Slice of life No.4 – ที่หลับซ่อนอยู่

 

 

ในตอนนี้เธอมีลูกค้าอยู่ 4 รายด้วยกันที่มาขอรับคำปรึกษาแก้ไข

 

คนหนึ่งปวดหลัง คนหนึ่งภาวะเครียดจัด คนหนึ่งต้องการขอหย่ากับสามี

 

ส่วนเขาตามหาเทปคาสเซ็ตที่หายไป

 

เขาไม่ปฏิเสธสิ่งเหลือเชื่อใดๆ ในเมื่อเขาต้องการสิ่งที่เหลือเชื่อ

 

“ศิลปินคือใครนะคะ?” เธอถาม

 

“Coldplay ครับ อัลบั้ม Rush of Blood to the Head” เขาตอบ ดวงตาคลางแคลงเธอ

 

เธอดูไม่เหมือนคนทรงแม่หมออะไรอย่างนั้น จืดชืดธรรมดาจนไม่น่าวางใจเลยด้วยซ้ำ

 

เทปม้วนนั้นซื้อตั้งแต่เขาเพิ่งเรียบจบมหาวิทยาลัยได้ไม่นาน มันหายไปเมื่อตอนเขาอายุ 30 ตอนนี้จนลูกสาวเข้าชั้นมัธยมต้นแล้ว

 

จะบอกว่าว่างก็เลยหาอะไรแปลกๆ ทำก็ไม่ใช่ เขารู้ว่าเทปม้วนนั้นสำคัญต่อเขาในตอนนี้

 

ไม่ได้รู้สึกว่าสำคัญเลยในหลายทศวรรษผ่าน จนมาวันหนึ่งเมื่อเดือนที่แล้ว เขาก็รู้สึกว่าทนไม่ได้ มีก้อนแน่นคับข้องใจ อยู่ๆ ก็ได้ยิน In My Place ก้องขึ้นในหัว

 

ไม่ใช่เพลงโปรดในอัลบั้มนั้น เป็นซิงเกิ้ลโฆษณาติดหูที่ศิลปินปล่อยออกมาในยุคนั้น และมันกลับมาโฆษณาเขาอีกครั้ง

 

“ค่อนข้างยากอยู่นะคะ” เธอเฉมองครุ่นคิดไปทางอื่น ยังไงเขาก็ไม่ชอบบุคลิกเธอเลย ใส่เสื้อยีนส์ทับชุดกระโปรงผ้าลูกไม้ดูเป็นสาวรุ่นทำตัวตามสบาย ยิ่งเหล่ไปเห็นการ์ตูนเด็กผู้ชายที่วางอยู่บนโต๊ะกาแฟด้วย

 

“ผมเข้าใจ ขอโทษที่รบกวนครับ ผมรู้ว่ามันยาก มันหายไปสิบกว่าปี แล้วนั่นก็เป็นบ้านพ่อที่ขายทิ้งไปนานแล้วด้วย” เขารู้สึกดีใจที่ได้พูด โดยสัตย์จริง เขาอยากจบการพบปะนี้

 

คงเพราะนิสัยนักธุรกิจกระมัง เขาไม่ชอบใจถ้าพนักงานเขาจะไม่ระวังบุคลิกเวลาออกไปพบลูกค้า

 

“ไม่ใช่แบบนั้นค่ะ” เธอส่ายหน้า “ที่ว่าค่อนข้างยาก หมายถึง เงื่อนไขที่ต้องทำเพื่อจะได้เทปนั้นคืนมา ไม่ใช่ว่าจะค้นหายาก”

 

“ยังไงเหรอครับ? วิธีที่ค่อนข้างยากน่ะ” เขาถาม

 

“มันค่อนข้างพัวพันกับส่วนอื่นๆ ของชีวิตคุณค่ะ” เธออธิบาย ถอนใจเบาๆ “มันต้องแก้ไขยืดยาวมากๆ เพื่อจะได้เทปม้วนนั้นคืนมา”

 

เขาชั่งใจครุ่นคิด เทปม้วนนั้นกับชีวิตทั้งปวงของเขา?

 

เขารู้สึกว่าปัญหาทุกๆ อย่างที่เผชิญอยู่มันก็ลงตัวแล้ว ไม่ได้หมายถึงมีชีวิตที่สมบูรณ์แบบ ไม่มีใครรู้สึกว่ามันสมบูรณ์แบบได้นานหรอก

 

คอนโดมิเนียมเขาอยู่ในย่านที่ผ่านทั้งรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน แต่มันไม่ใช่ย่านที่จะขยับขยายพัฒนา เห็นเงาเสื่อมโทรมเกาะกุม เขาไม่ชอบเดินทางหลายต่อเพื่อไปหาซื้อหนังสืออ่านในย่านอื่น

 

(ไม่ใช่ทุกร้านหนังสือจะเป็นร้านที่เราต้องการ มันอาจไม่มีหนังสือที่อยากอ่าน หรือมีกลิ่นที่ไม่ชอบ)

 

กระนั้น จะให้เขาย้ายออกจากย่านนี้ เขาก็กังวลที่ต้องมานั่งแก้ไขจัดการชีวิตใหม่

 

“แล้วถ้าผมไม่ขอเทปม้วนนั้นกลับมาล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น” เขามองอย่างคาดหวังคำตอบ

 

เธอรู้สายตานั้น ไม่ใช่ครั้งแรกและครั้งสุดท้าย เธอพยายามควบคุมสติไม่ให้ถอนใจระอา

 

“ฉันไม่รู้หรอกค่ะว่าจะเกิดอะไรขึ้น” เธอก้มหน้าซ่อนดวงตา

 

“ฉันไม่รู้อนาคตและอดีตของใคร ที่แก้ไขให้ได้ก็เป็นเฉพาะปัญหาแบบ ‘ด้ายเส้นบางที่บาดรัดหัวใจจนปวด’ กรณีอื่น เช่น ความทรมานอันใหญ่หลวง ชะตาถึงฆาต การเปลี่ยนแปลงชีวิตพลิกหงาย ฉันทำไม่ได้”

 

………………….

 

ด้ายเส้นบางที่บาดรัดหัวใจจนเจ็บปวด

 

เขาเริ่มรู้สึกแบบนั้น

 

ง่ายดายจะหา Coldplay ฟัง เขาเข้าถึงเพลงได้เป็นล้านๆ บนโลกใบนี้ แต่มีอะไรบางอย่างในตัวเขาที่ขาดหายและอยู่ในเทปม้วนนั้น เขาไม่เข้าใจ

 

“ผมเริ่มฝัน ชีวิตหลังจบมหา’ลัย ในช่วงทำงานปีแรกๆ” เขาเล่าให้เธอฟังในการนัดพบกันหนที่สอง

 

“ชีวิตที่ดีเหรอคะ?” เธอถาม

 

เขารู้สึกว่าตัวเองสัมผัสไวต่อเธอมากไป แค่คำถามธรรมดาก็ทำให้เขายิ่งมองเสื้อผ้ากิริยาและหนังสือการ์ตูนบนโต๊ะกาแฟอย่างไม่ชอบใจ

 

“เปล่า” เขาถอนใจ “ผมไม่ใช่คนไฟแรงหรืออะไรแบบนั้น นั่นเป็นช่วงที่แย่ที่สุดช่วงหนึ่งในชีวิต มันเหมือน… โลกเปลี่ยนแล้ว ผมรับรู้ตั้งแต่เรียนปีหนึ่งว่าไม่มีความสุขหรืออะไรแบบนั้นรออยู่อีก”

 

เธอนิ่งรับฟัง

 

“พอได้ยินเพลงนั้นชอนไชในหู ผมจะนึกถึงช่วงวัยนั้นขึ้นมา คือ… มันไม่มีภาพหรอก ผมเหมือนไม่เคยมีความทรงจำใดๆ บันทึกช่วงเวลานั้น

 

“แต่ผมรู้ว่าเคยผ่านมันมา เพราะสิ่งที่ชัดเจนคือความรู้สึก ในหัวมีหมอกหม่นเผยความเศร้าแจ่มกระจ่าง เศร้าอาลัย หวาดกลัว และสูญเสียความหวัง ชัดเจนว่ามีสองสี พอมันกลืนผมมากเข้าก็รู้สึกว่าตัวเองเลี้ยวผิดตรงจุดไหนสักจุดเมื่อสิบกว่าปีก่อน”

 

เขาอับอายแต่ก็โปร่งโล่งที่ได้พูด

 

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ไม่เห็นต้องเอาเทปนั้นกลับคืนมาเลยนี่คะ” เธอทักท้วง ไม่เข้าใจว่าหากมันทำให้เจ็บปวดแล้วเขาจะต้องการเพื่ออะไร

 

เขาส่ายหน้า

 

“ต้องเอากลับมาสิ ถ้าจะทำลายความทรงจำก็ต้องทำลายกุญแจไข”

 

……………………

 

‘มันเหมือนกรดเกลือเข้มข้น เมื่อเทผสมรวมกับกรดไฮโดรคลอริกก็กลับกลายเป็นน้ำเกลือธรรมดาที่นักเล่นแร่แปรธาตุดื่มได้’

 

เธอชอบอธิบายให้ลูกค้าฟังแบบนี้ ว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นเรื่องที่เธอก็ไม่เข้าใจ นักเล่นแร่แปรธาตุในยุคพันปีก่อนก็ต้องคิดความรู้หนึ่งขึ้นมาสรุป เธอเองก็เหมือนกัน

 

เธอไม่รู้ว่าทำไมมะเขือเทศสุกถึงมี ‘สิ่งนั้น’ และทำไมถึงเหมาะกับ ‘คนนี้’ ในความรู้ของเธอ มะเขือเทศไม่ได้เป็นผลไม้ และไม่ได้มีสารอาหารที่ดีต่อร่างกาย มันใช้ความเข้าใจนั้นไม่ได้ มันเป็นสิ่งหนึ่งซึ่งจะนำมาประกอบกับสิ่งอื่นๆ

 

เธอพบเรื่องนี้เมื่อม.ต้น รู้สึกว่ามีความหมายอื่นซ่อนอยู่ในสิ่งต่างๆ ทั้ง วัตถุ สัตว์ สิ่งแวดล้อม เวลา การกระทำ ความสัมพันธ์ ความรู้สึก ความเข้าใจ

 

แต่เธอก็ไม่รู้ว่าความหมายนี้เอาไปทำอะไรได้ มันไม่ใช่สมบัติทางกายภาพของวัตถุนั้นๆ หรือเกี่ยวกับความหมายที่คนทั่วไปมอบให้ (เช่น ข้าวหล่อเลี้ยงชีวิต มารดา ความอ่อนน้อม ชนชั้นล่าง) เธอก็เลยไม่ได้ทำอะไรกับมัน เพราะความหมายในวัตถุพวกนั้นก็ผสมรวมสะเปะสะปะในชีวิตและไม่ได้เกิดผลใดๆ

 

จนวันหนึ่งเธอใช้น้ำฝนกรองต้มแล้วสระผมเพราะน้ำประปาไม่ไหล อยู่ๆ เธอก็รู้สึกเหมือนค้นพบอะไรบางอย่างตอนอาบน้ำ เธอไม่เข้าใจ ไม่มีคำตอบ เป็นแค่ความรู้สึก

 

วันต่อมาเธอเจอหนังสือไร้เจ้าของหนึ่งเล่มตกอยู่บนทางเท้า

 

ด้วยวิธีนี้เธอมีหนังสืออ่านฟรีจนตาย ปัญหาคือหนังสือที่พบก็ไม่ใช่ที่ต้องการเสมอไป

 

เธอค่อยๆ เก็บเกี่ยวความรู้จากการสังเกตคนรอบตัวในชีวิตประจำวัน หรือไม่เธอก็นำมันมาทดลองเอง เธอใช้เวลาไปกับสิ่งนี้จนกลายเป็นเด็กขาดเรียนและไร้ความหวังที่จะมีชีวิตปกติได้

 

แต่เธอรู้ว่าคนในชีวิตธรรมดาๆ เหล่านั้นต้องการเธอ ชีวิตเป็นมากกว่าตรรกะ ความเจ็บปวดทำให้พวกเขายอมละทิ้งบางส่วนของตรรกะเพื่อมาพบเธอ

 

ในแต่ละเดือน เธอมีลูกค้าต้องพบปะดูแลทุกวัน มีคนจำนวนไม่น้อยที่ยอมละทิ้งตรรกะเพื่อจะมีชีวิตอยู่

 

ในสมุดส่วนตัวนั้นเธอจัดระเบียบความเข้าใจสิ่งที่รู้ได้ว่า

 

  1. มะเขือเทศ
  2. ไฟ
  3. โลหะ
  4. มีน้ำตา
  5. นกพิราบ

 

จริงๆ ยังมีอีกมาก นี่เป็นตัวอย่างวิธีจัดระเบียบวัตถุที่เธอใช้ มันไม่ใช่ระบบทวิลักษณ์หรืออยู่ในระเบียบที่เข้าใจกันโดยทั่วไป เช่น มีหมวดไฟ แต่ก็ไม่มีสิ่งตรงข้ามเป็นน้ำ หรือจัดกลุ่มได้ ดิน น้ำ ลม ไฟ

 

อย่างหินอ่อนมีลักษณะเป็นไฟ (เช่นเดียวกับ การปลูก/ดูแลสิ่งหนึ่ง) แต่หินแกรนิตก็ไม่ได้เป็นน้ำ  หินแกรนิตจัดอยู่ในประเภทมีน้ำตา และเธอก็ยังไม่พบวัตถุใดเป็นน้ำ แม้แต่น้ำ

 

แต่ที่หินแกรนิตจัดอยู่ในหมวดมีน้ำตากลับไม่ใช่เพราะสัมผัสได้ หากเพราะมันใช้ประกอบเพื่อแก้ไขปัญหาที่มีน้ำตา (อยู่ๆ ฟังเพลงแล้วร้องไห้ก็เข้ากรณี แน่นอน ถ้าไม่มีน้ำตาก็ไม่ใช้หินแกรนิต)

 

กรณีของเขา เธอแนะนำว่า คุณต้องปลูกมะเขือเทศไว้ที่บ้านเพื่อทำอาหารกินทุกวันศุกร์ อาหารนั้นต้องเป็นเส้นแป้ง 14 มื้อ

 

เขา + ปลูกเอง + มะเขือเทศ + กิน + อาหารเส้นแป้ง + วันศุกร์ + 14 มื้อ ทั้งหมดคือส่วนประกอบ

 

“แต่ผมไม่เคยทำอาหาร” เขาประท้วงว่ามันวุ่นวาย

 

“คุณต้องหัดทำค่ะ” เธอย้ำ

 

“จำเป็นไหมที่รสชาตินั้นต้องอร่อย?”

 

เธอส่ายหน้า “แต่กินตั้งสิบสี่มื้อทุกศุกร์ คุณก็คงอยากให้มันอร่อย”

 

เขาถอนใจยอม

 

“เมื่อคุณสมาธิมั่นคงขึ้น เราค่อยดำเนินขั้นต่อไป” เธอบอก

 

“แล้วผมจะรู้ได้ไงว่าผมสมาธิมั่นคงขึ้น” เขาสงสัย

 

“อะไรที่คุณเพ่งทำไม่ได้?” เธอถามเหมือนจะหาอะไรบางอย่างวัดผล “บางทีคุณอาจลองเรียงโดมิโน่ซักพันตัว”

 

………………….

 

ผมอาจผิดก็ได้ที่พยายามตามหาเทปม้วนนั้น

 

ในที่สุดแล้วพอได้มาก็ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นนอกจากความรู้สึกว่ามันกลับคืนมาหาเขาอีกครั้ง

 

แต่ In My Place ก็ยังชอนไชหูเขาทุกวัน

 

เหลือเชื่อ ครบ 14 มื้อ เขาต่อโดมิโน่ 1000 ตัวได้โดยไม่สะกิดตัวไหนล้มจนก่อระเบิดลูกโซ่

 

1000 ตัวเป็นจำนวนมหาศาลสำหรับเขา ขนาดยาวขดวนเต็มมุมหนึ่งของห้องนั่งเล่น จริงว่ามันอาจจะสั้นมากๆ หากเป็นมืออาชีพ แต่ปกติเขาไม่เคยต่อมันได้ถึง 100 เลยด้วยซ้ำ

 

เป็นเรื่องการเพ่งสมาธิจดจ่ออย่างที่เธอว่าจริงๆ น่ะหรือ?

 

“เดี๋ยวนี้ผมเป็นสมาชิกออนไลน์ของสมาคมโดมิโน่แห่งหนึ่ง ผมชอบความรู้สึกเวลาสะกิดมันล้มไล่เป็นลูกโซ่ไปจนตัวสุดท้าย” เขาเล่าให้เธอฟัง

 

พวกเขานัดพบกันทุกสัปดาห์เพื่อประเมินการรักษาขั้นต่อไป ที่เดิม ร้านเดิม โต๊ะตัวเดิม เปลี่ยนแค่เครื่องดื่ม

 

กี่เดือนแล้วที่พวกเขาพบกัน กว่าจะเพาะเมล็ดมะเขือเทศ กว่าจะผ่านฤดูเก็บเกี่ยว เขาต้องมีปัญหากับฝ่ายนิติบุคคลของคอนโดมิเนียมเพราะมีผู้พักอาศัยประท้วงที่เขาปลูกมะเขือเทศไว้ริมระเบียง

 

‘มันไม่น่าอภิรมย์’ นั่นคือข้อกล่าวหา เหล่าผู้พักอาศัยเคยมีเรื่องทำนองนี้มาก่อนแล้วในการประชุมครั้งหนึ่ง มีคนเสนอประเด็นว่าไม่ต้องการให้ใครตากแดดบนระเบียงห้องด้วยเหตุ ‘มันไม่น่าอภิรมย์’

 

ครั้งนั้น ที่ประชุมมีมติเอกฉันท์ไม่ให้ใครตากผ้าบนระเบียงห้อง เพราะมีร้านซักรีดที่ชั้นล่างไว้บริการ และไม่มีใครเดือดร้อนกับการจ่ายค่าบริการ

 

แต่กรณีมะเขือเทศ เขายืนยันว่าให้ยื่นฟ้องแล้วกัน เผื่อศาลจะเห็นด้วยว่าการปลูกมะเขือเทศบนระเบียงห้องเป็นเรื่องไม่น่าอภิรมย์และรบกวนผู้พักอาศัยรายอื่น

 

“In My Place ยังชอนไชหูผมอยู่ เว้นก็แต่ตอนเพ่งกสิณต่อโดมิโน่ เพลงเปิดวนซ้ำเหมือนรายการวิทยุโฆษณาชวนเชื่อกล่อมประสาท แต่ประหลาดที่ผมไม่เคยนึกเกลียดหรือเบื่อหน่าย ความรู้สึกที่เกิดขึ้นในใจผมก็ยังไม่เปลี่ยน ยังเศร้าหมองแบบนั้น” เขาเข้าเรื่อง

 

“ไม่จำเป็นต้องหาวิธีขับไล่มันหรอกค่ะ มันจะหายไปเมื่อตัวมันบรรลุผล” เธอเอ่ย

 

“คุณรู้เรื่องพวกนี้ได้ยังไง” เขาถามอย่างสุภาพ เมื่อการรักษาเริ่มเกิดผล เขาก็คลางแคลงเธอน้อยลงมาก

 

“บางทีฉันก็ให้คำปรึกษาเล็กน้อยในเรื่องนอกเหนืองาน ฉันเคยแลกเปลี่ยนเรียนรู้จากใครคนอื่นมาไม่น้อย อย่างคนที่รักษาอาการโรคนอนไม่หลับ ฉันเคยนอนไม่หลับ” เธอเล่า

 

“นอนไม่หลับไม่ใช่เรื่องแบบ ‘ด้ายรัดหัวใจ’?” เขาประหลาดใจ

 

“ไม่เป็นค่ะ มันเหมือน… ตกลงมะนาวเป็นผักหรือผลไม้ ถ้ามะนาวเป็นผัก ทำไมถึงขายเป็นน้ำผลไม้ ฉันไม่สามารถประกอบสิ่งต่างๆ เพื่อรักษาโรคนอนไม่หลับได้ ฉันก็เลยจำกัดความว่า มันไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย” เธออธิบาย

 

“แล้วงานประกอบต่อไปของเราคืออะไร?” เขามองลาเต้ที่วางลงตรงหน้า

 

เธอถอนใจก้มหน้า

 

“ค่อนข้างยากหน่อยนะคะ งานสุดท้าย แต่คุณต้องฟื้นฟูความรักต่อใครสักคนให้มากที่สุด”

 

เขาเหมือนไม่เข้าใจ ฟังผิดเฟื่อนหู เธอต้องย้ำอีกครั้ง ฝังคำว่า ‘ฟื้นฟู’, ‘ความรัก’, ‘ใครสักคน’ ลงไปในสัมปชัญญะของเขา

 

“ฉันกำหนดวันไม่ได้ ว่าคุณจะต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ แต่ก็บอกปริมาณไม่ได้เช่นกัน เหมือนลงแรงเก็บเกี่ยวผล ยิ่งลงแรงยิ่งเก็บได้มาก แต่อาณาบริเวณที่คุณต้องเก็บเกี่ยวนั้นกว้างใหญ่แค่ไหนฉันไม่อาจรู้”

 

เขาอึดอัดเหมือนเลือดหัวใจคั่งค้าง

 

“ใครก็ได้งั้นเหรอ?” เขาถาม

 

“ค่ะ ใครก็ได้ ที่สำคัญพอ อาจเป็นลูกสาว ภรรยา หรือญาติมิตร” เธอตอบ ระแวดระวังคำพูดตัวเอง เธอไม่อยากละลาบละล้วงความสัมพันธ์ของใคร แต่นี่เป็นเงื่อนไขที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

 

เขาจำเป็นต้องใช้โลหะ เพื่อให้เทปมาหาเขาได้ง่าย แต่เพราะมันเกี่ยวกับความรัก ภายในเขาจึงอาจอ่อนไหวอย่างร้ายกาจ เธอถึงให้เขาสร้างสมาธิอันมั่นคงไว้ก่อน

 

“มากพอ?” สีหน้าเขาคลางแคลง

 

“ค่ะ ต้องมากพอ แม้ไม่อยากยอมรับกันแบบนั้น เพราะถ้าตวงวัดก็แปดเปื้อนหยาบคายต่อความรัก แต่ความรักวัดปริมาณได้ แม้ไม่ชัดเจนแน่นอนรู้ขอบเขตมีตัวเลข” เธอพยายามให้เขาเข้าใจ

 

“ฉันนึกถึงเรื่องหนึ่ง ฉันเคยไปเยี่ยมลูกค้าที่นอนป่วยปวดแผลผ่าตัดหัวใจอยู่ที่โรงพยาบาล ข้างๆ เขามีหลอดยาแก้ปวดให้คนไข้กดฉีดเข้าสายน้ำเกลือเอง คนไข้เป็นผู้ประเมินความเจ็บปวดจากระดับ 1-10 เพื่อจะรักษาบรรเทา แม้สิ่งที่ไม่อาจรู้ขอบเขตที่แท้จริงก็จำเป็นต้องวัด

 

“ถ้ามันมากพอ เทปม้วนนั้นจะกลับมาหาคุณ”

 

…………….

 

มีใครที่เขาต้องกลับไปฟื้นฟูความสัมพันธ์?

 

นี่เป็นเรื่องปรกติระหว่างผู้คนไม่ใช่หรือ?

 

ไม่เคยรู้สึกว่าเกลียด รัก หรือห่างเหินใครสักคนมากเกินไป

 

กับภรรยา มันเป็นการเลือกระหว่างเขากับเธอ เลือกด้วยดี

 

ยังคงร่วมรักกัน แม้แยกนอนคนละห้องมานานแล้ว ด้วยเหตุผลที่ลูกสาวเข้าใจ

 

ทั้งคู่นอนหลับไม่เป็นเวลา พวกเขาไม่อยากรบกวนกัน ภรรยาเองก็มีปัญหาโรคนอนไม่หลับ นานวันก็ยิ่งรู้สึกว่าไม่อยากรบกวนอะไรอีกฝ่ายเลยแม้แต่จะร้องขอให้ช่วยขับรถไปส่งที่ทำงาน

 

บางทีเขาก็กระเซ้าเธอว่า ‘อาจจะดีก็ได้ หากเธอนอนไม่หลับจนลืมเขาไป’

 

เขาคิดอยู่นาน ในความสัมพันธ์กับผู้คนที่ต้องเลือกจะเปลี่ยนแปลง (เขาไม่ชอบคำว่าฟื้นฟู มันเหมือนเขาผิด ทั้งที่ใครจะรู้ว่าใครผิด) ที่สุดเขาก็เลือกซื้อตุ๊กตาหมีสีน้ำตาลตัวใหญ่วางไว้บนเตียงในวันเกิดลูก

 

แต่เธอกลับบอกว่าบางทีแม่อาจจะชอบตุ๊กตาหมีตัวนี้มากกว่า

 

เขาถามลูกว่าไม่ชอบตุ๊กตางั้นหรือ เด็กสาวต้องการเหตุผลกับตุ๊กตาหมีด้วยหรือ?

 

เธอว่าไม่ใช่อย่างนั้น มันแค่อยู่ๆ ก็มีตุ๊กตาตัวนี้โผล่มาบนเตียง แค่ไม่เข้าใจ

 

ลูกสาวกำลังเติบโต คุ้นชินการอยู่คนเดียว หากเธอยากเชื่อมต่อกับใครอื่น ก็คงเป็นเพื่อน ไม่ใช่เขา

 

เธออาจต้องการเขาในเรื่องอื่น แต่เธอไม่ต้องการให้เขารู้จักความรักของเธอ

 

เวลาจึงทอดยาวนานออกไปอีก เวลาที่การฟื้นฟูจะสำเร็จลง

 

กว่าเขาจะบอกกับลูกสาวว่า ‘อย่าฝังใจกับความรู้สึกในจูบแรก’ ได้ก็เป็นเวลาของปีที่ 2

 

และกว่าเขาจะพูดคำนั้นได้ก็ต้องผ่านอะไรอื่นอีกมาก

 

ทำได้เพียงพูดกับลูกวันละเล็กน้อยแต่สม่ำเสมอ และเป็นถ้อยคำเล็กน้อย เช่นว่า ‘ลืมการบ้านที่ไม่ได้ทำนั่นไปเถอะ’

 

แล้วลูกสาวก็จากความรักมาอยู่โดดเดี่ยวอีกครั้ง กลับจากโรงเรียนก็ขังตัวเองอยู่ในห้องนานนับเดือน

 

แต่วันหนึ่งเธอก็ออกจากห้องมาช่วยเขาต่อโดมิโน่

 

เริ่มจาก 1000 ตัว ค่อยๆ ขยับเพิ่มจำนวน สร้างลวดลาย สร้างรูปแบบการล้ม จัดระเบียบช่องไฟ งานยาวนานหลายชั่วโมง เพียงเพื่อนาทีที่มันจะล้มระนาดลงคลี่คลายภาพหรือข้อความที่มันซ่อนไว้

 

คราวหนึ่งในระหว่างต่อโดมิโน่เธอถามเขาว่าพ่อทำยังไงกับจูบแรก

 

เขาบอกว่าแล้วเวลาจะบั่นทอนมัน ถ้าจูบนั้นไม่เลวร้ายเกินไป มันจะกลายเป็นความฝันเล็กๆ ได้

 

ทั้งคู่ต่อโดมิโน่ด้วยกันทุกวัน

 

ในครั้งแรกที่ทั้งสองต่อได้ครบ 10,000 เขาให้เธอเป็นคนแตะนิ้วผลัก

 

เมื่อโดมิโน่ตัวสุดท้ายล้มลง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น

 

Rush of Blood to the Head ของ Coldplay วางอยู่บนพรมหน้าห้อง

 

………………………….

 

เขาวางซาวนด์อะเบ้าท์ลงบนโต๊ะตรงหน้าเธอ

 

งานจบลงแล้ว เธอมาตามนัดหมายเพื่อจะยืนยันว่ามันจบลง

 

เธอเสียบหูฟัง กดเล่นเทปเงอะงะ มันเป็นวัตถุที่ตายไปก่อนเธอจะเติบโต

 

เขากรอช่วงสำคัญไว้ให้ หลังเพลงสุดท้ายหน้า B ตรงเกือบสุดสายเทปมีเสียงหัวเราะหญิงสาวสั้นๆ เพียงวินาที

 

“มันไม่บังเอิญ” เขาเหม่อออกไปยังกระจกนอกร้าน

 

“เทปเพลงสากลจะมีสองร่องกลวงเปล่าบนสันเทป ไว้กันถูกใช้อัดเสียงซ้ำ ‘เพลงเหล่านี้มีค่าเกินว่าจะถูกเขียนทับ’ ผู้ผลิตคงอยากบอกแบบนั้น แต่มันก็มีวิธีอัดทับ แค่ยัดเศษกระดาษลงไปในร่องนั้นจนตัน”

 

เทปม้วนนั้นอยู่กับเขาเสมอมา มันอาจไปข้างนอกกับเขา ไปเที่ยว ไปหาซื้อหนังสือ ไปหาเทปม้วนอื่น หรือไปทำงาน แต่ไม่เคยถูกทิ้งไว้ที่ไหน เพราะแบบนั้นทางเดียวที่เธอจะบันทึกเสียงหัวเราะไว้ได้ก็คงจะเป็นเมื่อเขาเผลอหลับไปในระหว่างที่ทั้งคู่นอนลงข้างกัน เบื้องหลังเสียงเธอนั้นสงบมาก ไม่มีแม้เสียงรถราหรือผู้คน คงเป็นดึกสงัดคืนหนึ่ง

 

“ใครคนนั้นต้องการให้คุณรู้หรือคะ?” เธอตั้งข้อสงสัย

 

เขาส่ายหน้า

 

“เธออยากให้ผมบังเอิญพบ ถ้าผมเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตัวเอง ก็จะเกิดความบังเอิญได้” เขาตอบ

 

“อัลบั้มนี้เมื่อจบเพลงสุดท้าย ถ้าปล่อยเส้นเทปผ่านไปซักพักแล้วกดสลับมาเล่นหน้า A มันจะพอดีเพลงแรกเริ่มต้น เราเคยฟังเทปม้วนนี้ด้วยกันครั้งแล้วครั้งเล่า แต่ผมก็ไม่เคยค้นพบเสียงหัวเราะเธอเลย ผมจะกดสลับหน้าเทปก่อนเสมอ ในวินาทีที่แม่นยำ ผมไม่เคยปล่อยให้เทปเล่นจนมันตีกลับเล่นอีกหน้าเอง เว้นแต่ผมหลับ”

 

เขาถอนใจ ดวงตาหนักอึ้ง

 

เขาไม่ได้ลืมเธอ เธออยู่ในบทเพลง In my place ซึ่งซอกซอนประสาทรับฟังของเขา แต่ก็แผ่วเบา เป็นเพียงแค่ตัวประกอบหนึ่งในอดีต ไม่มีอะไรในเธอที่ฝังลงไปในเขาได้ มีเธออยู่ในช่วงเวลานั้น เหมือนที่มีใครคนอื่นอีกเช่นกัน

 

2 เดือนรึเปล่า พยายามจะหาอะไรสักอย่างยืนยันช่วงเวลาคบหาทว่าก็ไม่พบ ใครที่เคยรู้จักกันในช่วงเวลานั้นก็ห่างหายไปหมดแล้ว บริษัทที่เขาทำงานในตอนนั้นก็ไม่มีอยู่อีกต่อไป

 

ไม่น่าจะมีใครรู้ถึงการคบหากันครั้งนี้ คงเพราะเธอเป็นรุ่นพี่และเป็นหัวหน้าของเขา

 

“ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองมีความสุขไหมในตอนนั้น” ดวงตาเขายังคงจดจ่อความทรงจำ เขาไม่แน่ใจว่านั่นเป็นคำถามที่ถูกไหม

 

แต่เขายืนยันได้ว่าตอนนั้นเขาไม่เคยเกลียดอะไรลดน้อยลงเลย ไม่ใช่ความเกลียดชังอยากเผาโลกให้เป็นเถ้า หากเป็นความเกลียดชังที่ไม่อยากมองอะไร อยากหายไป ลืมตาตื่นในโลกใบอื่น

 

เธอบอกว่ารู้สึกแบบนั้นเหมือนกัน

 

ปีต่อมาเขาก็แต่งงาน หลังจากคบหาใครอีก 2 คนในช่วงสั้นๆ ไม่กี่เดือน

 

ส่วนเธอนั้นได้ตายจากไปก่อนนี้แล้ว

 

“ผมพยายามนึกว่าในตอนนั้นผมได้ทำอะไรผิดต่อเธอหรือเปล่า แต่ไม่มี เราจากกันด้วยดี ดีที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เราเห็นพ้องต้องกัน แล้วผมก็ลาออกจากงาน อาจมีเธอเป็นเหตุผลอยู่บ้าง แต่ใจความแล้วผมเกลียดที่ที่ตัวเองอยู่ หลายเดือนต่อมาเธอก็ตาย ที่หน้าประตูห้องน้ำเธอเขียนเตือนให้ระวังแก๊สพิษจากโซดาไฟผสมผงซักฟอกเอาไว้ ไม่มีข้อความอำลาอื่นใด งานยังวางค้างอยู่บนโต๊ะ”

 

เขาหัวเราะเบาๆ เหมือนมันช่างเจ็บปวดเกินกว่าจะเงียบ เขาบอกว่าคงจะหย่ากับภรรยา เธอไม่แน่ใจว่าลูกค้าพูดถึงอะไร และทำไม

 

“3 เดือน” เขาเอ่ย

 

“3 เดือนกว่าจะมีใครรู้ว่าเธอตายไปแล้ว เจ้าของอพาร์ทเม้นท์จะไปทวงค่าเช่าค้าง ทั้งที่มีกลิ่น ทั้งที่เธอมีเพื่อนและทั้งที่เธอทำงาน ควรมีคนพบเธอ…อย่างน้อยก็ตั้งแต่วันจันทร์แรกหลังสัปดาห์แรก แต่พวกเขาก็ไม่เคยนึกสังเกต เมื่อโทรศัพท์ติดต่อไม่ได้พวกเขาก็ไล่เธอออกจากงานโดยไม่แจ้ง เก็บกวาดข้าวของเธอทิ้ง ไม่มีใครไปหาเธอที่ห้อง สามเดือน… ผมรู้จากระบบแชทยุคนั้นที่ยังค้างรายชื่อเพื่อนที่ทำงานเก่าเอาไว้ เขาเขียนข้อความแทนชื่อตัวเองว่า ‘ลาก่อนนะเธอ’ ผมถึงได้รู้”

 

“พอรู้ข่าวเธอ ผมก็รู้สึกว่าอยากแต่งงานกับภรรยา”

 

เสียงเธอในเทปม้วนนั้นเพี้ยนจากความทรงจำ บันทึกเทปจากเครื่องเล่นราคาถูกมันก็คงได้เท่านี้ แต่เขารู้ว่านี่คือเธอ ไม่มีทางเป็นใครอื่น เขาจำท่วงทำนองหัวเราะของเธอได้

 

“แล้วคุณจะหย่ากับภรรยาหรือคะ” เธอย้อนกลับมาถึงคำพูดที่เขาทิ้งไว้

 

เขายังดูเหม่อลอย

 

“ผมรู้สึกแบบนั้นนะ”

 

“มันเหมือน…” เขาพยายามจะพูด “ช่างเถอะ”

 

“มันกลับมาจากความทรงจำเพื่อจะเตือนคุณให้นึกถึงผู้หญิงคนนั้น?” เธอพยายามไขเหตุผล

 

“ผมไม่รู้ ผมอยากกลับไปค้นหา ต้องหย่า อย่าเข้าใจผิดว่าผมยังคงรักใครที่ตายไปแล้ว ผมไม่ได้รัก แต่ผู้หญิงคนนั้นในตอนนี้มีความหมายมากกว่าเมื่อเธอยังมีชีวิต จนผมละอายใจที่จะคิดถึงและติดตามหาร่องรอยเธอทั้งแบบนี้ หย่าเป็นทางเลือกที่ดี ผมกับภรรยาพร้อมยุติชีวิตคู่ลงถาวรมานานแล้ว” เขาอธิบาย

 

เขาไม่ได้ลืมว่าเมื่อแรกสุดนั้นอยากค้นหาเทปเพื่ออะไร เขาอยากปิดตายความรู้สึกและความทรงจำที่มีในเพลง แต่เสียงหัวเราะนั้นเป็นคำตอบที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะพบจากความทรงจำที่อยากลบลืมซึ่งมีอยู่ในเทปม้วนนั้น

 

“ขอบคุณมาก” เขาพูด “ผมก็ไม่ได้เกลียดมะเขือเทศนะ แต่ยังหาวิธีทำให้มันอร่อยไม่ได้”

 

เธอหัวเราะให้เขา

 

“อยากให้คุณมองเห็นอนาคตนะ ผมอยากรู้ว่าควรทำอะไรต่อ” เขายิ้มจางๆ ล้วงมือถือจากกระเป๋ากางเกง ครู่หนึ่งโทรศัพท์เธอก็แจ้งเตือนว่ามียอดเงินเข้าบัญชี

 

เธอหันมองเขาเหมือนจะทักท้วง แต่เขายกมือห้ามไว้

 

“ถือว่าเป็นทิป” เขาบอก ยิ้มเล่นหัว “แต่ขออย่างสิ อย่าวางหนังสือการ์ตูนไว้บนโต๊ะแบบนั้นได้ไหม ผมว่าลูกค้าคงกระอักกระอ่วนที่เห็นคุณแสดงท่าทีแบบ…ตามสบายมากเกินไปอย่างนั้น”

 

เธอยิ้มให้เขา

 

“มันเป็นการประกอบอย่างหนึ่งค่ะ สำคัญมาก” เธออธิบาย “แต่นี่เป็นความลับทางการค้าที่ฉันบอกไม่ได้”

 

เขายักไหล่ เหมือนจะบอกว่า ‘งั้นก็ช่างเถอะ’

 

“ห่อปกไว้ก็แล้วกัน” เขาหาทางออกให้

 

เขาเรียกบริกรมาชำระค่ากาแฟ เธอจิบอำลา ทิ้งคาปูชิโน่ร้อนไว้อีกครึ่งแก้ว แต่เขายังอยู่ที่นั่น คว้าเครื่องเล่นเทปพกพาตัวเดิมที่เคยแบ่งเพลงแก่ใครคนนั้นมากรอฟังเสียงหัวเราะวนซ้ำๆ

 


 

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

Kappasaisai@gmail.com

นักเขียนผู้หลงใหลการลับมีด เจ้าของเรื่องสั้น "ชายชราเบาหวาน" ที่ได้รับรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดประเภทเรื่องสั้น ปี 2555 ปัจจุบันใกล้จะมีนวนิยายของตัวเอง 1 เล่ม กับสำนักพิมพ์ Boligraf Book ยังคงเขียนงานอยู่อย่างต่อเนื่องที่บ้านของตน

Comments

comments

You may also like

Leave a comment

error: