คลินิกวาเลนไทน์

ประตูเปิด 9 โมงตรง ฉันเป็นคิวที่ 3 ทั้งที่มาจองคิวตั้งแต่ตี 5 คลินิกแห่งนี้เปิดบริการวันเดียวต่อปี ใช่แล้ว คุณอ่านไม่ผิดหรอก หนึ่งวันต่อปีเท่านั้น

 

ฉันได้ยินเรื่องคลินิกนี้ครั้งแรกเมื่อสามปีก่อน เพื่อนคนหนึ่งที่เคยร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวรอยู่สองสามปีเดินมาหาฉันด้วยรอยยิ้ม กูไม่ร้องไห้แล้ว มันบอกเช่นนั้นก่อนเล่าถึงคลินิกนั่น ไม่ว่าจะด้วยวิธีใดก็ตาม มันได้พ้นทุกข์ทรมานจากรักเก่าที่หลอกหลอนโดยสมบูรณ์

 

ครั้งนั้นฉันพยายามสอดส่องจ้องมองใบหน้าของเพื่อน ไม่เห็นแม้กระทั่งคอนซีลเลอร์ที่มันมักจะใช้กลบเกลื่อนรอยช้ำรอบดวงตาอันเกิดมาแต่การร้องไห้ ดวงตาและใบหน้าของมันสะอาดเอี่ยม ไม่มีคราบใด

 

ตอนนั้นฉันไม่ค่อยใส่ใจจดจำชื่อคลินิกนัก เพราะเชื่อว่าจะเติบโตและเอาชนะความทรงจำเลวร้ายได้ด้วยตนเอง

 

 

14 กุมภาพันธ์ปีนี้ ใจกลางสยามสแควร์ ฉันมายืนอยู่หน้าคลินิก ตัดสินใจแน่วแน่ว่าจะต้องรักษาให้หายขาด ทันทีที่รับบัตรคิว บรรดาผู้คนที่ถือดอกกุหลาบและคนที่มาเป็นคู่ก็พลันอันตรธานไป ฉันเห็นเพียงคนเจ็ดแปดคนที่รอคิวอยู่เท่านั้น

 

คิวที่หนึ่งใช้เวลาไม่นานนัก เพียงครึ่งชั่วโมงคิวที่สองก็เข้าไป สามชั่วโมงผ่านไปแล้วนั่นแหละ ฉันถึงจะได้พบหมอ ส่วนคิวหลังจากนั้นก็กระวนกระวายว่าจะหมดวันก่อนถึงคิวของตัวเองหรือไม่

 

 

หมอหนุ่มกว่าที่คิด ผมรองทรง สวมแว่นตาไร้กรอบ เลนส์สี่เหลี่ยมผืนผ้าสะท้อนแสงไฟในห้อง ก่อนมาที่นี่ เพื่อนเล่าว่าไม่ต้องเล่าประวัติอะไรเลย ฉันสงสัยนักว่าหมอจะรู้ได้ยังไง แต่เมื่อมาเห็นสายตาที่มองผ่านเลนส์ของหมอฉันก็รู้สึกว่าหมอกำลังแสกนทั้งร่างของฉันด้วยตาคู่นั้น

 

สาหัส ปล่อยไว้ไม่ได้ หมอมีเวลาไม่มาก คุณก็มีเวลาไม่มาก ถ้าคุณยินยอม หมอจะรักษาด้วยวิธีที่ได้ผลและรวดเร็ว แต่คุณต้องเจ็บมากหน่อย – หมอพูดรัวเร็ว

 

ฉันได้แต่พยักหน้า ไม่รู้ตัวหรอกว่าต้องเจอกับอะไร

 

 

 

ฉันนอนหงาย เปลือยอก หมอถือเครื่องมือหน้าตาประหลาด ไม่ใช่มีด ไม่ใช่เข็ม สัมผัสหยุ่นนิ่มแตะที่ลิ้นปี่ก่อนปวดแสบขณะที่หมอลากยาวขึ้นทางลำคอ ร่างกายขยับไม่ได้ เหมือนมันกลายเป็นของคนอื่น แต่ความเจ็บปวดทั้งหมดเป็นของฉัน ทั้งที่อยากหลับตา แต่ก็สั่งเปลือกตาไม่ได้สักนิด

 

หมอหยิบหัวใจของฉันออกมาจากร่าง ไม่มีเลือดเปรอะเปื้อนสักนิด และมันเต้นตุบอยู่ในมือหมออย่างสบายอารมณ์ ราวกับหมอเป็นเจ้าของมัน ไม่ใช่ฉัน

 

สองมือของหมอคลำทั่วใจของฉัน น่าจะเพื่อสำรวจตรวจโรค จากมุมนี้ฉันเห็นรอยแผลเป็นขนาดใหญ่บ้างเล็กบ้าง หมอเองก็คงสังเกตเห็นมากกว่านี้ เพราะหมอขมวดคิ้วเครียด

 

สี่ครั้ง – หมอพึมพำก่อนหันมาที่ฉัน – อย่างที่บอก คุณจะเจ็บปวดหน่อย แต่ไม่ต้องห่วง คุณจะหายดี

 

ขยับแว่นตาครั้งหนึ่งก่อนเริ่มลงมือ หมอเลาะขอบหัวใจของฉันแล้วค่อย ๆ ลอกมันออกชั้นหนึ่ง ง่ายดายเหมือนเล่นลอกขนมชั้นทีละชั้น เจ็บร้าวแล่นไปทั่วร่างฉันแต่น้ำตาไม่ไหล ชั้นที่สอง สาม และสี่ ยิ่งง่ายดายขึ้นสำหรับหมอ แต่เจ็บปวดอย่างบัดซบสำหรับฉัน ราวกับว่าฉันจะกระอักเลือดออกมาได้ทางลมหายใจ

 

ไม่รู้ทำไม ทั้งที่ควรจะสิ้นสติตั้งนานแล้วเพราะความเจ็บปวดเหลือรับนั่น แต่ฉันก็ยังคงตื่น ทุกการรับรู้แจ่มชัดกว่าปกติด้วยซ้ำ

 

หมอเก็บหัวใจของฉันกลับเข้าที่ ฉันทันเห็นว่ารอยแผลเป็นหายไปแล้ว และถ้าฉันเห็นไม่ผิด มันมีขนาดเล็กลงกว่าเดิมมาก แต่จังหวะการเต้นยังกระตือรือร้นไม่ต่างจากเดิม

 

เครื่องมือของหมอลากผ่านช่วงอกของฉันอีกครั้ง แต่ครั้งนี้กลับไม่เจ็บปวด เป็นความอบอุ่นอย่างประหลาด เหมือนได้ผิงไฟในยามหนาวบนภูเขาสูง

 

 

หมอลอกใจส่วนที่เสียหายของคุณออกไปหมดแล้ว ต่อไปก็ระมัดระวังด้วย อย่าให้ใครทำร้ายมันได้อีก วิธีการนี้ทำบ่อยไม่ได้ ใจคุณจะบางและเล็กลงเรื่อย ๆ  หวังว่าหมอจะไม่ต้องพบคุณอีกในปีหน้าและปีถัด ๆ ไปนะ ขอให้โชคดี เชิญคิวต่อไป – หมอขยับแว่นตาและยิ้มให้ฉันเป็นครั้งสุดท้าย

 

 

ฉันยืนอยู่หน้าคลินิก หลังคืนบัตรคิวให้พยาบาล คู่รักขวักไขว่ก็ปรากฏตรงหน้า ฉันไม่รู้สึกอะไรสักนิด เหมือนไม่เคยเจ็บปวดใด ๆ  ใจที่เล็กนั้นคงแคบเข้าด้วย แคบเสียจนบรรจุใครได้เพียงคนเดียวเท่านั้น

 

Photo: Daan Stevens 

 


นิชานันท์ นันทศิริศรณ์

นิชานันท์ นันทศิริศรณ์

สนใจการอ่านเขียน แต่อ่านน้อย และเขียนน้อยยิ่งกว่าอ่าน เวลาเครียดชอบล้างจาน

Comments

comments

You may also like

Leave a comment

error: