาเป็นแบบนี้เสมอ พยายามขัดขืนไม่ยอมให้เรื่องปกติของตัวเขาขัดขวางชีวิตธรรมดาๆ

 

“พี่เข้าไปในห้องได้รึเปล่า” ผมถาม แค่อยากให้รู้ว่าทุกอย่างเรียบร้อยเหมือนทุกครั้ง

 

“อีกแปปนึง แต่งตัวอยู่”

 

ประตูห้องเปิดออก น้องสาวในเสื้อคอซองม.ต้นยืนก้มหน้าเก้ๆ กังๆ ยังสวมกางเกงนักเรียนชาย

 

………………..

 

ปกติมันเกิดขึ้นในกลางดึก นานครั้งที่เขาจะเป็นน้องสาวหรือน้องชายในระหว่างเรียน

 

จำไม่ได้ว่าความทรงจำแรกนั้นเขาเป็นเด็กผู้ชายหรือผู้หญิงกัน ความรู้สึกประหลาดเมื่ออาบน้ำด้วยกันตอนเด็กๆ ยังฝังในตัวผม สัปดาห์หนึ่งอาบน้ำกับน้องชาย อีกสัปดาห์หนึ่งอาบน้ำกับน้องสาว

 

แม่คลอดน้องเป็นเด็กผู้หญิง สัปดาห์ต่อมาหลังคลอดเมื่อแม่อุ้มน้องจากเปลจะเปลี่ยนผ้าอ้อมเพราะนึกว่าร้องไห้ฉี่รดเหมือนเคยก็พบเรื่องผิดประหลาด เราถึงกับตัดสินใจตรวจพันธุกรรมว่าเธอคือสมาชิกครอบครัวเราจริงๆ

 

แม่บอกน้องตอนเล็กๆ ว่า จำไว้นะ ถ้ารู้สึกว่าตรงนั้นหายไปต้องรีบบอกครู แต่เด็กอนุบาลตัวแค่นั้นไม่เข้าใจอะไรหรอก เธอก็ปล่อยให้ตัวเองเปลี่ยนแปลงต่อหน้าคนอื่น ตอนอนุบาลน้องเป็นนักเรียนหญิงมาตลอดแม้ว่าสัปดาห์นั้นจะเป็นผู้ชาย

 

แม่ตัดผมเธอสั้นในตอนที่เป็นผู้หญิง เพื่อให้คนอื่นไม่รู้สึกแปลกตาหากเกิดการเปลี่ยนแปลง แต่ก็มีบางอย่างผุดโผล่ในรอยซ่อน อย่าง เมื่อเป็นเด็กผู้หญิงเธอผมหยักศก เมื่อเป็นเด็กผู้ชายเธอผมตรงเรียบ

 

ยิ่งโตขึ้นก็ยิ่งยากขึ้นเรื่อยๆ ประถมต้นเสียงเธอเริ่มเปลี่ยนและต่างชัด ผิวพรรณก็เช่นกัน ยิ่งกว่านั้น เส้นมุมใบหน้าของพ่อก็ปรากฏมากขึ้นเมื่อเธอเป็นผู้ชาย ใครที่มองก็รู้ว่าเธอเปลี่ยน พวกเขาเอาแต่จ้องอย่างไม่เข้าใจว่าเส้นโครงหน้าเหล่านั้นมาจากไหน

 

ในที่สุดน้องก็ถูกถามว่า ‘แกเป็นตัวอะไรกันแน่’

 

ใครที่ถามคำนั้นคือคนแรกที่ผมชกลงไปกอง ผมจำเด็กผู้หญิงคนนั้นไม่ได้แล้ว ชกหน้าใครสักคนไม่ได้นุ่มอย่างต้นกล้วย มือซ้นไปหลายวัน เจ็บจนจับช้อนลำบาก

 

ผมทำให้เพื่อนหนีหายไปจากเธอ แต่ผมก็ดื้อรั้นว่าเพราะพวกมันคิดเลวๆ อาจใช่ แต่ไม่ทั้งหมด การตอบโต้ก้าวร้าวของผมมันมากเกินไป ต่อให้คนที่หวังดีก็ไม่อยากยุ่งกับน้องเมื่อรู้ว่าพี่ชายเป็นคนแบบไหน

 

ป.3 เธอบอกกับเราว่าอยากใส่ชุดนักเรียนชายในวันที่เป็นผู้ชาย

 

อยากเล่นฟุตบอล เหมือนที่อยากกระโดดยางกับเพื่อนผู้หญิง

 

เธอตัดสินใจไว้ผมยาวเมื่อเป็นหญิง เตรียมชุดไว้ในเป้เสมอหากเกิดเรื่องระหว่างอยู่โรงเรียน ถึงยังไง… ทุกคนก็รู้อยู่แล้วว่าเธอเป็นอะไร

 

เธอมีเพื่อน ยังพอมีบ้าง แม้จะเป็นคนที่มักได้ยินใครบอกว่าทีมเต็มแล้ว หรือไม่ก็ยืนว่างในสนามมองลูกบอลกลิ้งผ่านไป ผมดึงเธอมาเล่นกับเพื่อนห้องผมตอนเลิกเรียน ในเมื่อหมัดหนักผมก็เป็นลูกพี่ คนอื่นก็มองว่าเป็นความดีอะไรสักอย่างที่ได้ดูแลน้องชายลูกพี่ พวกเขามองน้องเหมือนเป็นเด็กขี้โรค

 

จริงๆ ผมเองก็รู้สึกแบบนั้น

 

ตอน ป.3 เธอมีสติพอจะรู้ว่าช่วงเวลานั้นกำลังมาถึง เธอจะรีบไปห้องน้ำ ราว 10-15 นาที เฝ้ามองตัวเองเงียบๆ แต่ห้องน้ำโรงเรียนก็ไม่ปลอดภัย เธอไม่ชอบสายตาที่ถูกคนมองตอนที่ออกจากห้องน้ำ

 

พอขึ้นชั้นมัธยมขับรถจักรยานยนต์ได้เธอจะรีบกลับบ้านเมื่อเกิดเรื่อง บ้านห่างออกไปไม่ไกล ใต้หมวกนิรภัยนั้นไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไร เธอรู้สึกปลอดภัยกว่าเมื่ออยู่บ้าน

 

ใครๆ ก็อยากเห็นช่วงเวลาที่เขาเปลี่ยนแปลง เหมือนเฝ้ารอดูสารคดีเมล็ดพืชค่อยๆ แทงหน่อจากดินคลี่ใบคู่แรก ไม่ต่างจากการที่ถูกสายตาคนอื่นจดจ้องเมื่อตัวเองถูกจับเปลื้องเปล่าเปลือย

 

เส้นผมค่อยๆ ยาวขึ้นหรือสั้นลง ผิวพรรณค่อยๆ ละเอียดหรือหยาบกร้านมีกล้ามเนื้อ ดวงตา จมูก ใบหู ริมฝีปาก เส้นมุมเหล่านั้นเปลี่ยนไป แม้มีเค้าบอกว่าตอนนี้เธอกลายเป็นหญิงหรือชาย แต่ก็ยังจับจุดร่วมกันได้ เหมือนพี่น้องที่ใบหน้าต่างกันแต่มีเส้นมุมบอกว่าเป็นพี่น้องกันจริงๆ

 

เจ็บปวดที่ต้องดูแลเธอ อับอายเหมือนเป็นตัวเอง เกลียดทุกคนที่ทำกับน้องสาวแบบนั้น แต่ผมไม่มีทางหนีไป ถูกบีบคั้นให้ขี้ขลาดไม่ได้ รู้สึกมาตลอดแม้จะอายุ 18 ปีในอีกไม่กี่เดือนทั้งที่เรียนอยู่ ม.4 ซ้ำชั้นเพราะทำร้ายคนอื่น ไม่เคยรู้สึกผิด ผมเคยเอาเก้าอี้ฟาดเพื่อนที่หัวเราะน้องสาวลงไปกอง

 

…………………….

 

“จะขาดเรียนทุกรอบที่มีงานค้างรึไง” เพื่อนผู้ชอบนั่งหลังห้องถามในวันต่อมา เรานั่งหน่ายอยู่ม้านั่งหน้าตึกรอเวลาเข้าแถวเคารพธงชาติ

 

เขาเริ่มสนิทกับผมเมื่อช่วงปลายภาคเรียนแรกนี้เอง ไม่ใช่เพื่อนสมัยม.ต้น เขาย้ายมาจากที่อื่น แปลกหน้าจากทุกคน ต่างจากนักเรียนคนอื่นที่ย้ายมาจากโรงเรียนใกล้ๆ ที่เราพอจะรู้เค้าข่าวกันบ้าง

 

เราเชียร์ฟุตบอลทีมเดียวกัน เรื่องนี้เขาไม่รู้จนชนะทีมอริในนัดสำคัญของฤดูกาล ทั้งห้องเรียนโหวกเหวกโวยวายทั้งรักทั้งชัง แล้วเรื่องพูดคุยของเราก็ไปเรื่องอื่นๆ ต่อ อย่างเกม การ์ตูน ดนตรี เป็นเขาเองที่คอยสรุปงานเมื่อวานผ่านแชทให้ด้วย

 

ไม่ได้เป็นเพื่อนในกลุ่มผม เขาไม่ชอบกลุ่มผมเท่าไหร่ เราก็เลยไม่ค่อยได้ไปไหนกัน คงเพราะกลุ่มผมค่อนข้างก้าวร้าว หุนหันคุกคามคนอื่นได้ถ้ารู้สึกไม่พอใจ เป็นบุคลิกที่ถอดถอนไม่ได้ อย่างน้อยผมก็คิดเสมอว่ามันจำเป็น ทุกวันนี้น้องก็ยังมีเรื่องเจ็บปวดรบกวน

 

“เมื่อวานน้องแกมาที่ห้อง…” เขาแกะมากฝรั่งรสมิ้นต์โยนเข้าปาก

 

“รู้เรื่องนั้นแล้วล่ะ” ผมตอบ เพื่อนในกลุ่มบอกแล้ว

 

“เดี๋ยวคาบคณิตศาสตร์ก็รู้” ผมยิ้มหน่ายๆ “ตอนส่งสมุดการบ้านคืนนี่แหละ”

 

“ทำอะไร?” เขาหันมอง ปากเคี้ยวหยับ

 

“เอาปากกาเคมีสีแดงเขียนสมุดอีนั่นไว้ทุกหน้าว่า ‘แล้วมึงจะเลิกเสือกเมื่อไหร่’” ผมตอบ นึกสมมติเหตุการณ์เมื่อวานนี้ เสียงถามเหมือนเป็นกันเอง ไม่เคยรู้จักกันแต่วางท่าเหมือนมีไมตรี พูดกับน้องผมว่า ‘อ่าว ไง วันนี้เป็นผู้ชายเหรอ?’ น้องก็คงยิ้มแห้งๆ แหยๆ

 

“ทำไมถึงไม่เคยจบเลยนะ” ผมถอนใจ “สนุกยังไง”

 

เขาเคี้ยวหมากฝรั่งเงียบๆ

 

“ถ้าฉันเกลียดแก ฉันก็ไม่สนหรอก คงคอยกัดเหมือนมดคันไฟน่ารำคาญ เท่านี้ก็พอ แกก็คงไม่ทำอะไรพวกมันนัก” เขาพยายามหาคำอธิบาย

 

“แล้วฉันไปทำอะไรให้ใครเกลียด?” ผมงุนงง

 

“มันไม่เกี่ยวกับว่าแกไม่เคยทำอะไรใครก่อนหรอก” เขาถอนใจ “มันเหมือน… แค่มองเห็นว่าแกเป็นคนอย่างนี้ น่ารังเกียจฉิบเป๋ง แล้วรู้ว่านั่นไงน้องมัน จุดอ่อนมันอยู่ที่นั่น”

 

“ฉันน่ารังเกียจ?” ผมหันมอง เขายังเพ่งตรงไปเบื้องหน้า

 

“ถึงจะเข้าใจว่าแกทำเพื่อน้อง ฉันว่ามันก็น่ารังเกียจ” เขาตอบหน้าตาเฉย

 

“แล้วพวกนั้นไม่น่ารังเกียจรึไง” ผมรู้สึกกรุ่นๆ ขึ้นมา

 

“ถ้าทำได้ฉันก็คงฆ่าพวกนั้น” เขาหัวเราะ “แต่นั่นแหละ มันก็น่ารังเกียจ”

 

น้องสาวเดินผ่านเราไป โบกมือทักทายเพื่อนผมยิ้มแย้มแจ่มใส รอยยิ้มนั่นก็เป็นวิธีฝึกตนของเธอเหมือนกัน ทำให้โลกนี้ยังหวังได้ ทำนองนั้น

 

“จริงๆ ก็คงไม่แค่โดดเรียนอยู่ทำรายงานหรอก” ผมไถลตัวราบไปกับม้านั่ง เห็นรอยยิ้มนั่นแล้วก็เกลียดตัวเองที่ไม่เคยโต

 

“เป็นแบบนี้มาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว อยากไม่มาโรงเรียนบ้างน่ะ” ผมสารภาพ

 

เขายังคงมองนิ่งไปเบื้องหน้า

 

“เหนื่อยที่ต้องดูแลน้องสาวเหรอ” เขาจี้ตรงจุดบอดในตัวผม

 

ภาพมันวูบเข้ามาในดวงตา ผมจำได้ทุกครั้งที่ทอดทิ้งน้อง อาจไม่ใช่เหตุการณ์ใหญ่โตอะไร ก็แค่ปล่อยเธอร้องไห้อยู่คนเดียว ไม่ก็โดดเรียน พยายามเดินหนีเธอในสมัยเด็กๆ ที่ต้องพาไปไหนต่อไหน

 

เป็นเรื่องเล็กๆ น่ารังเกียจที่บางครั้งผมก็รู้สึกว่าถึงพยายามทำร้ายคนอื่นเท่าไหร่ก็ไม่พอลบล้างและทำให้เชื่อว่าผมมีค่ากับเธอแล้ว

 

“แต่ใจนึงฉันก็เกลียดพ่อนะ” ผมอธิบาย “พยายามบอกตัวเองว่า ก็แค่หยุดเรียนบ้าง ไม่ได้หนีไปเหมือนเขา”

 

เพื่อนไม่ได้พูดอะไร

 

 

 

วันนั้นน้องชายมาเคาะห้องผม เขาเพิ่งจะ 7 ขวบเอง บอกว่า ‘ช่วยตามหาพ่อหน่อยสิ ไม่รู้พ่อไปไหน’ ผมกำลังเล่นเกมคอมพิวเตอร์อยู่ในห้อง ทุ่มกว่าแล้ว สุดสัปดาห์พ่ออาจไปกินเหล้ากับเพื่อนก็ได้ ผมบอกน้องอย่างนั้น น้องว่าแม่หงุดหงิด มันก็ไม่แปลก แม่หงุดหงิดทุกครั้งที่พ่อไปข้างนอกกับเพื่อน แต่มันไม่ใช่ เสื้อผ้าเงินทองพ่อหายไปจากห้องด้วย

 

ด้วยความซื้อบื้อ น้องเดินตามหาพ่อไปทั่วทั้งหมู่บ้านในคืนนั้น พร่ำขอโทษร้องไห้ร้องห่มเหมือนคิดว่าตัวเองทำผิดอะไรสักอย่างแต่ไม่เข้าใจ

 

“ผู้ชายคนเดียวของบ้าน” ผมพึมพำ

 

“อย่าเข้าใจผิด ยัยนั่นก็เป็นผู้ชายที่ดีพอๆ กับเป็นผู้หญิงที่ดี พยายามสร้างนิสัยตัวเองที่เป็นได้ทั้งผู้หญิงผู้ชาย ถึงจะไม่เข้มแข็งไม่อ่อนหวานนักก็เถอะ ผู้ชายคนเดียวของบ้านนั่นเป็นคำพูดแม่น่ะ ผู้ชายขยะ ไม่เอาไหน พ่อฉันเอง ฉันต้องพิสูจน์ว่าผู้ชายทั้งโลกยังมีคุณค่าหลงเหลือ”

 

คืนที่พ่อหายไป เราออกตามหาน้อง เขาเดินร้องไห้ไปตลอดตรอกหมู่บ้านเงียบเปลี่ยว ค่ำคืน เขาค่อยๆ เปลี่ยนเป็นเด็กผู้หญิงในอ้อมกอดของผม

 

ผมไม่เคยกอดเขา รู้สึก… แปลกประหลาดมาก ไม่เคยอยากเป็นพี่ชายของคนแปลกประหลาดแบบนี้ ผมเมินห่างเขามาตลอด ไม่ได้เล่นด้วย ไม่ได้พูดด้วย เสียสละของที่เขาต้องการเสมอ ไม่เคยรู้สึกว่าถูกแย่งชิงอะไรทั้งสิ้น สิ่งที่รู้สึกอยู่ในใจคือเขาไม่สบาย และผมต้องให้ เขาจะได้หาย

 

วันนั้นผมเป็นพี่ชาย และเป็นมาตลอด

 

“หนักหนาเอาการนะ” เขาพูดเหมือนปลอบใจ

 

“ก็เลยพยายามจะแบ่งเบาภาระฉันรึไง” ผมตรงเข้าเรื่อง

 

ผมเคยรัก ทำไมจะไม่รู้ แต่ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะพูดทำไม พอเห็นรอยยิ้มน้องสาวตัวเอง และเห็นรอยยิ้มตอบกลับของเขาแล้ว ผมรู้สึกว่าต้องพูด ก่อนที่มันจะไกลเกินไปกว่านี้

 

ที่เรารู้จักกันก็อาจเพราะเขาตกหลุมรักน้องผมในร่างเด็กสาว

 

คนอื่นเย็นชากับน้อง แต่เขาทักทายเธอ พูดคุย น้องก็รู้สึกว่าเขาเปลี่ยนบรรยากาศรอบตัวเธอ

 

เขาพยายามหาโลกใบหนึ่งที่ปลอดภัยสำหรับทั้งคู่ โลกที่พูดคุยหยอกล้อกันได้โดยที่ไม่ต้องถูกเพ่งมอง เขาเลยชวนเธอเล่นเกมออนไลน์ วิ่งไล่ล่าไดโนเสาร์ บางครั้งผมก็ไปกับพวกเขาด้วย เธอไม่เคยเล่นเกมกับใคร เกมที่เล่นจะเป็นพวกสร้างบ้านก่ออารยธรรม ปลูกผัก สร้างมนุษย์ แก้ปริศนา เกมที่ไม่ดูเป็นผู้ชายเกินไป หรือผู้หญิงเกินไป

 

ในโลกดึกดำบรรพ์ สัปดาห์หนึ่งพวกเขาเป็นเหมือนพี่ชายกับน้องชาย อีกสัปดาห์หนึ่งเขาเป็นเหมือนคนที่แอบหลงรักเธอ และในบางครั้งน้องผมก็หายไประหว่างเกมแล้วกลับมากับอีกตัวตน

 

เขาชวนน้องสาวชั้น ม.1 ของตัวเองมาเป็นเพื่อนเล่นน้องผมด้วย บางทีเราก็นัดไปดูหนังกันสี่คน น้องเขายังเป็นเด็กอยู่เลย ผมหมายถึง ผู้หญิงในวัยหนึ่งจะเปลี่ยนตัวเองจากเด็กซื่อๆ เป็นเด็กสาวที่รู้จักโลกมากขึ้น ไม่ได้หมายความว่าเด็กประถมนั้นบริสุทธิ์เหมือนวรรณกรรม แต่เด็กสาวที่ยังไม่โตในดวงตาและอาการพวกเธอก็มีอะไรที่ชัดเจนบ่งบอก

 

“ปัญหาไม่ใช่ฉันหรอก” ผมเอ่ยอึดอัด

 

“เข้าใจ เธอคงปฏิเสธ” เขายิ้มเศร้า คงเตรียมใจไว้บ้างแล้ว

 

“ปัญหาไม่ใช่น้องสาวฉัน” ผมบอก “แกต้องไปคุยกับน้องสาวตัวเอง”

 

………………….

 

“มีอะไรรึเปล่า”

 

ผมเปิดประตูห้องออกมาเจอน้องสาวยืนก้มหน้าเก้ๆ กังๆ พฤศจิกายน นานหลายเดือนก่อนผมจะยื่นจดหมายลาเรียนเพื่อทำรายงานให้เสร็จ

 

“ขอเข้าไปคุยข้างใน…ได้ไหม?” เธอพูดเสียงเบาเหมือนอึดอัดใจบางอย่าง เธอสวมเสื้อยืดกางเกงขาสั้นเป็นชุดนอน อากาศในบ้านเริ่มเย็นลงบ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับหนาวอย่างที่หวังไว้

 

ถอยให้น้องเข้ามา เธอนั่งลงที่เตียง ผมนั่งจ้องคอมพิวเตอร์อ่านการ์ตูนแปลอังกฤษที่ค้างอยู่

 

“อยากไปเที่ยวงานลอยกระทงน่ะ” เธอบอก

 

“ก็ไปสิ ไปกับเพื่อนเหรอ? หรือจะไปกับพี่ล่ะ?” ผมหันมามอง “กลัวจะเกิดเรื่องระหว่างเที่ยวงานรึไง?”

 

เธอไม่ค่อยได้ออกไปเที่ยวไหนกลางคืน กังวลจะเกิดอะไรขึ้น เว้นแต่ถ้าเธอเปลี่ยนตัวเองในวันนี้ พรุ่งนี้เธออาจไปดูหนังตอนหัวค่ำ วันต่อมาก็อาจไปกินบุฟเฟ่ต์กับเพื่อนๆ แต่จะไม่ให้คำสัญญากับใครยาวนาน นี่ก็ตั้งอีก 7 วันกว่าจะถึงเทศกาล

 

เธอส่ายหน้า

 

“เปล่า ว่าจะ… ไปกับน้องสาวเพื่อนพี่น่ะ” เธอตอบเสียงแทบเป็นกระซิบ

 

ทำไมผมจะไม่เข้าใจล่ะ

 

“พี่ไม่ห้ามหรอกนะ” ผมบอก “ถ้าเธอจะคบใครสักคนก็ดีเหมือนกัน”

 

เมื่อไหร่ไม่รู้ เธอคว้าหมอนผมมากอดเกยคาง

 

“เด็กคนนั้นเพิ่งบอกฉันวันนี้เอง ตอนเลิกเรียน” เธอเล่า “บอกว่า อยากคบกัน”

 

“สารภาพตอนเธอเป็นผู้หญิง?” ผมขมวดคิ้ว

 

เธอพยักหน้าเบาๆ

 

“บอกว่า ถ้าฉันเป็นผู้ชายแล้วคงพูดไม่ออกแน่ๆ เลย”

 

“งั้นตอนนี้เธอก็เป็นพี่สาว?” ผมพยายามคาดเดาความรู้สึกเด็กคนนั้น

 

“ไม่ใช่งั้นหรอก” เธอส่ายหน้า “ผู้หญิงน่ะ เอ็นดูผู้หญิงด้วยกันได้นะ แต่เด็กคนนั้นก็คงรู้สึกว่า พอเป็นผู้หญิงแล้วคงกดดันน้อยกว่าบอกตอนฉันเป็นผู้ชายน่ะ”

 

น้องเคยมีความรักมาก่อนรึเปล่านะ? ผมไม่เคยรู้เลยว่าน้องสาวเคยแอบรักใครหรือเปล่า แต่เรื่องเข้าใจรัก เธอก็คงเข้าใจ

 

ผมจำไม่ได้แล้วว่าซาบซึ้งกับภาพยนตร์รักก่อน หรืออยากจะรักใครสักคนก่อนกันแน่

 

“ลอยกระทงให้สนุกนะ” ผมยิ้ม เธอเงยมอง นัยน์ตานั้นอ่อนไหวกับความรู้สึกบางอย่าง

 

ผมไม่รู้ว่าเด็กสองคนนั้นไปถึงไหนแล้ว

 

แต่ก็น่าจะเป็นไปด้วยดี ทั้งคู่มีกวดวิชาคณิตศาสตร์ในตอนเย็นที่เดียวกัน เลิกเรียนแล้วเธอจะพาน้องสาวเพื่อนผมซ้อนรถไปหาอะไรกินที่ตลาดค่ำ ไม่ก็อาจไปดูหนังกัน ในขณะที่ผมกับพี่ชายเขาอยู่ที่สนามฟุตซอล ผมไม่ได้เผยเรื่องน้องพวกเราแม้แต่คำเดียว เขาก็คงคิดแค่ว่าดีจริงที่สองคนนั้นเข้ากันดี เป็นเพื่อนสนิทกัน

 

รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่นะว่าเขารักน้องผม จำไม่ได้แล้ว แต่เหมือนอยู่ๆ ก็รู้ว่าเขารักเธอ

 

“พักนี้การบ้านเยอะไหม?” ผมชวนน้องสาวเขาคุย ล่วงมาจนกุมภาพันธ์ เราสี่คนเพิ่งออกจากโรงหนัง ขับรถพากันไปสวนรุกขชาติชานเมือง ฟังคำถามตัวเองแล้วก็รู้สึกงี่เง่า จริงๆ ผมก็เป็นคนโง่เรื่องมนุษย์สัมพันธ์

 

ผมซื้อไอศกรีมโคนให้ อากาศบ่ายอ้าวกลางแดด แต่เย็นสบายใต้ร่มไม้ ไกลออกไปจากม้านั่งเรา น้องสาวกับเพื่อนผมเดินเล่นกันอยู่ริมบึง

 

เธอส่ายหน้าเชือนๆ ดวงตามองสองคนนั้นไม่วาง

 

“หนังสนุกดีนะ” ผมยังไม่ละความพยายาม

 

เธอพยักหน้าเชือนๆ เหมือนเดิม

 

เด็กคนนี้จะรู้สึกยังไงนะ เหมือนพี่ชายขโมยของรักไปอย่างนั้นรึเปล่า

 

“พี่ชายเธอบอกแล้วใช่ไหม” ผมตรงเข้าเรื่อง “เรื่องน้องสาวพี่น่ะ”

 

ผมนึกว่าเธอเจ็บปวด แต่เธอก็แค่พยักหน้า

 

“จะสำเร็จไหมนะ” เธอพึมพำ ผมหันมอง เธอก็ยังเอาแต่กินไอศกรีม ตามองสองคนนั้น

 

“กลัวเหรอ” ผมถาม

 

เธอพยักหน้าเชือนๆ

 

“น้องสาวพี่จะเป็นคนพูดเอง” ผมถอนใจ “ว่าจะเอายังไง”

 

ผมรู้ว่ามันยาก เรื่องของสามคนนี้ ผมบอกน้องไปแล้วเมื่อ 5 วันก่อนว่าอยากให้ตัดสินใจ บอกทุกๆ เรื่อง ทุกๆ อย่าง ในที่สุดเธอก็เข้าใจว่าจะต้องเผชิญ ผมนัดทุกคนมาพบกันในวันนี้

 

“ถอนใจทำไม” เป็นครั้งแรกที่เด็กคนนั้นหันมองผม “มีอะไรเศร้า”

 

“ก็เศร้าไม่ใช่รึไง” ผมงุนงง “ในเมื่อต้องเลือกปล่อยใครสักคน”

 

“เลือกปล่อยอะไร? ไม่มีใครบอกเหรอว่าอยู่กันแบบนี้สามคนก็ได้” เธอมองผมเหมือนเป็นตัวประหลาด

 

ผมเบิ่งตาค้าง

 

“คุยกับพี่ชายแล้ว คุยกับพี่สาวแล้วด้วย” เธอบอก “แต่สองคนนั้นยังไม่ได้คุยกัน ไม่ได้บอกหนูว่าคิดยังไงที่หนูอยากให้เป็นแบบนั้น”

 

ในนาทีนั้นเองที่ผมเห็นน้องสาวผมก้มหน้าขวยอาย เขาเอื้อมจับมือเธอไว้

 

ได้ยินเสียง ‘เย้’ เบาๆ มาจากเด็กตัวกะเปี๊ยกข้างๆ เธอตบมือกับท่อนแขนตัวเอง ขม้ำโคนไอศกรีมที่เหลือ

 

ผมดูเหมือนโง่ๆ พิกล แต่ก็ไม่ได้รังเกียจที่มันเป็นแบบนี้หรอก แค่รู้สึกว่า ความพยายามแก้ปัญหาให้น้องสาว ความรู้สึกที่เหมือนตัวเองแบกภาระเธอไว้ มันเป็นความคิดน่าหัวเราะ ทำเหมือนว่าคนอื่นจะจัดการอะไรไม่ได้ ต้องรอผม

 

คงเป็นเพราะยังรู้สึกมาตลอดว่าน้องสาวจะต้องมีผมดูแล ไม่ยอมรับว่าเธอเป็นผู้ใหญ่กว่ามาก ผมต่างหากที่ไม่โตสักที

 

เธอไม่ใช่เด็กที่ร้องไห้ในอ้อมกอดผมเหมือนเมื่อตอน 7 ขวบแล้ว

 

“ไม่ชินเลยแฮะ” ผมพูด

 

“ชินอะไร?” เด็กหญิงมองผมเหมือนเป็นคนโง่

 

“มันจบดีเกินไป” ผมตอบ “ไม่คุ้น”

 

“แล้วคุ้นอะไร?” เธอขมวดคิ้ว

 

“ต้องมีใครสักคนร้องไห้” ผมตอบ

 

“พี่ก็ร้องไห้สิถ้างั้น” เธอบอกซื่อๆ

 

นั่นสินะ

 

“นี่ร้องไห้จริงๆ เหรอ” เธอเบิ่งตาตกใจ แต่แล้วก็หันไปมองอีกฝั่ง น้องสาวผมปล่อยมือเขาแล้ววิ่งเข้าไปในอาคารจัดนิทรรศการ เธอคงเข้าห้องน้ำ อาการแบบนั้นไม่มีอะไรหรอก เกิดเรื่องที่นานๆ ครั้งจะพบหนหนึ่ง

 

ผมร้องไห้ รู้สึกว่ายิ้มแล้วไม่เข้าใจตัวเอง ร้องไห้แล้วเข้าใจกว่า

 


 

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

Kappasaisai@gmail.com

นักเขียนผู้หลงใหลการลับมีด เจ้าของเรื่องสั้น "ชายชราเบาหวาน" ที่ได้รับรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดประเภทเรื่องสั้น ปี 2555 ปัจจุบันใกล้จะมีนวนิยายของตัวเอง 1 เล่ม กับสำนักพิมพ์ Boligraf Book ยังคงเขียนงานอยู่อย่างต่อเนื่องที่บ้านของตน

Comments

comments

You may also like

Leave a comment

error: