SCHOOL LIFE No.13 – สาวน้อยเวทมนตร์

 

 

ผมตกหลุมรัก

 

เธอเป็นเพื่อนร่วมห้องมาตั้งแต่ม.ต้น เป็นคนที่ใบหน้าและแก้มลงตัวกับผมสั้นๆ แบบทรงนักเรียนหญิงอย่างหมดจด ผมกล้าพูดว่าเธอตัดผมทรงนี้ได้น่ารักที่สุดในทางช้างเผือก

 

แต่เพราะเหมาะเกินไป ใครๆ ถึงพากันล้อเลียนเรื่องนั้น เช่นว่า แย่เลยนะ ถ้าวันหนึ่งยกเลิกทรงนักเรียน คนแบบเธอก็คงเศร้า แม้จะยังตัดทรงนี้ต่อไปก็คงไม่สำคัญเหมือนเก่า

 

ไม่ถึงกับว่าใครจะเกลียดเธอหรอก แค่ไม่ใส่ใจ ไม่มีใครอยากยืนอยู่ใกล้ๆ เธอแล้วรู้สึกว่ากำลังถูกใบหน้ากับทรงผมนั้นบดขยี้ตัวเอง แม้แต่เด็กสาวจิตใจดีที่สุดหรือน่ารักที่สุดของชั้นเรียน

 

วันหนึ่งเด็กสาวจิตใจดีที่สุดคนนั้นก็ตาย

 

อากาศเพิ่งเริ่มหนาว ธันวาคมเป็นช่วงเวลาที่เรามีความสุขเหลือเกิน ปีกำลังจะผลัดเปลี่ยน กลิ่นเทศกาลโชยหอมอ่อนๆ พวกเราเข้าใจว่าเธอป่วย แต่ป่วยอะไรไม่มีใครรู้ เหมือนเป็นทุกข์ใจบางอย่าง ทำนบกั้นก็พังทลาย น้ำตาทะลักไหลตั้งแต่คาบแรกในวันแรก

 

ไม่มีใครบอกได้แม้แต่ตัวเธอเองว่าทำไมถึงร้องไห้ เธอบอกแค่ว่ามันเศร้าเหลือเกิน ทุกๆ อย่างเจ็บปวด แม้แต่ในสัมผัสบนปากกาหรือยางลบ เธอขอกลับบ้าน เพื่อนกลุ่มหนึ่งอาสาไปเฝ้าดูแล แต่เธอไม่ต้องการพบใคร

 

เธอตายในวันที่ 7 นั้น กระซิบกันว่าคราบน้ำตายังเป็นหยดใสซึมดวงตาหลับพริ้มแม้ตอนเจ้าหน้าที่มารับศพเธอไปโรงพยาบาล

 

เธอตายเพราะร้องไห้

 

เพื่อนนักเรียนระดับชั้นม.4 ขอลาครึ่งวันเพื่อเดินทางไปร่วมพิธีศพ ผมยืนมองรูปเธอยิ้มแย้มตั้งหน้าโลง ช่างขัดกับน้ำตาที่เราเห็นหกวันที่ผ่านมา

 

“เป็นไปได้ด้วยเหรอที่ใครสักคนจะร้องไห้จนตาย” ผมถามใครคนนั้นที่แอบรัก

 

เธอยืนเหม่อมองควันเถ้าลอยล่องเหนือปล่องเมรุ ร่างของใครคนหนึ่งที่น่าจะดีกับเธอที่สุดกลายเป็นฝุ่นธุลีในอากาศ

 

“ได้สิ” เธอยืนยัน ยิ้มอย่างไม่รู้ความหมาย อ่อนโยน แต่ก็เจ็บปวด พอใจ และสมใจ

 

เธอแตะมือผมแผ่วเบา บีบคลึง เอ่ยกับผมว่า ‘ขอบใจนะ’

 

ผมเศร้าที่เธอขอบใจแบบนั้น

 

เหมือนเราไม่เข้าใจว่าทำไมคนๆ นั้นถึงต้องตาย ได้แค่เจ็บปวด แต่ก็ขอบใจที่เราต่างนึกถึงความเจ็บปวดนี้

 

ใจชา ผมยืนหลุดลอยอยู่ในภวังค์มองแผ่นหลังเธอห่างจนลับไป

 

แล้วอีกมือหนึ่งก็บีบคลึงซ้ำรอยเดิม

 

“เย็นนี้ไปกินขนมหวานที่ตรอกสระกลางเมืองกันไหม” ใครคนหนึ่งถาม ผมตื่นจากภวังค์เพราะมือเธอ

 

ผมรู้จักเธอ เด็กสาวต่างห้อง ถักเปียเดี่ยวยาวถึงกลางหลัง สวมแว่นโตกรอบดำหนาเตอะ ไม่ค่อยสมาคมกับใคร แต่ยิ้มแย้มเสมอแม้อยู่คนเดียว บางทีเธอก็หัวเราะ กระซิบบางคำกับตัวเอง มีคนแอบซุบซิบขำขันกันว่าความคิดเธอคงจะสนุกเหลือเกิน

 

อย่างตอนนี้เธอก็ยิ้ม แม้ดูฝืน ผมเองก็รู้สึกว่าความดีเล็กๆ ได้ตายไปจากโลกอีกครั้งแล้ว

 

“นั่นร้านป้าฉันเอง” เธอพูด “ฉันอยากคุยเรื่องคนที่ตายแล้ว”

 

รอยยิ้มเธอนั้นไม่เหมาะกับที่นี่เลย ผมหมองใจ อยากกลับบ้านไปอยู่เงียบๆ คนเดียว สงสัยว่าเธอไม่มีเพื่อนคนอื่นหรือไง แล้วแมวของเธอก็เข้ามาคลอเคลียนอนซบรองเท้าผ้าใบผมสบายใจ

 

เรารู้ว่าแมวดำตัวนั้นเป็นของเธอเพราะเชือกควั่นย้อมแดงที่ผูกคอเอาไว้ แมวตามเธอมาโรงเรียนบ่อยๆ บางทีมันก็เข้าไปนอนในห้องเรียน อยู่ๆ ก็เห็น อยู่ๆ ก็หาย แต่ไม่ได้รบกวนใคร ชอบมองหน้าคนอย่างนึกรำคาญ

 

ผมว่าผมจะไปกับเธอ

 

……………..

 

หน้าร้านพอมีลูกค้าบ้าง แต่ก็ไม่มีใครเข้ามาถึงตัวบ้าน เธอพาเรามานั่งเงียบๆ อยู่ซุ้มกระดังงาริมใต้ถุน ที่นี่หลบสายตาพวกเขาได้ ตรงนี้ไม่ใช่ส่วนรับรองลูกค้า

 

เธอปล่อยผมนั่งเล่นเกมมือถืออยู่เงียบๆ บอกว่าจะไปทำขนมหวาน เดินหายขึ้นไปบนบ้าน ครู่หนึ่งแมวเธอก็มานอนอิงท้องกับรองเท้า ยอดนักวิ่งระยะไกล

 

นานเท่าไหร่ไม่รู้ ในที่สุดเธอก็วางขนมหวานลงตรงหน้าสองถ้วย ของผมเป็นน้ำแข็งไสราดน้ำเชื่อมรสเบอร์รี่สีแดงกับเผือกหวานและทับทิมกรอบ ของเธอราดน้ำเชื่อมกลิ่นสับปะรดสีเหลืองกับขนมปังหั่น

 

“คนที่ตายไปก็เป็นคนดีใช้ได้อยู่นะ” เธอเท้าคางเหม่อไปหน้าร้าน

 

“เป็นคนดีมากๆ เลยต่างหาก” ผมแย้ง อยู่ห้องเดียวกับเธอมาตั้งเกือบปีทำไมจะไม่รู้

 

เธอส่ายหน้า

 

“แค่ใช้ได้น่ะ” น้ำเสียงเธอหนักแน่นจริงจัง

 

ผมไม่เข้าใจเธอต้องการอะไร พามานั่งฟังเธอหักหน้าคนตาย?

 

“แต่ก็ไม่สมควรตายหรอกนะ” เธอถอนใจ

 

เบือนตามองผม

 

“นายเองก็ไม่สมควร”

 

ดวงตาเธอแวววาว แววนั้นขับคำว่า ‘ตาย’ ฟังยะเยือก

 

ผมรู้แล้วว่าเธอไม่ได้ชวนมากินขนมหวาน

 

ร่างกายปั่นป่วน ร้อนเหมือนไฟลวกจะลอกเอาเนื้อหนังทิ้ง ท้องไส้คล้ายกรดกัดเปื่อย

 

“ต้องอ้วกออกมานะ” เธอเข้าพยุงตัวผมให้ยืนนิ่งๆ ร่างกายสลับเป็นหนาวสั่น

 

จะถามเธอแต่พูดไม่ออก ควบคุมตัวเองไม่ได้ แม้สติครบถ้วน รู้เจ็บปวดทุกอณู อยากให้เธอฆ่าให้พ้นทรมานเสียตอนนี้เลย

 

“บังคับตัวเองให้คายออกมา” เธอลูบหลัง “ขอโทษที่ใช้วิธีโหดร้ายไปหน่อย ต้องรีบ ถ้าพ้นวันนี้ไปก็ไม่ทัน”

 

“ไม่….ได้” ผมเหมือนจะขาดใจ ควบคุมตัวเองไม่ได้

 

เธอกระซิบอีกครั้ง ฟังเหมือนบทกวี อ่อนโยนราวกับแม่

 

ร้องไห้ แต่ก็ไม่คายอะไรออกมาทั้งนั้น

 

“ดื้อจังนะ” เธอถอนใจ มือประคองหน้าผมหันจ้อง ดวงตาใต้แว่นมุ่งมั่นจริงจัง

 

เธอเขย่งตัวขึ้นจูบผมที่ยืนโซเซ

 

หอม หวาน และอุ่นเหมือนน้ำผึ้งโรยดอกไม้

 

ผมอาเจียนก้อนเหลวชมพู กะพริบตามองในชั่วจะสิ้นสติ มันกลายเป็นเด็กสาวคนหนึ่ง

 

ผมล้มหงายลงนอน แมวดำตัวนั้นขึ้นมาบนอก ดมกลิ่นแล้วก็หันไปมองเธอ

 

“ไม่ตายหรอกน่ะ อุตส่าห์จูบไปแล้วนี่”

 

แมวพูด

 

………………….

 

ความเป็นจริงคือสิ่งที่แม้คุณหยุดเชื่อมันก็ไม่ไปไหน

 

ดังนั้น แม้ด้วยเหตุและผล ก้อนหินจะลอยในอากาศไม่ได้ แต่หากมันลอย มันคือความเป็นจริง

 

ผมเผชิญความเป็นจริง…ว่าเกือบต้องร้องไห้จนตายหากไม่ได้จูบเธอ

 

เธอใช้ไสยศาสตร์หาจ่ายค่าเทอม

 

รวมทั้งมือถือ แล้วก็…ชุดหายากไว้แต่งให้ตัวละครในเกมที่เล่นอยู่

 

งานทำเงินหลักๆ ก็ดูชะตา บางคนก็ดูรายวัน เธอจะตื่นขึ้นมาส่งข้อความบอกคนๆ นั้นแต่เช้าตรู่ว่าวันนี้จะพบอะไร เธอไม่ได้อ่านลายมือหรือรูปลักษณ์กาย แต่ให้ลูกค้าเลือกเพลงที่ชอบ เปิดคลอระหว่างพูดคุยกัน เธอจะค่อยๆ เล่าโชคชะตาของเขาออกมา หลังจากนี้แค่นึกถึงลูกค้าเธอก็รู้แล้ว

 

โชคชะตาในเพลงของ Katy Perry หรือ Imagine Dragons ถ้าเป็นคนเฒ่าคนแก่ก็อาจ ดาว บ้านดอน หรือ ศรเพชร ศรสุพรรณ

 

เธอรับอาชีพนี้มาตั้งแต่เด็ก คนแถวร้านขนมหวานบอกว่า เธอเริ่มทำคุกกี้รักษาไข้ตั้งแต่ 7-8 ขวบแล้ว

 

เธออยู่กับป้า บ้านขนมหวานหลังนั้นเป็นสำนักของเธอ

 

งานทุกอย่างที่เธอทำมีราคา

 

“เพราะงั้นนายต้องจ่ายแพง” เธอบอกเมื่อผมตื่นขึ้นบนเรือนไม้ยกสูงของป้าเธอในกลางดึกคืนนั้น

 

ผมต้องนอนที่นั่น เธอเตือนว่าเสี่ยงเกินไปที่ผมจะกลับบ้าน ต้องอยู่ 3 วันห้ามออกไปไหน เว้นแต่จะมีร้านแผ่นเสียงที่เปิดเพลงตลอดเวลาและยอมให้กินนอนได้ ทั้งๆ ที่บ้านหลังนี้ก็ไม่ได้มีเพลงจากแผ่นเสียงไหน ฟังคล้ายกับ บ้านนี้เป็นยา A ถ้าจะไม่กิน ก็ไม่มีที่อื่น ยกเว้นจะกินยา B (ซึ่งก็ไม่มีที่อื่น)

 

“ขอโทษด้วย” ผมพูดอายๆ จิบชาส้มป่อยรสชาติเหลือรับที่เธอชงให้ เผลอไผลนึกเทียบรสกับจูบเธอ จูบราคาเท่าชีวิต

 

“ช่วยฉันตามหาว่ายัยตัวดีนั่นไปป้ายใครอีก” เธอบอก

 

“ขอโทษนะ ที่ฉันโดนป้ายมันคือยาอะไร?” ผมสงสัย

 

“น้ำตาคนตายน่ะ” เธอบอก ถอดแว่นมาเช็ดเลนส์เหมือนไม่มีอะไรทำ

 

“คนตายร้องไห้?” ผมตาเบิกโพลง

 

“ไม่ ปกติไม่มีหรอก เก็บยาก ต้องไปโรงพยาบาล ปาดเอาน้ำตาคนป่วยที่เจ็บแค้นทุกข์ทรมานใกล้ตายมา วิธีที่ง่ายที่สุด” เธออธิบาย

 

“แล้วทำไมถึงเป็นฉัน” ผมยังไม่เข้าใจเรื่องนี้เลย แต่คิดว่าเธอคงรู้จนปรุโปร่ง

 

“เพราะแอบรักเขารึไง เลยคิดว่าจะไม่ถูกฆ่า” เธอยิ้มหวานเหมือนเยาะเย้ย

 

อกผมปวดแปลบ

 

“ก็ถ้าเธอรู้ได้ขนาดนี้มันก็ไม่ยากไม่ใช่รึไงที่จะตามหาว่าใครบ้างที่หล่อนไปวางยาไว้” ผมหงุดหงิด

 

“ฉันทำ นายก็ไม่ได้จ่ายค่าจ้างน่ะสิ” เธอมองหน้าตึง

 

“แล้วงานที่เธอจะทำต่อไปจากนี้ใครจะจ่ายล่ะ ถ้ามีคนถูกป้ายเข้าอีก” ผมทักท้วง นึกถึงว่าเธออาจต้องจูบกับใครอีกนับไม่ถ้วนหากชักช้าจะไม่ทันกาล

 

“ก็นายไง” เธอตอบซื่อๆ

 

ยอดเยี่ยม

 

“แต่ก่อนอื่นก็ต้องพานายไปตัดแว่นก่อน” เธอยิ้มเหมือนสนุกขึ้นมาอีก

 

ตัดแว่น?

 

“มองแมวสิ”

 

ผมหันไปมองแมว

 

ไม่ใช่แมว แต่เป็นเงารูปทรงแมวดำที่ดำยิ่งกว่าความมืด เงานั้นดูดกลืนทุกแสง มีเพียงด้ายควั่นสีแดงบอกว่านั่นคือแมวที่ผมเคยเห็น

 

“รู้จักแมวคราวไหม?” เธอถาม

 

ผมส่ายหน้า

 

“แมวโพง ผีแมว แล้วแต่จะเรียก ไม่ได้มีวิญญาณเป็นสัตว์ เป็นปีศาจ แต่มีร่างแมวเพราะสะดวกใช้ใกล้ชิดมนุษย์ อำพรางเป็นแมวกันเป็นนิสัยของเผ่าพันธุ์”

 

เธอยื่นแว่นให้ บอกว่า ‘ใส่สิ’

 

ผมรับมา มันเป็นแว่นสายตา ภาพพร่ามัวไปหมด แต่แมวกลับเป็นแมวอีกครั้ง ไม่ใช่แค่เงามืด

 

“นายกลับเป็นคนเดิมไม่ได้แล้วล่ะ” เธอพูดเศร้าๆ ยิ้มๆ “คนธรรมดาอย่างนายจะใช้ชีวิตยากเกินไปถ้าไม่มีแว่น” เธอเอื้อมมือมาดึงแว่นกลับไปสวม

 

“มันก็ปิดบังทุกอย่างไม่ได้หรอก ฉันถึงใส่แว่นแต่ก็รับรู้ผ่านสัมผัสอื่นได้ กลิ่น เสียง ความรู้สึก นายเองก็คงจะเหมือนกัน แต่มองไม่เห็นก็ช่วยได้เยอะแล้วล่ะ” เธออธิบายเพิ่ม

 

“จริงรึเปล่าถ้าแก้ของได้จะย้อนคืนคนทำ?” ผมนึกถึงตรรกะบางเรื่องที่เคยได้ฟัง

 

เธอพยักหน้าใสซื่อ

 

“เพราะงั้นถ้าจะสารภาพรักกับยัยนั่นก็รีบๆ ซะล่ะ อีก 7 วันก็คงตายแล้ว”

 

………………….

 

ผมมีเวลาแค่ 4 วัน เพื่อจะถามว่าเกิดอะไรขึ้นหลังออกจากบ้านสาวน้อยเวทย์มนตร์

 

เด็กสาวที่น่ารักที่สุดในระดับชั้นตายไปอีกคน

 

เธอก็คงถูกป้ายน้ำตาพร้อมผมในวันเผา

 

“เป็นไงบ้าง” สาวน้อยเวทมนตร์ถาม เรานั่งกินน้ำแข็งไสอยู่ซุ้มกระดังงาริมใต้ถุน ครั้งนี้เป็นน้ำแข็งไสจริงๆ

 

ผมยื่นโทรศัพท์มือถือให้เธอ ในนั้นมีบันทึกเสียงสนทนาระหว่างผมและเด็กสาวนักป้ายน้ำตา

 

“ถ้าจะฟัง ก็ใส่หูฟัง” ผมบอก ขะมักเขม้นกินน้ำแข็งไสของตัวเอง ผมไม่อยากร่วมรับรู้เรื่องที่ผ่านมาอีก

 

ไม่ชินแว่นตานี่เลย ตักอะไรเข้าปากแล้วเหมือนช้อนจะชนแว่น แต่ก็ต้องใส่ ไปวัดสายตาตัดแว่นถึงได้รู้ว่าผมตาสั้นเล็กน้อยและสองข้างสั้นไม่เท่ากัน พอได้แว่นแล้วเธอก็เอาไปทำพิธี

 

ให้แมวกกนอน 1 คืน ยังมีขนกับน้ำลายเปรอะเลนส์ตอนคืนมา

 

แน่นอนว่าเธอคิดค่าใช้จ่ายด้วย

 

ผมใช้เวลาเกือบ 2 วันเพื่อจะเข้าไปเยี่ยมเด็กสาวป้ายน้ำตา พ่อและแม่เธอท่าทางอิดโรยโศกเศร้า ผมมองดูพวกเขา กลิ่นธูปฝังแน่นในเสื้อผ้า พวกเขาคงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น และรู้ว่าสายไปแล้ว ผมบอกว่าเป็นเพื่อนร่วมห้อง มาด้วยความหวังดี แต่ฐานะนั้นถูกปฏิเสธ คงไม่อยากให้เห็นลูกสาวเธอแล้วเอาไปโพนทะนา

 

สุดท้ายผมก็บอกว่า ‘ผมคือคนที่เธอจะฆ่า’

 

ง่ายดายอะไรอย่างนั้น พวกเขาทรุดลงร้องไห้ ปล่อยผมเดินผ่านเข้าไป

 

“ขอร้องล่ะ ให้อภัยได้ไหม แม่ขอร้องล่ะนะ” เสียงสะอื้นรั้งผมไว้

 

ผมไม่ได้ตอบ

 

เธอนอนอยู่บนเตียง มีผ้าสีแดงผูกตาเอาไว้ ด้ายควั่นแดงขึงมัดแขนขา ผมนึกว่าเธอจะร้องไห้อยู่เสียอีก นี่เป็นวิธีหยุดไม่ให้เธอร้องไห้งั้นหรือ? แล้วมันจะหยุดความตายของเธอไหม?

 

เธอสะบัดหน้ามองทั้งที่ถูกผูกตา ถามว่าใคร

 

ผมบอกว่าเคยรักเธอ

 

เธอนิ่งเหมือนงุนงงไม่เข้าใจ

 

ผมจึงบอกว่า ผมคือคนที่ทำให้เธอจะต้องตาย

 

“งี้นี่เอง” เธอตอบเสียงสงบ

 

งี้นี่เอง? ได้ยินแล้วรำคาญจนอยากกระโจนบีบคอเธอตรงนี้เลย

 

“ทุกคนสมควรตาย” เธอพูด น้ำเสียงเรียบเรื่อยไม่ทุกข์ร้อน “ทุกคนบนโลก”

 

“ทำไม” ผมถามเย็นชา

 

เธอไม่ขยับปากพูด

 

“จะตายแล้วก็บอกเรื่องที่ต้องบอกเถอะ โลกนี้ไม่มีเหลือให้เธอแล้ว” ผมพยายามข่มความรู้สึก

 

“เสียใจที่นายไม่ตาย” เธอพูด

 

ผมไม่ใช่คนที่เธอสุ่มฆ่า เธอจงใจ แต่เรื่องนี้มันจบหรือยังก็จนกว่าเธอจะบอก

 

“คนรักฉันคือครูสอนคณิตศาสตร์” ในที่สุดเธอก็ยอมเล่า “เขาเป็นพี่ชายข้างบ้านที่เอ็นดูฉันเหลือเกินในวัยเด็ก เรียนจบก็กลับมาบรรจุที่โรงเรียน ฉันรู้ว่าต้องรักแล้วล่ะ ตอนที่ยังมีความฝัน ฉันไม่อยากโตไปกว่านี้ เราแค่จูบกันในห้องสมุดเท่านั้นเอง”

 

กระจ่างแจ้ง

 

ผมรู้มาว่าเด็กสาวแสนดีพยายามจะทำอะไรบางอย่างแบบที่เรียกว่า ‘คืนคนดีให้สังคม’

 

เคยได้ยินเธอพูดว่า ‘ฉันอยากให้ทุกคนเป็นคนดี’ จะทำได้ก็ต้องรู้ทุกความเลว เธอจึงเป็นคนที่รู้ทุกความเลวของใครอื่น ไม่ว่าจะได้รู้เองหรือใครคาบบอก เธอคงใช้เรื่องในห้องสมุดข่มขู่ให้กลับตัวกลับใจหรืออะไรทำนองนั้น คนในห้องเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรบางอย่างขึ้นก็ตอนที่ครูสอนคณิตศาสตร์ขอเปลี่ยนตัวไม่มาสอนห้องเราอีก ในความมืนงง เด็กสาวแสนสวยก็โพล่งขึ้นมาว่า ‘ใครอยากรู้มาคุยกับฉันสิ’

 

แต่ความอยากรู้นั้นมีราคา ทุกคนต้องจ่ายให้เธอเป็นอะไรบางอย่าง ไม่มีใครยอมจ่าย

 

วันหนึ่งผมถามเด็กสาวผู้กำลังจะตายตรงหน้านี้ ถามอย่างชวนคุยเหมือนคนแอบรักว่า ‘รู้ไหมเกิดอะไรขึ้น’

 

เธอเอ่ยอย่างขุ่นๆ ว่า อยากรู้ก็เอาเงินมาสิ ฉันจะไปถามให้

 

ผมให้ทั้งหมดที่มีในตอนนั้น ไม่ได้คิดอะไรเลย แค่อยากจะอยู่กับเธอก็เท่านั้น เงินนั่นก็เล็กน้อยไร้ค่า ผมแค่นึกสนุกเทมันลงบนโต๊ะ

 

เธอถามกลับว่าทำไมถึงอยากรู้

 

ผมจึงบอกว่า ก็สนุกออกไม่ใช่รึไงที่ได้รู้ มันจะเรื่องอะไรก็ตาม แต่ถ้ามีราคามันต้องสนุกแน่ๆ

 

นั่นเป็นที่มาความตายของผม

 

ยังมีความแค้นที่เธอทิ้งไว้ เพียงแต่คนอื่นที่ต้องตายนั้นไม่สำคัญ

 

………………..

 

“เด็กนั่นเคยเป็นลูกค้าฉัน” สาวน้อยเวทมนตร์เล่า เธอพาผมมางัดห้องสมุดคืนนั้น

 

“บทกวีที่เก่าที่สุดในโลก” เธอพูดระหว่างสาดไฟฉายไปตามชั้นหนังสือ คล้ายสำรวจถ้ำก่อนจะเดินเข้าไป ผมเป็นมนุษย์ที่ไม่เข้าห้องสมุด เธอเองก็เหมือนกัน

 

รู้สึกชัดเจนว่าในห้องสมุดตอนนี้เราไม่ได้อยู่คนเดียว ไม่ได้หมายถึงแมวเธอที่นั่งเฝ้าอยู่หน้าประตู พอถอดแว่นก็จับได้ เป็นหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอ่านหนังสืออยู่บนชั้น

 

ที่ส่วนของตำราเตรียมสอบ สิ่งที่เราตามหาแผ่กลิ่นของมันออกมา กลิ่นนั้นช่างแสนเศร้า

 

“เห็นแล้วสินะ คนเฝ้าห้องสมุด” เธอพูดยิ้มๆ “หล่อนเฝ้าที่นี่มานานแล้วล่ะ ตายเพราะคำสาปของครูบาอาจารย์โง่ๆ ที่แช่งชักลูกศิษย์ที่ไม่ยอมคืนหนังสือที่ยืมไป จริงๆ คำสาปมันไร้สาระจะตาย แต่หล่อนอยู่ในชะตาร้าย อ่อนแอจนปกป้องตัวเองไม่ได้แม้แต่คำสาปโง่ๆ นั่น หล่อนถึงต้องมาเฝ้าที่นี่”

 

“เมื่อกี้พูดถึงบทกวีที่เก่าที่สุดในโลก” ผมเอ่ย หันไปมองดูคนเฝ้าห้องสมุด เหมือนรู้ว่าผมจ้องเธอก็ชูปกให้ดู

 

‘ผู้ไม่สังคมโลก’ รวมเรื่องสั้นสยองขวัญของเหม เวชกร

 

“อ้อใช่” เธอค้นไปตามชั้นตำราเตรียมสอบ พลิกไล่ดูที่คิดว่าเป็นเล่มที่ตามหา มันก็คล้ายๆ หนูหายอยู่ในห้อง รู้ว่ากลิ่นเข้มข้นตรงไหน แต่พอค้นก็ไม่เห็น ต้องคุ้ยนานกว่าจะเจอ

 

“บทกวีประกอบพิธีร่วมรักศักดิ์สิทธิ์ประจำปีระหว่างกษัตริน์สุเมเรียนกับหัวหน้านักบวชหญิง” เธอเกริ่น “เทพเจ้าผู้มอบความอุดมสมบูรณ์แห่งผืนดินก็เป็นเทพเจ้าแห่งรักและตัณหา ความอุดมสมบูรณ์ น้ำรัก ลูกเต็มบ้านหลานเต็มเมือง ทำนองนั้น ฉันก็เลยเอามาทำเป็นคาถา”

 

“ยังไง?” ผมสงสัย ลองคาดเดาว่าถ้าตัวเองจะเอาน้ำตาป้ายตำราไว้ควรจะเป็นระยะระดับสายตา อยู่ตู้แรก และเล่มที่ใหม่ที่สุด แต่พอค้นตรงนั้นแล้วก็ไม่พบอะไร

 

“คาถาใช้เฉพาะที่น่ะ” เธอหัวเราะ “แต่ฉันจะต้องอนุญาตให้ซะก่อน เอาไปท่องเองก็ไร้ความหมาย นายต้องท่องที่ห้องสมุดนี้ ให้คนเฝ้าได้ยิน หล่อนจะช่วยส่งเสริมให้เกิดความรักขึ้น ดีไปกว่านั้นนายอาจจะทำอะไรกันที่นี่ก็ได้นะ ถ้าหล่อนพอใจมากๆ ก็ต้องติดสินบนกันหน่อย แบบ หนังสืออย่างว่าที่ถูกใจหญิงสาว หล่อนติดสนใจใคร่รู้เรื่องแบบนั้น ฉันจับได้ตั้งแต่เจอ”

 

“เธอไม่ได้รู้สินะว่าใครที่ยายนั่นจะพามาพลอดรักที่นี่” ผมถาม

 

“ฉันรู้สิ” เธอบอก “ฉันไม่ได้รังเกียจความรักแบบนั้นนะ”

 

อยู่ๆ ก็ได้ยินเสียงมาจากหน้าห้องว่า ‘อยากรู้ไหมเล่มไหน’

 

“ถ้ารู้ก็น่าจะบอกกันฟรีๆ นี่ เรื่องสำคัญนะ” ผมตอบกลับไป

 

“สำคัญยังไง มันไม่สำคัญอะไรทั้งนั้น ความตายของคนอื่น ถึงช่วยชีวิตกันไว้หล่อนก็ไม่หลุดไปจากคำสาปนี้หรอก คนที่จะไถ่ถอนได้น่ะตายไปนานแล้ว สำหรับหล่อนเรามีค่าน้อยกว่าหนังสือสักเล่มที่อยู่ที่นี่อีก เราเป็นใครในชีวิตหล่อนกัน” สาวน้อยเวทมนตร์ตอบกลับ น้ำเสียงเธอจริงจังจนผมสะอึก

 

“นายนี่ไม่เข้าใจอะไรเลยนะ” เธอหันมอง

 

“แต่เธอก็ช่วยฉัน” ผมแย้ง

 

เธอไม่ตอบ หันกลับไปค้นหนังสือต่อ

 

ได้ยินเสียงย้ำอีกว่า ‘อยากรู้ไหมเล่มไหน’

 

“จะเอาอะไรล่ะ” ผมถาม

 

อยู่ๆ แมวตัวนั้นก็เดินเข้ามาในห้องสมุด นั่งลงตรงหน้าคนเฝ้า พูดกับผมว่า ‘ระวังเขาจะขอเอาแกไป’

 

ผมสะดุ้งยะเยือก

 

“กฎ” สาวน้อยเวทมนตร์พูด “เราต้องเสนอให้ ไม่ใช่ถามแบบนั้น เราต้องควบคุมสัญญา ถ้าเขาไม่เอา ก็เสนออะไรที่เราคิดว่าหาให้ได้ไปเรื่อยๆ เพราะเมื่อไหร่ที่เขาตกลง สัญญาก็บังเกิด สัญญามีอำนาจในตัวมัน ถ้าสัญญานั้นมีอำนาจมากพอ ก็มีแต่เทพเจ้าเท่านั้นที่ถอดถอนได้”

 

“นายต้องจ่ายค่าจ้างแมวฉันแล้วล่ะ” เธอบอกยิ้มๆ “ถ้ามันไม่สอด ฉันไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นนะ นายคิดว่าคนเฝ้าห้องสมุดเป็นคนดีรึไง คนที่ต้องตายเพราะคำสาปแบบนั้นน่ะจะดีได้เท่าไหร่กัน”

 

“จ่ายเป็นอาหารแมวสำเร็จรูปได้ไหม” ผมเสนอ

 

“ไม่เอา” มันตอบกลับ

 

ผมเสนอไปอีกสิบกว่าอย่าง ไม่มีอะไรที่แมวตกลงด้วยเลย

 

“งั้นยอมเกาท้องให้วันละชั่วโมงจนกว่าจะเรียนจบ” ผมหงุดหงิดเสนอส่งเดช

 

“สัญญาแล้วนะ” แมวเอ่ย

 

“ทาสแมว” เธอหัวเราะคิกคัก มือยังพลิกค้นตำราหาคราบน้ำตาไม่หยุด

 

“แล้วยังไง” ผมไม่เข้าใจ

 

“จะมีอะไรดีไปกว่าตนเองมีทาสรับใช้ล่ะ สัมผัสทำให้ผูกพัน วันนี้เกาท้องให้ วันหน้าก็คงจะพาไปเดินเล่น วันโน้นก็ซื้อของดีๆ ให้อีก” เธออธิบาย

 

ได้ยินเสียงคนเฝ้าห้องดังมาอีกว่า ‘หาเท่าไหร่ก็ไม่เจอหรอก’

 

“จะไม่เจอได้ไง ถ้ากลิ่นอยู่ตรงนี้” ผมแย้ง ได้ยินเสียงหัวเราะคิกคักย้อนใส่

 

“จะซื้อหนังสือลามกให้” ผมยื่นข้อเสนอ “ถ้ามีเงินจะซื้อให้เดือนละเล่มนาน 1 ปี พอใจรึยัง”

 

“ไม่พอ” หล่อนเอ่ย

 

“จะเอาอะไรอีกล่ะ หนังสือรางวัลวรรณกรรมด้วยรึไง” ผมหงุดหงิด

 

มีเสียงตอบกลับมาว่า ‘สัญญาแล้วนะ’

 

ผมรู้สึกเสียเปรียบหนัก

 

“ท่าทางนายต้องเรียนรู้วิธีร่างสัญญาอีกเยอะ” สาวน้อยเวทมนตร์เอ่ยเหนื่อยหน่าย “แล้วตกลงเล่มไหน”

 

“ไม่ใช่ตำราเรียน” หล่อนบอก “มันเป็นหนังสือลามกสี่เล่มที่ซ่อนอยู่ในซอกระหว่างผนังกับชั้นหนังสือ เด็กคนแรกที่ตายก็เพราะเปิดเล่มนึงอ่าน”

 

…………………..

 

คนทั้งโลกสมควรตาย

 

แต่โลกนั้นไม่ได้หมายถึงโลกในภาพที่คนทั่วไปเข้าใจ หากคือโลกของคนสอดรู้ โลกของคนที่คิดว่าตัวเองเป็นคนดี

 

เด็กสาวแสนดีตายเพราะเรื่องลามกที่ตัวเองโปรดปราน

 

หากใครโปรดปรานสิ่งต้องห้ามก็ต้องตายไปด้วย หล่อนก็คงคิดแบบนั้นตอนวางกลอุบายป้ายน้ำตา

 

ถึงแห้งเกรอะกระดาษแต่ก็ยังเป็นคำสาป

 

อาจมีไม่กี่คนที่ต้องตาย รวมถึงคนที่ไม่ได้สนใจของแบบนั้นแต่เพียงแค่เปิดอ่านเพราะอยากรู้อยากเห็น

 

“ใครๆ ก็ชอบเรื่องต้องห้าม” สาวน้อยเวทย์มนตร์เอ่ย “มันไม่ใช่แค่หนังสือลามกหรอก การ์ตูนหรือนิตยสารของเล่นก็มีซ่อนไว้ในห้องสมุด แค่หาให้เจอ”

 

เราทำพิธีเผาหนังสือทั้งสี่เล่มที่บ้านขนมหวาน

 

“แย่จัง ฉันชอบเล่มนึงในนั้นนะ พอต้องมาเผามันแล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคุณครูแสนดีเลย” ถึงพูดแบบนั้นแต่เธอก็ดูโล่งใจที่เรื่องจบไปเสียดี

 

“ถามหน่อยสิ เธอมาเป็นสาวน้อยเวทมนตร์ได้ยังไง” ผมนั่งเกาท้องแมวผีที่นอนอยู่บนตัก มันรบเร้าจะเอาสัญญาตั้งแต่วันนี้เลย

 

“ย่ามีวิญญาณกำลังจะเป็นพราย” เธอพูดง่ายดายเหมือนเป็นเรื่องตลก

 

“ย่าบอกให้ฉันเรียนฆ่าย่าเมื่อตอน 4 ขวบ ฉันก็ต้องทำ ต้องเรียนวิชากับย่าในตอนที่แกยังปกติดีอยู่ ฉันมีสายเลือดของคนที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้ตั้งแต่เด็ก หัดขับลำนำกับย่าอยู่ตั้งหลายปี ในช่วงหลังๆ ฉันต้องหนีไปเรียนเองอยู่เงียบๆ เพราะย่ากำลังกลายเป็นคนอื่นไปแล้ว แกเที่ยวตามหาขัดขวาง แต่ก็ไม่สำเร็จ พอ 7 ขวบฉันอ่านพระจันทร์วันหนึ่งแล้วก็เดินเข้าไปร้องลำนำนั่นให้ย่าฟัง ย่าก็สิ้นใจ”

 

เธอลุกขึ้นยืน ล้างมือแล้วออกไปเดินเล่นที่สระกลางเมือง เหมือนแค่อยากชวนหาอะไรทำแก้หน่ายในคืนอันวุ่นวายนั้น

 

“งั้นฉันก็หมดหนี้แล้วสิ” ผมถาม

 

“คิดว่าราคาเท่าไหร่กันจะหมดง่ายแค่นี้” เธอหัวเราะ

 

“จะให้ทุกคนที่ช่วยชีวิตไว้จ่ายด้วยราคาเท่าชีวิตหรือไง” ผมเหน็ดหน่าย รู้ว่าเธอมีคุณต่อผม แต่การขูดรีดเอามันก็ไม่ใช่

 

เธอไม่ตอบ

 

“จะให้ทุกคนที่เธอจูบจ่ายด้วยชีวิตงั้นเหรอ” ผมไม่ยอมปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆ

 

“ฉันไม่เคยจูบใคร” เธอตอบกลับฉับพลัน “แล้วก็จะไม่จูบใครอีก”

 

เธอหันมามอง ดวงตาใต้แว่นนั้นซื่อตรงจนผมกลัว

 

“ในเมื่อเป็นบุพเพสันนิวาสก็ต้องช่วยชีวิต” เธอบอก

 

ผมมองอย่างไม่เข้าใจ

 

“จะพูดยังไงดีล่ะ ก็ไม่ได้ชอบนายถึงขนาดนั้นหรอกนะ” เธอหัวเราะ หันหลังเดินเลียบสระไกลออกไป

 

“วันนึงมีเด็กที่แอบชอบนายมาคุยเรื่องนายให้ฟัง อยากขอบทกวีที่เก่าที่สุดในโลก ฉันถึงได้รู้” เธอหยุดเดิน

 

“ที่คนนั้นย้ายโรงเรียนไปก็เพราะเธอเองเหรอ” ผมนึกถึงว่าอยู่ๆ เด็กม.ต้นคนนั้นก็ย้ายเรียน ชีวิตกลับสงบขึ้นอีกครั้ง ไม่มีข้อความส่งเข้ามือถือมากวนใจอีก ไม่ต้องคอยหลบลี้หนีหน้า

 

“อย่ามองฉันร้ายนักสิ” เธอหัวเราะร่าเริง “ฉันเสนอแก้ไขชะตาให้เชียวนะ แต่แลกกับเด็กนั่นต้องย้ายไปเรียนที่อื่น ว่าที่นักธุรกิจอัญมณีสาวเลยนะชะตาใหม่”

 

รู้สึกเหมือนอยากจะกระโดดลงน้ำหนีหายลงไปตรงนั้น ร้อนผ่าวไปทั้งตัว

 

เธอค่อยๆ เดินย้อนกลับมาหา เชื่องช้าแต่เจ้าเล่ห์เหมือนแมวป่า

 

“ที่นี้รู้รึยังว่าราคาที่นายต้องจ่ายคืออะไร” เธอถาม สงสัยเหลือเกินว่าเธอเอาความกล้าหาญจากนั้นมาจากไหนกันนะ

 

“รังเกียจที่ต้องจ่ายหรือไง?” เธอเอียงคอจ้องหยอกเย้า

 

“ไม่เคยพูดแบบนั้นเลย” ผมเบือนหนี “อย่าบอกนะว่า… เธอตามดูฉันตลอดว่าจะเกิดเรื่องอะไรกับฉันรึเปล่า ไม่ใช่ว่าที่ให้ฉันไปทำโน่นทำนี่ก็เพื่อจะได้มีเวลาอยู่ด้วยกัน?”

 

ทุกอย่างดูลงรอย ถ้าเธอรู้จักผมก่อนจะพบกัน ก็แปลว่าเธอต้องรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น แมวนั่นเป็นหูเป็นตาให้เธอมาตลอด

 

จริงๆ เธอคงห้ามไม่ให้ผมถูกป้ายยาได้ แต่จะมีประโยชน์อะไรในเมื่อรู้ว่าช่วยชีวิตผมได้ ก็ปล่อยให้มันเกิดสิ ให้ผมมองเห็นโลกใบเดียวกัน โลกที่คนอื่นไม่เข้าใจ

 

นี่เธอรู้มานานแค่ไหนนะว่าวันหนึ่งเราจะจูบกัน จูบรสหวานๆ นั้นไม่ใช่ว่าเธอดูแลริมฝีปากตัวเองไว้ก่อน?

 

เธอหัวเราะคิก หันขวาเดินกลับเข้าบ้าน

 

“ขอต้อนรับสู่โลกใบใหม่นะ” เธอเอ่ย ปิดประตูลง

 


 

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

Kappasaisai@gmail.com

นักเขียนผู้หลงใหลการลับมีด เจ้าของเรื่องสั้น "ชายชราเบาหวาน" ที่ได้รับรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดประเภทเรื่องสั้น ปี 2555 ปัจจุบันใกล้จะมีนวนิยายของตัวเอง 1 เล่ม กับสำนักพิมพ์ Boligraf Book ยังคงเขียนงานอยู่อย่างต่อเนื่องที่บ้านของตน

Comments

comments

You may also like

Leave a comment

error: