ผมไปที่นั่นเพื่อขายลูกอม

 

ลูกอมเมนทอล ส้มเมนทอล มะนาวเมนทอล เฌอเอมเมนทอล กาแฟเมนทอล อนาคตอาจมีรสอื่นอีก อะไรก็ได้ที่ผสมเมนทอลอร่อย หัวใจของลูกอมคือเมนทอล ที่จริงก็มีสินค้าเป็นขนมขบเคี้ยวอื่นๆ ด้วย แต่ผมชอบบอกว่าตัวเองขายลูกอม ชอบบอก แต่ไม่ได้ชอบ

 

พฤศจิกายน 3 ปีก่อน ผมขับรถลงใต้ผ่านเทือกเขาคดเคี้ยวข้ามจังหวัดใหญ่ภาคเหนือสู่อำเภอของอีกจังหวัดที่ติดรอยต่อ อำเภอนั้นกำลังเป็นที่นิยมท่องเที่ยว พวกเขาจะมีลูกอมผมรอที่นั่น

 

เคยไปหลายครั้ง มีลูกค้าประจำเป็นร้านสะดวกซื้อชาวบ้าน ผมขายซื่อๆ ว่าลูกอมผมทำให้ปากหวานสดชื่น หรือหากเห็นว่าอีกวิธีช่วยได้ ผมจะบอกอ้อมๆ ว่าลูกอมผมทำให้บุหรี่อร่อยกว่ายี่ห้ออื่น

 

ในข้อหลังผมไม่ได้โกหก ผมติดลูกอมบริษัทตัวเองงอมแงม โดยเฉพาะเมื่อขับรถ รถของบริษัทเป็นรถสี่ล้อดัดแปลงกระบะเป็นตู้บรรทุก ขนาด 2 ที่นั่งติดแค็บ ผมเป็นทั้งฝ่ายขายและขนส่ง ไปไหนคนเดียว ก็อย่างบริษัทเล็กๆ ทั่วไป ผมไม่ค่อยชอบเงินเดือนตัวเอง แต่กับวุฒิปวช. อายุเลย 30 มีข้าวของส่วนตัวไม่กี่ลังกระดาษ และสำคัญที่ไม่รู้จักใคร ผมนึกไม่ออกว่าจะมีอะไรที่ดีกว่านี้

 

เมื่อตื่น… ในบางเช้า ผมพูดเหมือนปลอบตัวเองไม่ให้เกลียดที่จะต้องมองท่าทีเมินหนีของคนอื่นมากเกินไป ผมกลัวว่าวันหนึ่งอาจไม่ต้องพูดกับตัวเองอีก กลัวว่าสุดท้ายจะเย็นชาจนไม่เกลียดท่าทีเมินหนีแบบนั้นอีกต่อไปและอาจรำคาญว่าทำไมจะต้องตอบตัวเองว่าเกลียดหรือไม่เกลียดมัน

 

ผมร่อนเร่ไปทั่วเพื่อขายลูกอมจนได้พบเธอเมื่อหนาว 3 ปีก่อนนี้

 

พวกเขาเชื่อว่าการพบเธอต้องเกิดจากความผิดพลาดของผม

 

อย่างบังเอิญผ่านไปที่นั่นในวันที่ป่วยไข้จนรุมเร้าจิตใจ, อยู่ในอายุที่แย่ที่สุดในรอบชีวิต หรือวันนั้นเป็นวันพระจันทร์เต็มดวง (ทั้งๆ ที่เรื่องเกิดกลางวัน แต่ถ้าใช่อย่างที่คาดเดา ถ้าผมจำได้ว่าจันทร์จะเต็มดวงคืนนั้น มันก็เป็นเหตุเป็นผลพอทำให้เธอมีเรี่ยวแรงจะพบผมได้)

 

แต่ย้อนนึกถึงอะไรในบ่ายนั้นไม่ออกเลยว่าเป็นเพราะเหตุใด ระหว่างขับรถกลับที่พักผมแค่เผลอเงยมองดูผาหินตระหง่านเคียงถนน หางตาเห็นภาพในกระจกหลังเป็นหญิงสาวในชุดผ้าลูกไม้แดงนั่งสงบชิดกระจกข้างซ้ายมองเหม่อทิวทัศน์ผ่านแว่นสีเลือด ตาโตสวย ผิวซีดเหลือง ผมดำตรง ร่างบาง อายุราวกลางยี่สิบ

 

เธอคงเคยมาในหน้าร้อน หรือไม่ก็ฝน แต่ฤดูเหล่านั้นไม่เหมาะท่องเที่ยวที่นี่ อาจเป็นช่วงปลายฝนที่ยังไม่เริ่มหนาว (ที่นี่หนาวเหลือเกิน ยิ่งบนเทือกเขาลมโหมทั้งวันคืน) ช่วงเวลานั้นเหมาะกับชุดของเธอ

 

ผมเห็นเธอเลือนจางโปร่งทะลุ เธอหันมอง นัยน์ตานั้นรู้ว่าผมเห็น แต่ไม่ได้ประหลาดใจหรือตกใจ แล้วเธอก็หันกลับไปมองทิวทัศน์

 

ร่างเธอไร้เลือดหรือบาดแผลใด เนื้อตัวไร้กลิ่นสาบสางหรือหอมอวล ผมคิดว่าเธอพยายามสุภาพกับผมอย่างเหลือเกิน

 

ใครคนหนึ่งบอกผมว่ามันยากที่พวกเธอจะสุภาพกับเราได้ หากว่าการตายทำให้แค้นและชัง เธอก็เหมือนเป็นคนอื่นของตัวเอง ไม่อาจหนีไปจากใจสุดท้ายเมื่อตาย หรือหนีไปจากใจแรกเมื่อได้ตาย

 

กายเธอจะบอกทุกอย่างทั้งเหตุการตายและใจที่ต้องเป็นอยู่ มันปิดซ่อนยาก

 

ผมรู้ว่าผมเป็นฝันที่จะทำให้เธอไปจากตัวเอง

 

แต่ผมบอกเธอว่า ‘คุณไปเถอะ ได้โปรด เราไม่ได้รู้จักกัน’

 

เธอหันมองผม ดวงตาหลังแว่นสีเลือดเมินเฉย

 

ยังลังเล ปล่อยเธอไว้ จบงานวันนั้นผมเข้าที่พัก ขอให้เธออยู่ในรถ คืนนั้นนอนคิดไปร้อยแปด ไม่แน่ใจว่าเราจะอยู่ด้วยกันได้ ผมรู้วิธีต่อรองทั้งจากกันด้วยดีและร้าย แต่ยังตัดสินใจอะไรไม่ได้ก็ผล็อยหลับ

 

ในฝันได้ยินเธอ เสียงหวานเศร้า ใบหน้าเย็นชา บอกว่า ‘เธอรู้แล้ว และหวังตกลง’

 

ไม่เข้าใจเธออยากพูดอะไร การสื่อสารของพวกเขาขาดแหว่งเสมอ ในฝันเธอพยายามทำให้ผมรู้สึกว่าตัวผมเองใจดีและชอบที่รู้ว่าตัวเองใจดี ผมเลยไม่ได้กังวลถึงเธอ

 

วันต่อมาเธอก็อธิบายคำพูดตัวเอง ผมขายลูกอมให้ลูกค้าใหม่ไม่ได้สักร้าน

 

ไม่มี ไม่เลย ทั้งที่เป็นฤดูท่องเที่ยว ลูกอมผมถูกโฉลกกับฤดูกาลนี้ สิ้นสุดวัน ขับรถกลับที่พัก ผมเหลือบมองกระจกหลังนานๆ ครั้ง เห็นแต่อากาศ ครั้งเดียวเท่านั้นที่เห็นเธอจางๆ ผมครุ่นคิดว่าจะทำอย่างไรกับเธอดี คิดสลับไปมากับภาพท่าทีเมินหนีของลูกค้า ผมสูบบุหรี่บ้างในระหว่างวนเวียนคิด

 

บุหรี่มวนสุดท้ายปลุกผมตื่น ผมหยุดรถกระทันหันเลียบลงไหล่ทางล้วงกระเป๋าเงินออกมาดู เงินส่วนที่กันไว้ซื้อบุหรี่ซองที่สองของวันกับน้ำอัดลมแช่เย็นยังครบ

 

ผมสูบเท่าปรกติ ทั้งที่ควรต้องผลาญบุหรี่ ลูกอมเฌอเอมเมนทอลและน้ำอัดลมเย็นจัดเพื่อดับตัวเอง

 

ลุกออกไปยืนพิงรถสูบบุหรี่จนหมดมวน เหม่อมองนาข้าวรวงแก่ กลิ่นกลางคืนในยามเย็นบาดจมูก

 

ผมเกลียดตัวเองในวันผิดหวัง ทำอะไรไม่ได้นอกจากสูบบุหรี่จัดและโกรธไปทุกอย่าง ไม่ใช่แค่หงุดหงิด แต่โกรธ โกรธจนผมฆ่าใครต่อใครในความคิดซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ในครั้งนี้มันหายไป

 

ความรู้สึกเหล่านั้นของผมยังอยู่กับเธอ เธอทิ้งไปแล้ว หรือเธอกัดกินมัน ผมไม่รู้

 

“ตกลง” ผมเปิดประตู เอื้อมหน้าเข้ามาบอกกับความว่างเปล่า

 

“ค่ะ”

 

เสียงเดียวกับฝันตอบกลับจากอากาศ เย็นและบางเบา

 

 

ผมไม่เชื่อ

 

กลัวว่าถ้าเชื่อ อะไรที่ไม่เชื่อซึ่งซ่อนในสิ่งที่เชื่อจะทำร้ายผม หากผมเชื่อในเธอแล้ววันหนึ่งผมเลือกจบชีวิต ผมอาจถูกบังคับต้องทำให้ตัวเองตายซ้ำเดิมเวลาเดิมทุกวัน ผมจึงไม่อยากเข้าใจเธอนัก

 

มิตรร่วมบ้านเองก็บอกผมว่า ‘อย่ารู้จักกันขนาดนั้น’

 

เขาอยู่มานานก่อนผมแล้ว ผมเช่าบ้านหลังนี้ตั้งแต่ได้งานขายลูกอม มันเป็นบ้านขนาด 1 คูหามาตรฐาน ค่าเช่าถูกกว่าราคาตลาด 4 เท่า

 

จริงว่าผมอยู่บ้านหลังนี้แค่ 1 วัน 1 คืน งานผมต้องพเนจร แต่ผมมีข้าวของหลายลังกระดาษ ผมไม่อยากทิ้ง ไม่อยากรู้สึกว่าต้องเริ่มใหม่ ถึงแม้ผมยังไม่มีอะไรเลย แต่ลังกระดาษที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นนั้นมันบอกว่าผมยังมีโอกาส

 

เจ้าของบ้านเช่าบอกให้รู้ก่อนแล้วเรื่องศาลเพียงตาไม้โทรมๆ หน้าลานบ้าน ผมไม่ใช่คนแรกที่ไม่เชื่อไม่สนใจและตกลงเช่า 10 รายหลังสุดก็คิดแบบนี้

 

ผมเลือกอะไรไม่ได้ถึงแม้จะเลือกได้ ผมอยู่บ้านเช่าหลังนั้นมา 3 เดือน ไม่เคยเกิดอะไรขึ้น แล้วในฝันคืนหนึ่งก็มีชายวัยกลางคนผมขาวโพลนพูดกับผมว่า ‘ถึงไม่เชื่อก็เชื่อหน่อยได้ไหม’

 

เขาวอน กลัวและคับข้องใจ

 

นี่เป็นครั้งแรกที่ต้องถามตัวเองว่าแล้วผมต้องทำยังไงถึงจะอยู่กับเขาได้ ผมไม่เคยเชื่อมาก่อน เขาก็คงรู้ว่าผมคิดอะไรแบบนั้นถึงได้เว้าวอนแกมหวาดกลัว เพราะเขาก็คงไม่มีคำอธิบายว่าทำไมผมจะต้องเชื่อว่าเขามีชีวิต มันจะได้ประโยชน์อะไรสำหรับผม แต่กับเขาคงได้ประโยชน์บางอย่าง

 

ผมคุยกับเจ้าของบ้านเช่าถึงความฝัน เขาตกใจ

 

“เจอแค่นี้เองเหรอ” เขาถาม

 

เขาบอกว่าถึงไม่เชื่อก็ใช่จะรอด ผู้เช่าคนก่อนก็ต้องเชื่อและย้ายออก บางวันได้ยินเสียงทำกับข้าว บางวันเห็นคนเดินออกมาจากห้องน้ำ แต่ผู้เช่าก็ยังยืนยันว่าไม่เชื่อ จนคืนหนึ่งฝันว่ามีชายกลางคนมาบอกเขาว่า ‘แม่ตายพรุ่งนี้ ไม่เกี่ยวกับกู เขาไม่ได้รักมึง’

 

เช้าวันต่อมาผู้เช่าคนก่อนได้รับโทรศัพท์ว่าแม่เสียด้วยอุบัติเหตุไฟฟ้ารั่วจากเครื่องทำน้ำอุ่น ครอบครัวเปิดพินัยกรรมหลังงานศพ เขาไม่ได้อะไรเลย

 

“เขาอาจเลือกคุณ” เจ้าของบ้านเช่าบอก “บ้านเป็นของคุณวันเดียว แต่เป็นของเขา 6 วัน”

 

“เขารู้ว่าเขาจะไล่คนเช่าไปเรื่อยๆ ก็ได้ แต่ผมก็จะปล่อยเช่าแบบนี้ ผมบอกเขาทุกสงกรานต์ ผมเสียเงินล้าน ผมต้องได้คืน ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไปเงินก้อนสุดท้ายจะเป็นค่าหม้อดินถ่วงน้ำ เขาให้ของตอบแทนต่อรองบ้าง แต่มันไม่พอหรอก บ้านราคาล้านต้นๆ ก็จริง แต่วิสัยการลงทุนมันไม่ใช่ได้ทุนคืนแล้วจบกัน”

 

“ทำไมคุณไม่ถ่วงน้ำเขาสักที” ผมสงสัย

 

“ก็ความรู้สึกเดียวกับว่าผมไม่ได้อยากฆ่าใครขนาดนั้นน่ะ” เขาหัวเราะ

 

ผมเอาของไปให้ที่ศาลเพียงตาทุกวันเพ็ญ บอกเขาว่าไม่ได้ต้องการให้ช่วยเหลือสิ่งใด ผมทำเพราะเราอยู่ด้วยกัน หากเขาจะเกื้อกูลอย่างมิตรร่วมบ้านก็ตามแต่ใจ

 

เขาเป็นมิตรกับผมเรื่อยมา ฝันถึงเขาบ้าง ได้อะไรตอบแทนพอได้กินได้ใช้ และด้วยความเป็นมิตรเขาก็บอกกับผมในฝันวันแรกที่ผมขับจักรยานยนต์ตัวเองมีเธอตามมาที่บ้านว่า ‘อย่ารู้จักกันขนาดนั้น’ ผมจึงขอให้เขาบอกเธอไปอยู่นอกบ้าน ผมเข็นจักรยานยนต์ออกไปเช่นกัน เธอจะได้มีที่พักพิง

 

จริงอย่างที่เขาบอก อย่ารู้จักกันขนาดนั้น ผมไม่อยากรับรู้เรื่องมืดหม่นของคนอื่น

 

เธอร้องไห้ในบางคืน และร้องหนัก 4 ครั้งต่อเดือน 3 คืนข้างขึ้น-ข้างแรม 1 คืนจันทร์เพ็ญ เสียงเธอเย็นหวนสะอื้นกลางดึก โศกเศร้าและเจ็บแค้น เธอห้ามตัวเองร้องไห้ไม่ได้

 

แม้เธอดีกับผม คอยกัดกินความโกรธเคืองคับข้องในวันล้มเหลว แต่ผมต้องพยายามไม่รู้จักเธอ

 

ถึงกระนั้นอยู่กันแบบนี้ ยังไงผมก็จะได้รู้ทีละเล็กละน้อย เธอชอบสีแดง ชอบผัดซีอิ๊วเส้นใหญ่ ชอบโคล่า ชอบลูกอมเฌอเอมเมนทอล และเกลียดควันบุหรี่ ผมเคยเห็นเธอควบแน่นจากควันบุหรี่จ้องผมผ่านแว่นสีเลือดอย่างไม่พอใจ

 

ก่อนนี้เธอไม่เคยบอกว่าเกลียดมัน แต่เมื่ออยู่ด้วยกันนานไปเธอก็วางใจพอจะบอกว่าตัวเองเกลียดอะไร ยิ่งเวลาผ่านไปผมก็ค่อยๆ รู้พอจะปะติดประต่อเรื่องราวเธอเป็นรูปเป็นร่างได้

 

อย่างวันหนึ่งผมต่อโทรศัพท์เปิดเพลงฟังในรถ เพลงหลากหลายแนวดนตรีไล่ไปเรื่อย อยู่ๆ มันก็เล่นซ้ำเพลงเดิม 3 รอบ… Champagne Supernova

 

“ชอบงั้นเหรอ” ผมถาม ไม่มีคำตอบ

 

ผมเดาว่าเธอตายในระหว่างช่วงที่เพลงนี้มาถึงเมื่อสองทศวรรษที่แล้ว จนหนึ่งวันก่อนพบกัน

 

ถึงบอกว่าอย่ารู้จักกันแต่ก็อดไม่ได้

 

“ไม่เคยมีใครถูกหลอกที่ถนนตรงนั้นบ้างเหรอครับ” ผมถามชาวบ้านแถบถนนที่พบเธอ

 

“ไม่นะ ตรงนั้นมีอุบัติเหตุบ้างนานๆ ทีก็จริง แต่ว่าชาวบ้านที่นี่นอนกันตั้งแต่หัวค่ำ” ผู้เฒ่าเจ้าของร้านชำคนหนึ่งบอกผมด้วยน้ำเสียงอย่างชาวเผ่าที่พยายามพูดภาษากลางใช้ติดต่อราชการ

 

“มีนี่” ป้าลูกค้าคนหนึ่งแทรกขึ้นมา เล่าให้ฟังว่านานๆ ทีก็ถูกหลอกบ้าง เป็นเงาดำตัดหน้ารถ รถชนถูกอะไรบางอย่างแต่ไม่พบศพ

 

“บางทีรถที่ผ่านก็ได้ยินเสียงผู้หญิงร้องไห้” หล่อนบอก

 

“นานหรือยังครับ” ผมลุกลน

 

“นานมากแล้ว” หล่อนตอบ “แต่บอกไม่ได้ว่ากี่ปีกันแน่ อาจจะ 2-3 ปีก่อนนี้ หรือ 10 ปีมาแล้ว”

 

“พอจะทราบไหมครับว่ามีใครบ้างที่ตายตรงนั้น มีผู้หญิงใส่ชุดสีแดงแว่นสีแดงไหม” ผมถาม

 

ไม่มีใครให้คำตอบได้

 

“มีคนตายเยอะนะ ก็ลืมๆ กันไปแล้ว” ผู้เฒ่าบอก

 

ผมยิ้มอำลาพวกเขา จริงอย่างว่า ทำไมพวกเขาต้องจำความตายของคนที่ไม่เคยรู้จัก ผมกลับมายืนพิงรถ แกะลูกอมเฌอเอมเมนทอล ดื่มโคล่าเย็นจัด จุดบุหรี่ เดี๋ยวนี้ผมสูบในรถไม่ได้แล้ว

 

คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง เธอจะร้องไห้

 

 

photo: Devon Janse van Rensburg


 

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

Kappasaisai@gmail.com

นักเขียนผู้หลงใหลการลับมีด เจ้าของเรื่องสั้น "ชายชราเบาหวาน" ที่ได้รับรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดประเภทเรื่องสั้น ปี 2555 ปัจจุบันใกล้จะมีนวนิยายของตัวเอง 1 เล่ม กับสำนักพิมพ์ Boligraf Book ยังคงเขียนงานอยู่อย่างต่อเนื่องที่บ้านของตน

 

“ด้วยภาษาที่สั้นกระชับ (ก็เพราะบรรณาธิการกำหนดหน้าไงล่ะ! -คุณนักเขียนท้วง)
ชินรัตน์จัดแจงเล่าเรื่องด้วยน้ำเสียงในแบบของเขา – เรื่องรักระหว่างผีกับคน พบเห็นได้ในวงวรรณกรรมทั้งไทยและเทศ ในไทยเราพบเรื่องพรรค์นี้ได้ในงานของเหม เวชกร, อุษณา เพลิงธรรม, หรืองานของแดนอรัญ แสงทอง อย่าง ‘นฤมิตมายา’ เองก็ตาม – ‘ถนนรสเมนทอล’ จึงนับเป็นอีกงานหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเรื่องผีมีมิติมากกว่าแค่ความน่าสะพรึงกลัว”

 

-นิชานันท์ นันทศิริศรณ์

Comments

comments

You may also like

Leave a comment

error: