Slice of life No.3 – นักลับมีด

 

นักลับมีด

 

เงินเก็บสะสมตั้งแต่ฉันจำความ

 

อันที่จริง เงินสะสมเหล่านั้นคือเงินรางวัลตลอดชีวิตที่ผ่านมา ฉันยังรับรู้ถึงความหวังเก่าแก่เคลือบอาบทุกเหรียญทุกธนบัตร

 

ทำให้พ่อและแม่รู้สึกว่าตนเองมีค่าและมีหวัง ได้เรียนในคณะที่ตัวเองวาดไว้ ส่วนพวกเขาก็พอใจที่บอกใครต่อใครได้ว่าลูกสาวกำลังทำสิ่งสำคัญ

 

เงินก้อนนั้น ฉันใช้ซื้อคลังหนังสือการ์ตูนจากร้านเก่าที่ประกาศขายต่อ

 

ไม่มีคำตอบให้ตัวเอง ฉันติดแน่นในความทรงจำว่าฉันคล้ายใช้ชีวิตอยู่ในร้านเช่าการ์ตูนมาตลอด

 

ฉันวางมัดจำเช่าอาคารที่ตั้งร้านเก่า ยังใช้ชื่อเดิมแม้เจ้าของเปลี่ยนหน้าไปเรื่อย ฉันเป็นคนที่ 5 นับจากเจ้าของดั้งเดิมประกาศให้เช่าต่อ (แต่ขายหนังสือการ์ตูนทั้งหมดให้ผู้เช่าใช้เปิดร้าน) เขาย้ายออก เปลี่ยนตึกคูหาเป็นร้านเช่าการ์ตูนและหอพักเล็กๆ

 

อาคารนั้นมี 4 ชั้น ชั้นล่างเป็นร้านเช่าการ์ตูน ชั้น 2 เป็นส่วนครัว ห้องน้ำ และห้องฉัน ชั้น 3 เป็นห้องน้ำ ห้องนอนนักเรียนป.โทชาย กับหนุ่มนักดนตรีกลางคืนอีกคน

 

ชั้น 4 ค่าเช่าถูกที่สุด ทั้งชั้นเป็นฝ้ากักอากาศร้อน มี 2 ห้องนอน แต่มีผู้เช่าเพียงคนเดียวห้องเดียว เขาเป็นนักลับมีด

 

ครั้งแรกที่เราพบกัน ฉันเปิดประตูแบกลังข้าวของจากรถขนเข้ามาในร้าน กระดิ่งประตูทำให้เขาหยุดมือ เสียงลับมีด ฉันรู้ได้ ฉันมองประตูหลังร้าน เขาโผล่มาในชุดเอี้ยมผ้าสีน้ำเงิน ถามฉันว่าเป็นเจ้าของร้านคนใหม่เหรอ? ฉันพยักหน้า

 

ถามเขากลับว่า ‘ลับมีดอยู่เหรอ’ เขาคงทำครัว แต่เขายิ้ม… เศร้าเหมือนไม่รู้จะอธิบายตัวเองยังไง

 

รู้จักรอยยิ้มนั้น ฉันรู้สึกเสียใจจนอยากหันหลังกลับแล้วไม่มาที่นี่อีกเลย

 

ฉันอยากรู้จักเขา แต่เมื่อระลึกถึงรอยยิ้มเมื่อครู่ของเขาแล้วก็กดริมฝีปากสนิทแน่น

 

“มีข้อแม้เดียว ผมไม่ลับมีดที่จะทำให้ใครสักคนตาย” เขาบอก ดวงตาไม่โกหก

 

……………….

 

เขาช่วยฉันขนข้าวของและจัดร้านที่ร้างไปราวเดือน เขามีฝีมือเรียงการ์ตูนเข้าชั้น เชี่ยวชาญเหมือนนี่เป็นงานอันคุ้นเคย ฉันเทียบไม่ได้

 

“ผมอยู่ที่นี่มาสี่ปีแล้ว” เขาอุ้มการ์ตูนเรียงเข้าชั้น ไล่ตามหมวดที่ฉันแบ่งใหม่

 

คนที่อาวุโสสุดเป็นนักเรียนหนุ่มป.โท รองลงมาก็เป็นเขา ฉัน และมือกีตาร์

 

30 28 22 20 ตัวเลขอายุเราเรียงกันแบบนี้ ฉันเพิ่งจบมหาวิทยาลัย

 

ตกเย็นวันหนึ่งเราทำเนื้อย่างกินกัน นักเรียนป.โทยังไม่กลับมา เขามักจะสิงสู่หอสมุดสักแห่งจนรถเที่ยวสุดท้าย มือกีตาร์อาบน้ำแต่งตัวไปไนต์บาร์ตั้งแต่บ่ายแก่แล้ว เหลือแค่ 2 คนอยู่ฉลองที่ลานซักล้างหลังร้านชั้นหนึ่ง

 

เขาทำงานที่นั่น ลานหินคลุกล้อมด้วยกำแพงอิฐ

 

ก้อนหินเรียงรายแน่นขนัดเต็มชั้นเหล็กชิดกำแพงฝั่งหนึ่ง เป็นร้อยก้อน ไม่นับหินดิบที่กองไว้รอตัดเจียน

 

วันนั้นเป็นครั้งแรกที่ใช้มีดเขาทำครัว หนึ่งในมีดดีที่สุดที่เขามี ‘ยานากิบะ’ ถ้าฉันจำไม่พลาด

 

แรกจับ ความยาวของมันทำฉันดูโง่ แต่พอได้ลองปาดเนื้อเรียบลื่นก็สงบผ่อนคลาย ไม่เคยเฉือนสิ่งของแล้วพึงพอใจแบบนี้มาก่อน แค่วางแล้วลากผ่านเนื้อวัวก็ขาดหมดจด แต่เขากลับบอกว่า นั่นคมปกติดาษดื่น

 

ฉันถามว่าแล้วพิเศษสุดเป็นอย่างไร เขายิ้ม บอกว่าเป็นคมไร้ความหมาย ยากจะพบใครต้องการความหมายนั้น

 

 

“คุณต้องใช้หินมากขนาดนี้เหรอ เพื่อจะลับมีดสักเล่ม” ฉันถาม คีบเนื้อวัวสันคอเข้าปาก

 

“ไม่” เขาตอบยิ้มๆ มันต่างจากรอยยิ้มแรกที่ฉันพบสิ้นเชิง

 

“ก้อนนี้เหมาะกับคุณ” เขาเอื้อมไปหยิบหินลับมีดเนื้อหยาบสีเทาทึมทึบหาได้ตามท้องตลาดก้อนหนึ่งจากชั้นด้านหลัง

 

“สมัย ม.ปลาย ผมเคยลับมีดให้งานบวชพี่ชายเพื่อน” เขาจิบไวท์ลาเกอร์เยอรมันฟ่องฟองครีม

 

“ยังเป็นเด็กขี้โอ่ จริงๆ ถึงแก่แล้วใครๆ ก็มีเรื่องขี้โอ่ ผมลับมีดสามหิน จบด้วยหินสุดท้ายที่ดีที่สุด สะบัดหนัง วันนั้นใครอยากโกนหนวดเคราผมจะหยิบมีดราคาข้าวแกงที่เพิ่งลับเสร็จหมาดๆ ให้ ผลลัพธ์คือแม่ครัวถูกมีดบาดเจ็กคน สองคนเสียปลายนิ้วไปตลอดกาล อีกหนึ่งคนเป็นเบาหวาน โชคดีที่ไม่ถึงกับต้องตัดนิ้ว แผลสมานเองได้ หลังจากนั้นผมไม่เคยลับมีดให้คนทั่วไปเกินกว่าหินที่วางบนโต๊ะนี้อีกเลย และระมัดระวังลับอย่างขอไปที”

 

“แต่มันไม่ใช่ความผิดคุณสักหน่อย” ฉันประท้วง จิบเบียร์ดำญี่ปุ่นของตัวเอง

 

“ใช่” เขาบอก ก้มมองเนื้อในกระทะย่าง “ไม่ว่ามองในมุมไหน ผมก็ไม่ผิด แต่ผมคิด แล้วมันก็สมเหตุสมผล ว่าผมหยุดอันตรายนี้ได้”

 

เขามองฉัน ดวงตาจริงจัง

 

“ไม่มีใครเคยใช้คมระดับนั้น” เขาอธิบาย “น้ำหนักมือยังเคยชินมีดทื่อมะลื่อที่ใช้ซ้ำๆ ทุกวันทุกมื้อ จังหวะทำครัวพวกเขาไม่เปลี่ยน แต่คมมีดเปลี่ยนสิ้นเชิง ถ้าสร้างคมมีดที่พวกเขายังคุ้นเคย ผมก็รักษาปลายนิ้วพวกเขาไว้ได้”

 

“ถ้างั้นคุณมีหินขนาดนี้ไว้ทำไม” ฉันขมวดคิ้ว

 

“มีคนที่ควบคุมมีดได้ฉมัง เขาอยากได้มีดทำครัวผ่าตัดฉุกเฉินก็ลับให้ได้ ผมรับลับมีด ขัดมีด ขัดดาบ ทุกอย่างที่มีคมผมรับหมด แล้วก็ออกเดินทางค้นหาก้อนหินมาขาย”

 

“มีคนที่อยากลับมีดและอยากได้หินสักก้อนที่ทำให้เขาหลงรัก ผมตามหา ตัดแต่งให้ได้รูปทรงที่น่าพอใจ ขายในราคาแพงเท่ามีดระดับพ่อครัว” เขาหยิบมีดกับก้อนหินบนโต๊ะกลับวางคืนที่เดิม

 

“แพงขนาดนั้น?” รู้สึกเสียมารยาทที่ยุ่มย่ามถาม แต่ฉันมีเบียร์ในเลือดมากพอจะถามอะไรก็ได้ในโลกแล้ว

 

เขายักไหล่

 

“ผมต้องมีชีวิตอยู่” เขาดื่มรวดเดียวหมด เปิดกระป๋องลิตรใหม่ให้ตัวเอง

 

“เคล็ดลับของราคาคือทำให้มีเรื่องเล่า ข้อมูล และสัมผัสงดงามเมื่อได้มอง ไม่ใช่แค่มองแล้วสวย แต่เห็นถึงคุณค่าการใช้งาน เห็นสัมผัสบนมือ เห็นเรื่องเล่าที่เราบอก หรือเห็นความรู้สึกถึงอะไรอื่น อาจเป็นความทรงจำสักเรื่อง ความคิดบางอย่าง”

 

ในนาทีนั้นฉันนึกอยากเดินไปดูก้อนหินลับมีดของเขาให้เต็มตา แต่ก็มืดเหลือเกินแล้ว หินลับมีดที่ทำให้ฉันนึกถึงความทรงจำสักเรื่องหนึ่งจะเป็นแบบไหนนะ? จะมีหินแบบนั้นสำหรับฉันไหม?

 

“แต่ก็อาจไม่มีใครสนใจเลยก็ได้” เขาหัวเราะ

 

“มีคนต้องการแบบนั้น?” ฉันถาม ในคำถามนั้นหยิ่งยโสและสนเท่ห์ใจ

 

เขายิ้มเศร้าๆ

 

“ก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าทำไมพวกเขาถึงต้องการสิ่งที่ผมทำ มีดถูกที่สุดราคาพอๆ กับข้าวมื้อหนึ่ง เดินไปซื้อมีดเล่มใหม่ยังคุ้มค่ากว่าให้ผมลับมีดเล่มเดิมซ้ำๆ หรือซื้อหินสักก้อน และยิ่งกว่าความปรารถนาทั่วไป มีอย่างน้อยเก้าคนที่เคยขอให้ผมลับมีดที่แอบซ่อนความปรารถนาจะฆ่าใครคนหนึ่งไว้”

 

……………………….

 

ผมฝันเศร้าสม่ำเสมอ

 

ไม่ใช่ฝันหวาดสยอง แค่ฝันดาษดื่น ฝันว่าตัวเองเป็นเด็กมัธยมปลาย ทำอะไรบางอย่าง อาจเล่นฟุตบอล อ่านหนังสือเตรียมสอบ พูดคุยกับใครสักคนที่รู้จักในวัยนั้น ส่วนใหญ่ก็เป็นเพื่อน ทุกครั้งในฝัน ณ จุดใดจุดหนึ่ง ผมจะก้มค้นในกระเป๋าเป้ตัวเองเพื่อหยิบหินลับมีดสีขาว ผมพกหินก้อนนั้นไปเรียนเสมอ

 

ผมอาจเป็นพนักงานบัญชีที่ชาญฉลาด เป็นเจ้าหน้าที่รัฐกวดขันกฎวินัยเข้มงวด แต่สุดท้ายผมจะเป็นอย่างที่เป็นอยู่ ไม่อาจหนีพ้น ไม่ว่าจะทำได้ดีหรือไม่ก็ตาม

 

คนคนหนึ่งรักอะไรได้หลายอย่าง ทำอะไรได้หลายอย่าง ทนทุกข์ทรมานได้หลายอย่าง ผมก็เหมือนกัน ต่างแค่การลับมีดเป็นสิ่งเดียวที่ผมทนทุกข์ทรมานได้ ตื่นขึ้นมาแบกรับความเศร้าที่ต้องอยู่กับมันบนโลกนี้ได้

 

มีคนมากมายทนทุกข์ทรมานในสิ่งที่ตัวเองไม่อาจทนได้ พ่อและแม่ผมก็เป็นหนึ่งในนั้น ผมไม่เคยรังเกียจเหตุผลและความจำเป็นของใคร

 

ทุกครั้งที่ลืมตาจากฝัน ผมอยากหนีไปจากทุกคน นั่งลงหน้าก้อนหินอันคุ้นเคยแล้วหยิบมีดมาลับ ค่อยๆ ลบโลกออกไปจากผม

 

ผมยังฝันถึงวัยนั้น ทั้งที่ไม่ได้ติดต่อเพื่อนคนไหนเกือบสิบปีแล้ว แม้แต่เพื่อนสนิท เพื่อนชมรมกับข้าวมื้อบ่ายที่ทำให้ผมหัดลับมีด

 

“งั้นคุณก็เริ่มลับมีดเพราะชมรมทำกับข้าวนั่นน่ะเหรอ” เธอถาม นั่งขวางประตูหลังร้าน ในมือมีการ์ตูนออกใหม่สัปดาห์นี้ เล่มนั้นผมชอบเหมือนกัน เธอมาอยู่ที่นี่ได้เดือนเศษแล้ว สภาพร้านก็พอไปได้

 

เพิ่งคล้อยบ่ายไม่นาน ปกตินี่เป็นช่วงที่ไม่มีลูกค้าเลย

 

“ใช่ เพราะมีดมันหั่นอะไรไม่เข้าแล้วแม้แต่ผัก” ผมบอก บ่ายนั้นมีมีดโกนจากร้านตัดผมบุรุษตรอกข้างๆ ส่งมาให้ลับ 3 เล่ม

 

“แล้วคุณล่ะ” ผมถาม สมาธิยังจดจ่ออยู่กับปลายคมมีดโกนบนหินหยกลับน้ำมัน ผมชอบเรียกแบบนั้นแต่ไม่ใช่หยกหรอก คุณสมบัติของแร่ธาตุไม่ใช่ ผมมีความรู้ทางธรณีวิทยาบ้าง จำเป็นสำหรับเขียนเรื่องเล่าให้หินแต่ละก้อน

 

“สอนฉันลับมีดหน่อยสิ” เธอพูดสวนกลับมา

 

“เล่าเรื่องของคุณสิ” ผมบอก รู้สึกขุ่นใจเล็กๆ “แค่อยากรู้เรื่องคุณที่สำคัญเท่าเทียม”

 

เธอเชือนหน้าเหม่อมองกำแพงก้อนหินเรียงราย ลุกจากเก้าอี้เข้าไปดูพวกมันใกล้ๆ เอื้อมมือลูบไล้ทะนุถนอมราวกับกลัวมันหักแตก

 

“ฉันชอบก้อนหินพวกนี้จัง” เธอชื่นชม “ลวดลายมันสวยประหลาด เหมือนกระเบื้องหินในโรงแรม ฉันเห็นความใส่ใจของคุณในนั้น”

 

ผมวางมีดโกนที่ลับหินแรกเสร็จแล้วลงบนผ้าขนหนูขาวสะอาด ลองดึงเส้นผมตัวเองมาเหลาผ่า พับผ้าม้วนซ่อนมีดไว้รอลับขั้นถัดไป ต้องแน่ใจเสมอว่าไม่มีผงหินที่ไม่ต้องการปนอยู่บนผิวมีด ฝุ่นหินละเอียดนุ่มราวกับแป้งก็ทำลายคมมีดได้

 

“ฉันกลัวทุกครั้งที่ใส่ใจ” เธอพลิกอ่านการ์ตูน

 

“ฉันรู้จักกระดาษ หมึกพิมพ์ กาวเข้าสันเล่ม รู้แม้แต่กระบวนการพิมพ์ รู้เพื่อจะได้เกลียดหรือรักการ์ตูนเล่มนั้น แต่ยิ่งรู้ก็ยิ่งกลัว มันเหมือนยิ่งฉันใส่ใจ ก็ยิ่งไม่มีทางออกให้ตัวเอง”

 

เหมือนเคยได้ยินคำพูดนั้นจากตัวผมในวันเก่า

 

“อะไรที่ถึงเวลาต้องตาย ก็อาจต้องตาย” เธอยิ้มสดใสเหมือนปลอบใจ

 

ผมหยุดมือ วางมีดโกนเล่มที่สองลง

 

ในตอนนั้นเองเสียงกระดิ่งประตูดังขึ้น

 

เธอออกไปรับลูกค้า ทิ้งผมไว้กับมีด เริ่มเล่มสาม สมาธิหลุดลอยแม้มือยังมั่นคง วนคิดแต่ว่าผมเตือนเธอมากพอหรือยัง

 

เธอรู้แล้วหรือยัง

 

“มีผู้หญิงคนหนึ่งให้เอานี่มาให้” เธออุ้มซองเอกสารสีน้ำตาลไว้ “ผมยาวประไหล่ สวมแว่นกรอบดำ”

 

“ต้นฉบับน่ะ” ผมบอก เธอทำหน้างุนงง มีบางอย่างรบกวนจิตใจขึ้นมาอีก ไม่ใช่แค่อดีต แต่รวมทั้งความรู้สึกของรุ่นพี่ เจ้าตัวคงกระอักกระอ่วนงี่เง่าที่ได้เห็นเจ้าของร้านเช่าการ์ตูนคนใหม่

 

“คงยังเดินไปไม่ไกลหรอก แล้วจะกลับมา” ผมวางมีดโกนเล่มที่ 3

 

ผมประมาท มัวแต่ใจลอยถึงใครคนเดียวที่หลงเหลือจากความทรงจำวันวัยมัธยม แม้ปฏิเสธรุ่นพี่มาตลอด แต่ผมก็อ่อนโยนอย่างไม่น่าอภัย อาทรความรู้สึกเธอเสมอ ผมกอดต้นฉบับเธอตามไปเพื่อจะคุยสองสามคำให้รู้ว่าเธอไม่ได้เป็นอะไร

 

ผมประมาท พอกลับมาก็พบเจ้าของร้านพันผ้าขนหนูชุ่มเลือดรอบมือซ้ายไว้

 

“อีกเดี๋ยวเลือดก็คงหยุดไหล” เธอบอก ค้นชั้นยาหลังเคาน์เตอร์ร้าน ท่าทางไม่ได้ตระหนกอะไร

 

“คืนนี้ก็ไม่หยุดหรอก” ผมเข้ามาช่วย “เลือดจะซึมเรื่อยๆ ใช้นี่โรยแผลแล้วพันผ้าเอาไว้ ผงห้ามเลือด”

 

ผมคลายผ้าขนหนู แผลบนนิ้วชี้ลึกพอควร ล้างแผลเธอด้วยน้ำเกลือ หยอดยาฆ่าเชื้อแผลสดแล้วโรยผงจนท่วมก่อนพันผ้าทำแผลให้

 

“ไม่รู้สึกเจ็บ แปลก จะรู้ว่ามีแผลอยู่ตรงนั้นก็ตอนที่นิ้วไปแตะกับอะไรเข้า” เธอพูดระหว่างจ้องมองแผล

 

“ขอโทษนะที่ยุ่งไม่เข้าเรื่อง ฉันแค่ลองแตะๆ พอรู้สึกว่าถูกปลายคมบาดก็ตกใจกดนิ้วจนแผลลึก” เธอเล่า

 

เธอคงอยากให้ผมพูดจากปากเอง

 

รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมา

 

“มีดที่ผมลับไว้เมื่อคมถึงประมาณหนึ่งจะตัดความเจ็บปวด แผลที่ถูกบาดหลังมีดเสียคมระดับตัดความรู้สึกจะเจ็บปวด” ผมอธิบาย

 

นึกถึงเหตุการณ์ในวัยมัธยม แม่ครัวทั้ง 7 คนไม่มีใครที่เจ็บแผลเลย ทุกคนหัวเราะให้ความแปลกประหลาด แม้แต่คนที่สูญเสียปลายนิ้ว นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมรู้ถึงสิ่งนี้ ก่อนที่จะได้รู้ในกาลต่อมาอีกเรื่อง

 

“วิเศษจัง” เธอดูอัศจรรย์ใจแต่ก็เย็นชา

 

ผมถอนใจขุ่นโกรธ

 

ความเยือกเย็นตลอดเวลาที่ผ่านมาปลาสนาการ ผมหอบหยูกยาทำแผลกระแทกเก็บคืนชั้น

 

“ฉันไม่ได้เห็นว่านั่นเป็นเรื่องดี” เธอพยายามอธิบาย หวาดหวั่นอารมณ์

 

ผมจ้องเขม็ง ดวงตาเธอยังไม่เข้าใจ

 

“ผมบอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ลับมีดที่จะทำให้ใครสักคนตาย”

 

ในที่สุดเธอก็รู้

 

ดวงตาเธอเปลี่ยนความนัย ลุกลนเบือนซ่อน

 

ฉับพลันทุกอย่างพังทลาย เหมือนรู้จักก็กลายเป็นแปลกหน้า

 

“ฉันไม่ได้จะฆ่าใคร” เธอบอก

 

ผมเดินไปดึงเบียร์กระป๋องจากตู้เย็นเปิดดื่มรวดเดียว

 

“ผมรู้ตั้งแต่ครั้งแรกที่พบกันว่าคุณรู้จักผม คุณรู้คมมีดผมมีอีกด้านว่าไม่ใช่แค่ตัดวัตถุได้ง่ายดาย แต่มันตัดชีวิตได้ง่ายดายพอกัน”

 

ไม่ใช่ความบังเอิญที่เธอมาเช่าร้านนี้ แต่เป็นความบังเอิญที่ได้รู้ว่าผมอยู่ที่นี่

 

ทุกอย่างลงรอยสมบูรณ์ ทั้งความปรารถนาจะเปิดร้านเช่าการ์ตูนของเธอ และความปรารถนาเร้นลับที่เธอมีต่อผม นี่เป็นการพบกันที่เธอจัดฉากไว้

 

“คุณรู้เรื่องผมจากใคร” ผมเค้นถาม

 

“ฉันไม่ได้คิดจะฆ่าใคร” เธอย้ำคำเดิม

 

“นี่ไม่ใช่เรื่องที่ใครบังเอิญรู้ได้ ‘ไม่มีทาง’ คุณรู้จากใคร” ผมหันมาจ้องกร้าว

 

“ฉันไม่ได้จะฆ่าใคร” เธอยังก้มมองพื้น พูดย้ำซ้ำซาก

 

“อย่าโกหกผม !!! คุณไม่ใช่คนแรกที่ผมเจอ !!!! ผมรู้ความปรารถนาในตัวคุณตั้งแต่แรกที่เราพบกันแล้ว !!!!” ผมตะคอก ขว้างกระป๋องเบียร์เปล่าลงพื้น

 

เธอนิ่งชา ก้มหน้ามองบาดแผล

 

“ความปรารถนาของคุณผูกรัดผมแน่น จะมีใครสักคนตายถ้าผมลับมีดให้คุณ จะไม่ถามว่าคุณต้องการชีวิตใคร มันเรื่องของคุณ แต่บอกมาว่าใครกันที่เล่าเรื่องผมให้คุณรู้” ผมระงับอารมณ์ลง แต่ก็เหลืออดแล้วที่จะต้องทนเผชิญเรื่องนี้ซ้ำๆ

 

เธอทิ้งน้ำตาอาบแก้ม

 

“ฉันไม่ได้จะฆ่าใคร” เธอเสียงสั่นเครือ “ใครสักคนที่ควรจะตายไม่ใช่คนอื่น”

 

…………….

 

หากมีเจตจำนงแรงกล้าจะตัดชีวิตใครสักคน ด้วยคมอันไร้ความเจ็บปวดของผม คุณกับมีดจะพากันและกันสร้างบาดแผลที่ร้ายแรงมากพอจบชีวิต

 

ถึงแม้… เพียงตัดนิ้วของเขา

 

ในตอนนั้นผมอยู่ ม.5 เข้าปีที่ 3 แล้วกับการฝึกฝนลับมีด ยังคงไปชมรมกับข้าวมื้อบ่ายทุกวัน พบกับรุ่นพี่ที่นั่น แม้รุ่นพี่จะขึ้น ม.6 แล้ว เป็นปีสุดท้ายอันวุ่นวายต้องเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย

 

ผมรู้ว่ารุ่นพี่มาที่นี่ก็เพราะอยากพบกัน และผมก็เป็นคนเลวมากพอจะอ่อนโยนเสมอ

 

เธอใจดีและร่าเริงตลอด ทั้งๆ ที่รู้ว่าผมคิดอะไรในใจ แต่ในปีนั้นรุ่นพี่เปลี่ยนไป เหมือนอยู่ๆ ลมก็หอบเมฆปิดฟ้าใสกระจ่างแล้วกระหน่ำฝนลงมา

 

ปริวิตกและเจ็บปวด เห็นความเศร้าในเธอ ทีแรกผมคิดว่าเธอคงเครียดต้องเตรียมสอบ แต่วันหนึ่งเธอมาโรงเรียนทั้งที่มีผ้าปิดแผลที่แก้ม แว่นเลนส์ร้าวกินลึกถึงกลางดวงตาขวา เธอบอกคนอื่นๆ ว่าตกบันได

 

“ใต้ผ้าปิดแผลนั่นเป็นรอยกระป๋องเบียร์ที่พ่อขว้างใส่น่ะ” เธอพูดแจ่มใส เผยความลับให้รู้เมื่อเราอยู่กันสองคน ยิ้มอันน่าเอ็นดูนั้นราวกับจะปลอบผมไม่ให้เป็นทุกข์

 

แต่สุดท้ายเธอก็ซ่อนมันใต้ความแจ่มใสไว้ไม่ไหวอีก เธอหวาดระแวง กลัวไปทุกอย่าง แม้เสียงมีดกระทบเขียง

 

วันหนึ่งผมทักเธอจากด้านหลัง เธอผวาดึงมีดทำครัวที่พกไว้ในกระเป๋าออกมากดอกผมหวาดๆ พอเห็นว่าเป็นผมก็ร้องไห้

 

เธอปลดเสื้อนักเรียนตัวเองลงให้ดูรอยแผล เรือนร่างพร้อยรอยปานช้ำทั้งที่ยังใหม่และเลือนจางแล้ว

 

“ฉันเป็นเหมือนแก้วเหล้าไว้ขว้างระบายอารมณ์ในไนต์คลับ” เธอเล่า ผมห่อหุ้มเธอด้วยอ้อมกอด ปลายนิ้วผมไล้ไปตามแผลช้ำราวกับจะลูบมันให้เลือนหายไป

 

“เหมือนเขียนบทไว้เลย อยู่ๆ ธุรกิจพ่อก็มีปัญหา ถูกทรยศจากเส้นสายที่สนิทกัน ในปีที่ฉันต้องกำหนดชะตาสำคัญตัวเองอีกครั้ง” เธอซุกหน้าขยี้กับอกผม

 

“เขาประสบความสำเร็จมาตลอด ไม่ว่าอดีตที่เคยเป็นหมอ หรือในตอนนี้ที่ประกอบธุรกิจคลินิก แต่ไม่กี่ปีมานี้เขาล้มเหลวลงเรื่อยๆ วันหนึ่งฉันนั่งอ่านนิยาย เขาตบฉัน บอกว่าช่างไร้ค่าเหลือเกินในขณะที่เขาต้องทุกข์ทรมานหาเงิน แล้วอยู่ๆ ทุกๆ อย่างรอบๆ ตัวเขาก็กลับดีขึ้น ดีขึ้นจริงๆ ฉันเขียนบันทึกสถิติเอาไว้ด้วยซ้ำ ถ้าเขาไม่ทำร้ายฉัน เหตุการณ์ทางธุรกิจจะเลวร้ายลงไปเรื่อยๆ

 

“เขาต้องทำร้ายอย่างจริงใจ จะมีสงสารปนในใจไม่ได้ ห้ามรู้สึกผิด ทุกครั้งที่ฉันนอนฟุบอยู่บนพื้น ฉันมองดวงตาพ่อ เห็นความแช่มชื่นที่ค่อยๆ อิ่มขึ้นจากหัวใจเขา พอทุกอย่างคลี่คลาย ในห้องนอนฉันจะเต็มไปด้วยข้าวของปรนเปรอที่ฉันต้องการ ฉันเคยอ่านงานเขียนชิ้นหนึ่ง เป็นเรื่องของเด็กที่ถูกขังอยู่ในห้องใต้ดินของเมืองอันเป็นอุดมคติ ที่เมืองนั้นสุขสงบสมบูรณ์แบบก็เพราะว่าเขาแบกรับความเจ็บปวดของทุกคนไว้”

 

ผมมองมีดในมือรุ่นพี่ เป็นมีดทำครัวสเตนเลสราคาถูกยี่ห้อดัง เธอยังกำมันแน่นแม้เมื่ออยู่ในกอดผม

 

ผมหยิบมันมาจากมือที่กดกำเขม็ง ลูบขวางคมมีด มันทื่อจนไม่อาจสร้างบาดแผลต่อรอง

 

ผมล้วงหินลับมีดจากเป้ หยกขาวแท้ที่ผมบังเอิญพบในดินลูกรังถมถนน หินก้อนแรกที่พาคมไปถึงจุดตัดเฉือนเนื้อมนุษย์โดยไร้ความเจ็บปวดได้ ก้อนเดียวกับที่สร้างคมพรากปลายนิ้วแม่ครัว

 

ผมรู้ว่าเธอมีปรารถนาดำมืด เธอเป็นคนแรกที่ผมจับสัมผัสนี้ได้ แต่ผมไม่ได้ล่วงรู้ว่าเธอต้องการอะไร ใครที่ถูกทำร้ายก็คงต้องการทำร้ายกลับ ผมคิดแค่นั้น ไม่มีใครในโลกรู้ว่ามีดนั้นจะตัดชีวิตคนอื่นได้ง่ายดาย

 

เธอเพียงวาดแขนเหวี่ยงมีดออกไปครั้งเดียว เขายกมือขวาขึ้นป้อง นิ้วโป้งสะบั้นลง กระดูกคนนั้นตัดไม่ได้ง่ายๆ แต่มันก็เป็นไปแล้วด้วยมีดที่เธอถือและด้วยเจตจำนงที่มีต่อพ่อ เธอแค่ทำร้าย แม้ใจปรารถนากว่านั้น เพราะหากต้องการตามเจตจำนง พ่อของเธอก็คงไม่ได้มีแค่แผลเดียว

 

“นานแล้วที่ฉันคิดว่าอยากอยู่คนเดียว” เธอสารภาพความรู้สึกที่ฝังลึกมาตลอดหลายปี ผมเป็นคนเดียวที่เธอขอพบบนโรงพัก เธอเดินไปมอบตัว ผู้บังคับการสถานีตำรวจมาประคองเข้าไป ในมือยังกำมีด ชุดนักเรียนมีหยดเลือดกระเซ็นประดับประปรายเหมือนดอกเข็มเล็กๆ

 

ทุกคนสงสารเธอ และไม่เข้าใจว่าทำไมพ่อของเธอถึงตายเพียงเพราะนิ้วโป้งขวาขาด เขาล้มสิ้นใจลงแทบในนาทีนั้น ดวงตาเบิ่งค้าง

 

‘ป้องกันตัวจากความรุนแรงในครอบครัว’ ทุกคนสรุป ผมเองก็พยายามย้ำว่าเป็นเช่นนั้น ไม่ใช่เพียงเพราะอาทรเธอ แต่เพื่อกลบเกลื่อนว่าผมสำคัญกับความตายของพ่อเธอด้วย

 

กระนั้นไม่ว่าจะปิดบังอย่างไรเรื่องนี้ก็รั่วไหล ผมจับความปรารถนาดำมืดในจิตใจคนที่มาหาได้ พวกเขาต้องการบาดแผลแบบนั้น บาดแผลที่คนอื่นไม่เข้าใจว่าทำไมถึงทำให้ตาย

 

…………………

 

มันเหมือน… อยู่ๆ วันหนึ่งหมอก็เดินมาบอกว่า ‘ขอโทษด้วยครับ แต่การผ่าตัดรักษาต้องเลื่อนออกไปไม่มีกำหนด’ ทิ้งฉันไว้ทุกข์ทรมานสาหัส หมอคนนั้นคือฉัน

 

ฉันผิดต่อเขา ไม่ปฏิเสธข้อนั้น เลวทรามที่พยายามล่อหลอก แล้วก็ล้มเหลวเพราะไม่รู้ว่าเขามีสัมผัส นึกแต่ว่าเขาคงจับรายที่ผ่านๆ มาได้เพราะหลุดโกหกบางอย่าง เลยคิดไปว่าถ้าเขาได้รู้ว่าฉันรักหนังสือการ์ตูนจริงๆ เขาคงจะไม่เฉลียวใจ แล้ววันหนึ่งฉันจะขอให้เขาลับมีด

 

ฉันตั้งใจมาพบเขา แต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ได้ตั้งใจจะทำร้าน ในอีกฝั่งหนึ่งฉันฝันสวยงามว่าจะมีชีวิตแบบนี้ไปอีกนาน

 

แต่ใช่ ในวันที่ถูกมีดโกนเล่มนั้นบาด ฉันทำเพื่อเรียนรู้ชั่วขณะนั้นที่จะเกิดขึ้นในวันหนึ่ง ไม่รู้หรอกวันไหน รู้แค่ว่าคงจะมาถึง

 

มันมีจุดตัดในชีวิต ชัดเจนแน่นอน วันหนึ่งฉันตื่นขึ้น รู้สึกแปลกประหลาด กดหน่วงและเบาคว้าง เมื่อวานนี้ฉันยังเป็นเด็กคนหนึ่ง แต่ตอนนี้ฉันรับรู้ถึงเวลา ฉันมองนาฬิกาข้อมือและรู้สึกหนาวทรมานที่มันหมุนวน

 

ทำไมมันถึงยากแบบนี้นะ ยากจนร้องไห้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

 

ฉันรักษาตัวสม่ำเสมอ ฉันบอกเขา แต่ตราบใดที่ไม่ไปจากตัวเอง ฉันจะป่วยไปตลอดกาล

 

เขาไม่ใช่คนที่จะบอกใครได้ว่าการไปจากตัวเองนั้นทำอย่างไร

 

“มีดที่คุณคิดไว้เป็นแบบไหนงั้นเหรอ” อยู่ๆ วันหนึ่งเขาก็ชวนฉันคุย เดินลงมาจากดาดฟ้า หยิบรูทเบียร์กระป๋องจากตู้เย็น สองเดือนที่ผ่านมาฉันแทบจะไม่ได้พูดกับเขาเลย

 

เขาเก็บมีดทุกเล่มขึ้นไปลับที่ดาดฟ้า ปล่อยแดดแผดเผาตัวเอง หลังร้านเป็นเพียงกองหิน แต่เขาไม่ได้โกรธฉันอีกแล้ว แค่ยังไม่รู้ว่าจะอยู่ร่วมกับฉันอย่างไรดี คล้ายกับไม่รู้ว่าจะวางสิ่งของในมือไว้ตรงไหนในห้อง

 

“ฉันไม่รู้หรอก” ฉันปิดหนังสือการ์ตูนลง

 

“เหล็กต่าง ให้คมต่าง” เขาบอก ฉันอดประหลาดใจไม่ได้ที่เขาพูดเหมือนแนะนำลูกค้า

 

“เหล็กโอกามิอิจิลับง่ายให้คมน่าประทับใจ” เขาดึงแซนด์วิชเย็นชืดจากตู้เย็นมากินแกล้ม ฉีกซองดึงผ้าเย็นคลุมหัว

 

“ผมชอบเหล็กนี้ ถ้ามีลูกค้าส่งมีดตีจากเหล็กโอกามิอิจิ ผมจะกระตือรือล้นเป็นพิเศษ ทั้งๆ ที่มีเหล็กดีกว่านี้ หลายชนิดก็ลบข้อด้อยของโอกามิอิจิทั้งหมด แต่ผมชอบความสมบูรณ์ที่ไม่สมบูรณ์ของมัน”

 

“เขาใช้ทำมีดโกนรึเปล่า?” ฉันถามเสียงแผ่ว

 

ทำไมมันถึงกลายเป็นเหมือนเรื่องในชีวิตประจำวัน

 

แล้วทำไมฉันถึงโล่งใจที่ได้พูดเหมือนมันเป็นชีวิตประจำวัน

 

“มีอยู่แล้วล่ะ ถ้าคุณจะค้นหา” เขายืนมองออกไปหลังร้าน “มีดโกนก็เหมาะกับคุณนะ”

 

เหมาะกับฉันงั้นหรือ…

 

“ผมไม่ได้ละเมิดกฎตัวเอง” เขาถอนใจ “สิ่งที่ผมไม่ยอมรับคือดวงตาของคนตาย”

 

ฉันมองแผ่นหลังของเขา

 

“ผมคิดว่าทุกคนรู้ความตายของตัวเองเมื่อมันมาถึง ดวงตาในชั่ววินาทีนั้นแหละ ตายอย่างไม่เข้าใจ ไม่ยินยอม”

 

เขาโยนกระป๋องน้ำอัดลมลงถังขยะ ภาคบ่ายเขาจะตัดหินที่หลังร้าน ดาดฟ้าแดดร้อนเกินกว่าจะลับมีดอย่างเป็นสุข

 

“คุณเชื่อในพระเจ้ารึเปล่า” อยู่ๆ เขาก็ถาม

 

“ฉันไม่มีพระเจ้า” ฉันตอบ อึดอัดขัดข้องที่อยู่ๆ เขาก็โยนพระเจ้าเข้ามาระหว่างเรา

 

“ผมมี แต่ผมไม่ได้อยู่กับเขา” เขาบอก “ใครคนหนึ่งที่อยู่กับพระเจ้าในทุกวันบอกผมว่า ถ้าพระเจ้าสร้างทุกๆ อย่าง ทุกๆ อย่างเลยนะ ทำไมพระเจ้าจะไม่รู้จักและไม่เข้าใจความตายในฐานะทางเลือกหนึ่ง ในเมื่อพระเจ้าให้มนุษย์ได้เลือก”

 

ฉันมีคำถามล้านแปดวนเวียนในใจ แต่ฉันกลัวคำตอบของเขา กลัวว่ามันจะไม่ใช่คำปลอบโยนเช่นนี้

 

“เลือกมีดที่คุณต้องการเถอะ” เขาหันกลับมามองฉัน

 

“แต่มีดนี้จะอยู่กับผม จนกว่าจะถึงวันนั้น มาหาผม บอกผมว่าต้องการมัน คุณไม่ควรครอบครองไว้ อยู่กับมันมากเกินไปคุณอาจลงมือทั้งที่ไม่แน่ใจ คุณจะรู้สึกตัวและหวาดกลัว แต่มันก็สายเกินย้อนกลับ การเผชิญหน้ากันระหว่างผมกับคุณจะช่วยยืนยันตัวคุณเองซ้ำอีกครั้ง”

 

ฉันร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ที่ถูกใครสักคนกอดปลอบและเป่าแผลให้

 

“รู้ไหม” เขาพูด “ที่จริงแล้วผมตื่นขึ้นมาด้วยความเสียใจทุกวัน”

 

“วันหนึ่งหลายปีก่อนผมฝันถึงอาจารย์ที่สนิทกันสมัยมัธยม ท่านถามผมว่าไปไหนมา? ผมรู้ว่ามันหมายถึงอะไร ผมหายไปจากโลก จำไม่ได้แล้วว่าในฝันผมตอบว่าอะไร ได้ฟังคำตอบแล้วอาจารย์ก็ถามผมว่า ‘จะโทษตัวเองงั้นเหรอ’ ผมตื่น ไม่เข้าใจว่าอาจารย์ต้องการพูดอะไร จนพบคุณ”

 

“อย่าโทษตัวเองว่าไม่มีความหมาย” เขาเอ่ย

 

“แต่มันไม่ง่ายหรอก ไม่ง่ายเลย” เขายิ้มเศร้าให้ฉัน บอกฉันอีกครั้งว่าฉันอาจสั่งซื้อมีดเล่มที่ต้องการได้บนอินเทอร์เน็ต เขาแนะนำเว็บไซต์ที่น่าเชื่อถือให้ฉันได้

 


ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

Kappasaisai@gmail.com

นักเขียนผู้หลงใหลการลับมีด เจ้าของเรื่องสั้น "ชายชราเบาหวาน" ที่ได้รับรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดประเภทเรื่องสั้น ปี 2555 ปัจจุบันใกล้จะมีนวนิยายของตัวเอง 1 เล่ม กับสำนักพิมพ์ Boligraf Book ยังคงเขียนงานอยู่อย่างต่อเนื่องที่บ้านของตน

Comments

comments

You may also like

Leave a comment

error: