ครีษมายัน [The Summer Solstice] (1947)

 

นิค ฮัวคิน เขียน
อาทิตย์ เจียมรัตตัญญู แปล

:: คำนำผู้แปล ::

          นิค ฮัวคิน (Nick Joaquin, ค.ศ. 1917-2004) หรือนิโกเมเดส มาร์เกซ ฮัวคิน เป็นนักเขียนชาวฟิลิปิโนและศิลปินแห่งชาติฟิลิปปินส์สาขาวรรณศิลป์ ฮัวคินเกิดที่เขตปาโก (ซึ่งเขาใช้เป็นชื่อตัวละครตัวหนึ่งในนวนิยายเรื่องเอกและเป็นฉากหลังของเรื่องสั้นเรื่องนี้) ในกรุงมะนิลา พ่อเป็นนายพันในคณะปฏิวัติของชาวพื้นเมืองเพื่อปลดแอกระบอบอาณานิคมสเปนในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 19 แม่เป็นครูสอนภาษาอังกฤษและสเปน ส่วนพี่ชายคนหนึ่งเป็นนักเปียโนแจ๊ซชื่อดัง ฮัวคินเริ่มต้นเส้นทางนักเขียนตั้งแต่อายุ 17 ปี ผลงานส่วนใหญ่เขียนเป็นภาษาอังกฤษ เขาสร้างสรรค์งานเขียนบันเทิงคดีอย่างกว้างขวางทั้งนวนิยาย เรื่องสั้น กวีนิพนธ์ และบทละคร อาทิ นวนิยายเรื่อง The Woman Who had Two Navels (1962) (แปลเป็นภาษาไทยในชื่อว่า หญิงสองสะดือ โดยกิติมา อมรทัต ตีพิมพ์เมื่อ พ.ศ. 2535 โดยมูลนิธิเสฐียรโกเศศ-นาคะประทีป) หรือบทละครเรื่อง A Portrait of the Artist as Filipino (1951) ซึ่งมีการนำมาแสดงละครเวทีและดัดแปลงเป็นภาพยนตร์หลายต่อหลายครั้ง ฮัวคินยังเขียนรายงานข่าว (reportage) เหตุบ้านการเมืองในยุคเผด็จการมาร์กอสและคดีฆาตกรรมสะเทือนขวัญในนามปากกาว่า กิฮาโน เด มะนิลา (Quijano de Manila) ด้วย นอกจากนี้ ฮัวคินยังมีชื่อเสียงจากผลงานความเรียงเชิงประวัติศาสตร์จำนวนมาก อาทิ A Question of Heroes (1977) บทวิพากษ์วีรบุรุษประจำชาติสิบคนในประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์ปลายยุคสเปนและต้นยุคอเมริกัน ซึ่งเป็นข้อเขียนที่มีความหลักแหลมลุ่มลึกในทางประวัติศาสตร์นิพนธ์, The Aquinos of Tarlac: An Essay on History as Three Generations (1983) ประวัติตระกูลของเบนิกโน อากิโน วุฒิสมาชิกซึ่งถูกลอบสังหารในปลายยุคมาร์กอส, หรือ Manila, My Manila: A History for the Young (1990) ประวัติศาสตร์เมืองมะนิลาในเชิงสังคมวัฒนธรรม งานนิพนธ์ทั้งหมดนี้หนุนส่งให้ฮัวคินได้รับการยกย่องว่าเป็นนักเขียนชาวฟิลิปิโนที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20

 

         นิค ฮัวคินเป็นสหชาติร่วมปีเกิดกับเอลล่า ฟิตซ์เจอรัลด์ (Ella Fitzgerald, ค.ศ. 1917-1996) นักร้องแจ๊ซชาวแอฟริกันอเมริกันผู้ได้รับสมญานามว่า “สตรีหมายเลขหนึ่งแห่งบทเพลง” (The First Lady of Song) และวิตต์ สุทธเสถียร (ค.ศ. 1917-1989) นักเขียนนักหนังสือพิมพ์ชาวกรุงเทพฯ และอดีตนักเรียนฟิลิปปินส์ผู้ให้กำเนิดสำนวน “สะวิง” และงานเขียนประเภท “ข่าวสังคม” (social reporting) ในไทย งานเขียนชิ้นแรกของฮัวคินได้รับการตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ Tribune ซึ่งเป็นสื่อสิ่งพิมพ์ชื่อดังของฟิลิปปินส์ยุคก่อนสงครามโลกครั้งที่สองหัวเดียวกันกับที่วิตต์เคยฝึกงานด้วยเมื่อครั้งยังเป็นนักศึกษาวารสารศาสตร์ ณ มหาวิทยาลัยซานโต โทมัสในกรุงมะนิลาช่วงทศวรรษ 1940 ศิลปินทั้งสามล้วนเติบโตขึ้นโดยคลุกคลีใกล้ชิดกับมหรสพบันเทิงและวัฒนธรรมประชานิยมในเมืองสมัยใหม่ และต่างก็เป็นหมุดหมายของภาวะสมัยใหม่แบบแจ๊ซในระดับโลก (global jazz modernity)

 

          เรื่องสั้นแปลชิ้นนี้เผยแพร่ครั้งแรกเนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปีชาตกาลของนิค ฮัวคิน และในโอกาสที่วรรณกรรมของเขาปรากฏสู่โลกภาษาอังกฤษภายนอกฟิลิปปินส์ในฐานะวรรณกรรมโลกจากการตีพิมพ์รวมเรื่องสั้น The Woman Who Had Two Navels and Tales of the Tropical Gothic (2017) โดยสำนักพิมพ์เพนกวิน

 

 

 

 

🕇 🕇 🕇 🕇 🕇

 

ครอบครัวโมเรต้ากำลังจะไปเยี่ยมเยียนปู่ของเด็กๆ เนื่องในวันนักบุญจอห์นอันเป็นวันฉลองศาสนนามประจำตัวปู่ ดอนญ่าลูเป็งตื่นขึ้นอย่างอ่อนระโหยด้วยความอบอ้าวและเสียงกรีดร้องดังแว่วอยู่ในหู ส่วนเด็กชายสามคนแต่งตัวชุดวันหยุดเรียบร้อยกำลังกินมื้อเช้าอยู่ในห้องกินข้าว ครั้นเห็นดอนญ่าลูเป็งก็พากันกรูเข้ามาห้อมล้อมแล้วเอ่ยขึ้นพร้อมกัน

 

“นอนเสียนานเชียวครับแม่!”

 

“พวกหนูนึกว่าแม่จะไม่ลุกเสียแล้ว!”

 

“เราจะออกกันเลยไหมครับ? ไปกันตอนนี้เลยไหม?”

 

“เบาๆ หน่อย แม่ขอร้องล่ะ ฟังนะ พ่อปวดหัวอยู่ แม่ก็ด้วย เงียบเดี๋ยวนี้เลย ไม่งั้นจะอดไปหาปู่นะ”

 

ตอนนี้เพิ่งจะเจ็ดโมงเช้าแต่บ้านก็ร้อนระอุเป็นเตาอบ หน้าต่างปริขยายด้วยแสงจ้าจัดและอากาศก็ลุกโชนด้วยเปลวแดดร้อนผ่าว

 

หล่อนเจอพี่เลี้ยงของเด็กๆ ง่วนอยู่ในครัว “แล้วทำไมเธอถึงต้องมาเตรียมข้าวเช้าล่ะ? อามาด้าไปไหน?” แต่ไม่รอช้าเพื่อฟังคำตอบ หล่อนเดินไปเปิดประตูหลังบ้าน พลันเสียงกรีดร้องในหูก็กลายเป็นเสียงแผดคลั่งดังข้ามสนามหญ้ามาจากคอกม้า “คุณพระคุณเจ้า!” หล่อนครางแล้วจับชายกระโปรงก้าวฉับๆ ข้ามสนามไป

 

ในคอกม้า เอ็นตอยคนขับรถกำลังเทียมลูกม้าลายด่างคู่หนึ่งเข้ากับรถ แลดูไม่อินังขังขอบกับเสียงร้องนัก

 

“ไม่เอารถประทุนนะ เอ็นตอย! เอาคันเปิดประทุน!” ดอนญ่าลูเป็งแผดเสียงเมื่อเดินเข้ามา

 

“แต่มันมีฝุ่นนะขอรับคุณผู้หญิง”

 

“ฉันรู้แล้ว แต่ให้ฉันเปรอะขี้ฝุ่นยังดีกว่าต้องโดนเผาทั้งเป็น แล้วไหนเมียแกทุกข์ร้อนอะไรอีก? นี่แกตีเมียอีกแล้วใช่ไหม?”

 

“เปล่านะขอรับคุณผู้หญิง ผมยังไม่ได้แตะเนื้อต้องตัวมันเลย”

 

“แล้วทำไมแม่คุณถึงได้ร้องแรกแหกกระเชออย่างนี้เล่า? ไม่สบายรึเปล่า?”

 

“ผมว่าไม่ได้ป่วยหรอกขอรับ แต่ผมจะรู้ได้ยังไง? คุณผู้หญิงก็ไปดูเอาเองสิขอรับ มันอยู่บนนั้น”

 

พอดอนญ่าลูเป็งเข้าไปในห้องก็ต้องตกตะลึงเมื่อเห็นอามาด้านอนแผ่หลาเปลือยครึ่งท่อนอยู่บนแคร่ไม้ไผ่

 

“อะไรกัน อามาด้า? นี่ทำไมป่านนี้แล้วยังนอนกินบ้านกินเมืองอยู่บนเตียงอีก? แล้วดูสารรูปเข้าสิ ลุกขึ้นเร็วเข้า น่าอับอายจริงๆ!”

 

แต่หญิงบนแคร่เอาแต่จ้อง หน้าผากที่พราวเหงื่อย่นเข้าราวกับพยายามจะเข้าใจ แต่แล้วใบหน้าของหล่อนก็ผ่อนคลายลง ปากแสยะยิ้ม เกลือกแผ่นหลังแล้วเหยียดแข้งเหยียดขาอันอวบหยุ่น หล่อนหัวเราะตัวสั่นเทิ้มแต่ไร้เสียง ความรื่นเริงอันเงียบงันสะอึกอยู่ในลำคอ กองเนื้อเปียกชื้นหยุ่นสะท้านเหมือนก้อนวุ้นสีน้ำตาล น้ำลายไหลซึมออกสองมุมปากของหล่อน

 

ดอนญ่าลูเป็งให้รู้สึกกระดากอาย พอหันรีหันขวางมาเห็นว่าเอ็นตอยตามหล่อนมาและยืนดูอยู่ปากประตูอย่างเฉยเมย ใบหน้าหล่อนก็แดงเรื่อขึ้นอีกครั้ง ในห้องนั้นอบอ้าวคลุ้งด้วยกลิ่นอันคุ้นเคย หล่อนละสายตาจากหญิงที่หัวร่อร่าอยู่บนเตียง ความล่อนจ้อนของอามาด้าซึ่งหล่อนดูจะมีส่วนได้ส่วนเสียทำให้หล่อนอางขนางที่จะมองชายหนุ่มตรงหน้าประตูโดยตรง

 

“บอกฉันมาซิ เอ็นตอย นังอามาด้าไปที่งานตัดตารินมาใช่ไหม?”

 

“ขอรับคุณผู้หญิง ไปมาเมื่อคืนนี้”

 

“แต่ฉันบอกแล้วยังไงว่าไม่ให้ไป! และฉันก็ห้ามแกแล้วว่าอย่าปล่อยให้มันไป!”

 

“ผมก็ไม่รู้จะทำยังไงได้”

 

“ทำไมกัน? ฉันเห็นแกตบแกตีมันไม่ต้องมีข้ออ้างอะไร”

 

“แต่ตอนนี้จะแตะผมยังไม่กล้าเลยขอรับ”

 

“อ๋อเหรอ ยังไงกัน?”

 

“วันนี้วันนักบุญจอห์น วิญญาณกำลังเข้าสิงมันอยู่”

 

“แต่นี่มัน—”

 

“จริงนะขอรับคุณผู้หญิง วิญญานเข้าสิงมันเสียแล้ว ตอนนี้มันเป็นตัดตาริน มันจะทำอะไรก็ได้ตามใจอยาก ไม่ยังงั้นข้าวจะไม่ออกรวง ต้นไม้จะไม่ออกลูก น้ำท่าก็จะไม่มีปลา สิงสาราสัตว์ก็จะตายกันหมด”

 

“ตายจริง ฉันไม่ยักรู้ว่าเมียแกมีอิทธิฤทธิ์ปานนั้นเอ็นตอย”

 

“ในเวลาแบบนี้มันไม่ใช่เมียผมแล้วขอรับ มันเป็นเมียของแม่น้ำ เป็นเมียของไอ้เข้ เมียของพระจันทร์”

 

🕇 🕇 🕇 🕇 🕇

 

“แต่เขายังเชื่อเรื่องพรรค์นั้นกันอยู่ได้ยังไง?” ดอนญ่าลูเป็งถามสามีในระหว่างนั่งรถม้าเปิดประทุนผ่านท้องทุ่งชนบทย่านปาโกในทศวรรษ 1850

 

ดอนปาเอ็งลูบหนวดอย่างเซื่องซึม หลับตาพริ้มหลบแสงจ้าแล้วยักไหล่

 

“แล้วเธอต้องเห็นตาเอ็นตอย” ภรรยากล่าวต่อ “เธอก็รู้ว่าหมอนั่นทำกับเมียยังไง เมียพูดอะไรสักคำเดียวไม่ได้เลยเป็นต้องลงไม้ลงมือ แต่เมื่อเช้าตานี่ยืนม่อยกระรอกตอนที่เมียร้องกรี๊ดๆ มันดูกลัวเมียขึ้นมาจริงๆ นะเธอรู้ไหม กลัวจริงๆ!”

 

ดอนปาเอ็งปรายหางตาให้ภรรยาเป็นนัยว่าเรื่องเช่นนี้ไม่ควรจะพูดต่อหน้าเด็กๆ ซึ่งนั่งอยู่ตรงกันข้ามหันหน้ามาทางพ่อแม่

 

“ดูนั่นสิลูก นักบุญจอห์นมาแล้ว!” ดอนญ่าลูเป็งร้องพลางลุกพรวดขึ้นจากรถม้าที่แล่นโคลงเคลง หล่อนวางมือข้างหนึ่งบนไหล่ของสามีแล้วเอามืออีกข้างถือร่มผ้าไหม

 

“นั่นเขาแห่นักบุญจอห์นมากันแล้ว!” เสียงเซ็งแซ่ดังไปทั่วชนบทบริเวณ ผู้คนเนื้อตัวชุ่มโชกด้วยน้ำบ่อน้ำคูน้ำท่าต่างก็พากันหลั่งหลามข้ามป่าทุ่งร้อนระอุกันมา ต่างคนต่างถือกระป๋องน้ำสาดใส่กันเป็นโกลาหล แล้ววิ่งมายังขบวนแห่พลางตะโกนว่า “ซานฮวน! ซานฮวน!

 

กลุ่มชายฉกรรจ์นุ่งกางเกงตัวเดียวเปียกม่อลอกม่อแลกกำลังแห่พระรูปนักบุญจอห์นไปตามถนน กวนฝุ่นขึ้นฟุ้งตลบอบอวลและรับน้ำที่ฝูงชนสองข้างทางสาดใส่ด้วยความยินดี ฟันขาวฉายวาววับบนดวงหน้าสรวลระรื่น ร่างร้อนแดงผะผ่าวในยามที่เหยาะย่างผ่านไปในม่านฝุ่นอื้ออึง ประเดี๋ยวร้องเพลงประเดี๋ยวตะโกนพลางแกว่งไกวแขนแมน นักบุญจอห์นลิ่วลอยมาเหนือเศียรเกล้าของชาวบ้านที่ทอดเป็นผืนทะเลสีดำ องค์พระรูปต้องแสงอาทิตย์เที่ยงวันเป็นประกาย ทรงสิริโฉมด้วยศกสีทองแลดูห้าวหาญเยี่ยงชายชาติอหังการ พระองค์เป็นเจ้าแห่งคิมหันต์โดยแท้ เจ้าแห่งแสงสว่างและความร้อน ผ่าเผยกำยำเหนือแม่พระธรณีอันอ่อนราบคาบ ในขณะที่ศาสนิกชนระบำรำเต้นจนฝุ่นคลีคลุ้มกลุ้มขึ้นนั้น สิงสาราสัตว์ก็โก่งคอส่งเสียง แดดคลั่งโปรยปรายจากท้องฟ้าลงมายังทุ่งนาห้วยหนองกับทั้งบ้านเรือนและทางคดเคี้ยว และลงมายังขบวนคนหนุ่มหื่นหรรษ์ ซึ่งโห่ร้องประดังกับเสียงสามเณรสองรูปสวมเสื้อคลุมทะมอทะแมกำลังสวดสรรเสริญนักบุญจอห์นเทพเจ้าแห่งกลางวัน

 

          ปวงข้าวันทาซร้อง
เสาวศัพท์บรรสานเสียง
สรรเสริญเพลินจำเรียง
รสเพียงประสิทธิ์พร

 

ดอนญ่าลูเป็งยืนอยู่ใต้วงร่มบนรถม้าที่จอดนิ่ง แลดูเป็นสาวสะคราญในชุดสีขาว หล่อนจ้องลงมายังขบวนชายหนุ่มด้วยความรำคาญใจหนักขึ้น กลิ่นกายของชายเหล่านั้นโชยคละคลุ้งอยู่รอบตัวหล่อนระลอกแล้วระลอกเล่า โอบล้อมและโจมตีประสาทสัมผัสของหล่อนให้รู้สึกวิงเวียนถึงแก่ต้องใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดจมูก และเมื่อเหลือบมาเห็นสามีกำลังดูผู้คนเริงรื่นพลางยิ้มอย่างสบายอารมณ์แล้วหล่อนก็ยิ่งฉุนเป็นทวีคูณ เมื่อเขาบอกให้หล่อนนั่งลงเพราะตกเป็นเป้าสายตาของผู้คน หล่อนจึงแสร้งทำเป็นไม่ได้ยิน ซ้ำยังยืนกระเย้อกระแหย่งขึ้นอีกราวกับจะท้าทายเจ้าพวกหยาบฉกรรจ์ฝูงนั้นที่กำลังอวดโอ่ความเป็นชายชาตรีอยู่กลางแดดอย่างไรอย่างนั้น

 

แล้วหล่อนก็นึกสงสัยขึ้นมาตะหงิดๆ ว่าเจ้าหนุ่มพวกนั้นจะเผยอผยองอันใดปานนั้น? เพราะความลำพอง ความภาคภูมิ ความเหิมเห่อของพวกเขาก็ (หล่อนบอกตัวเอง) อยู่ได้ด้วยคุณธรรมค้ำจุนของแม่บ้านแม่เรือนมาไม่รู้กี่รุ่นต่อกี่รุ่น ตาพวกทึ่มมั่นใจในตัวเองได้ขนาดนี้ก็เพราะมั่นใจในเมียตัวเองเสมอมานั่นปะไร แม่ผู้หญิงก็แสนดี พ่อผู้ชายก็แสนหาญ หล่อนคิดด้วยความขุ่นข้องที่หล่อนก็แปลกใจอยู่ครันๆ หญิงเป็นผู้สร้างสง่าราศีเช่นนั้นของชาย อา! แต่หญิงก็ทำลายมันได้เช่นกัน! หล่อนหวนนึกถึงเหตุการณ์ที่คอกม้าเมื่อเช้าด้วยความเคืองแค้น อามาด้าเปลือยกายกรีดร้องในขณะที่เจ้าผัวยืนซึมกะทือดูอยู่ และก็มิใช่อำนาจเร้นลับของสตรีมีระดูดอกหรือที่คืนสุ้มเสียงให้แก่ประกาศกฮิบรูผู้ชรา?

 

“นี่ ลูเป็ง ขบวนแห่เลยไปหมดแล้ว” ดอนปาเอ็งเอ่ยขึ้น “ใจคอจะยืนไปตลอดทางเลยรึยังไง?”

 

หล่อนหันมาหน้าตาตื่นแล้วนั่งลงอย่างรวดเร็ว เด็กๆ พากันหัวเราะคิกคักแล้วรถม้าก็เคลื่อนตัว

 

“ร้อนจนสติสตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวหรือแม่คุณ?” ดอนปาเอ็งยิ้มกริ่มถาม เด็กๆ หัวเราะครืนหมดกลั้น

 

ดอนญ่าลูเป็งก้มหน้าก้มตาเรื่อแดง หล่อนเริ่มกระดากอายกับความคิดที่เข้าครอบงำจิตใจเมื่อครู่ ช่างเป็นความคิดที่ดูไม่เหมาะไม่ควรจนเกือบจะอุจาด เมื่อหยั่งความบัดสีบัดเถลิงในตัวเองได้เช่นนั้นหล่อนก็ให้รู้สึกใจหาย หล่อนเขยิบเข้ามาใกล้สามีเพื่อแบ่งร่มด้วยกัน

 

“เมื่อกี้เธอเห็นกิโด้ลูกพี่ลูกน้องฉันรึเปล่า?” ดอนปาเอ็งถาม

 

“อ้าว กิโด้อยู่ในขบวนด้วยรึ?”

 

“แกไปร่ำไปเรียนมาจากยุโรปก็ไม่ได้ทิ้งนิสัยลูกทุ่งรักสนุกเลย”

 

“ฉันไม่เห็นแกเลย”

 

“แกโบกมือแล้วโบกมืออีก”

 

“พ่อเจ้าประคุณ คงเสียใจแย่เลยกระมัง แต่ฉันไม่เห็นจริงๆ นะปาเอ็ง”

 

“ผู้หญิงก็มีอภิสิทธิ์อย่างนี้เสมอแหละ”

 

 

🕇 🕇 🕇 🕇 🕇

 

แต่เมื่อพบกิโด้ชายหนุ่มแต่งตัวเรียบร้อยหวีผมพรมน้ำหอมฟุ้งที่บ้านปู่ในตอนบ่าย ดอนญ่าลูเป็งก็มีกิริยาท่าทีอ่อนหวานสนิทสนมกับเขา จนกิโด้หลงใหลจ้องหล่อนไม่วางตาตลอดทั้งบ่าย

 

ในช่วงนี้เป็นยุคที่หนุ่มฟิลิปิโนไปยุโรปแล้วกลับมาพร้อมกับไบรอนมิใช่ควีนวิกตอเรีย กิโด้ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับดาร์วินหรือทฤษฎีวิวัฒนาการ แต่รู้ทุกอย่างเกี่ยวกับนโปเลียนและการปฏิวัติ เมื่อดอนญ่าลูเป็งแสดงความประหลาดใจที่กิโด้ร่วมอยู่ในขบวนแห่นักบุญจอห์นเมื่อเช้าด้วย เขาก็หัวเราะกับหล่อน

 

“แต่ผมนิยมชมชอบเทศกาลเก่าๆ แบบนี้ของเรา! ช่างโรแมนติกเหลือเกิน! คุณรู้ไหมเมื่อคืนเราเดินเข้าไปในป่า ผมกับพวกหนุ่มๆ ไปดูเขาแห่ตัดตารินกัน”

 

“โรแมนติกด้วยไหมเล่านั่น?” ดอนญ่าลูเป็งถาม

 

ประหลาดมากคุณ เล่นเอาผมขนลุก ผู้หญิงพวกนั้นทุรนทุรายบ้าคลั่งกันใหญ่เลย! แล้วคนที่เป็นตัดตารินเมื่อคืน ยังกะนักเต้นฟลาเมงโก้ยังไงยังงั้นแน่ะ”

 

“ขอโทษที่ฉันต้องขัดคอนะกิโด้ แต่ผู้หญิงคนนั้นเป็นแม่ครัวบ้านเราเอง”

 

“สวยอยู่นะ”

 

“อามาด้าน่ะหรือสวย? ทั้งแก่ทั้งอ้วน!”

 

“สวยเหมือนกับไม้แก่ที่คุณยืนพิงอยู่ นั่นแหละสวย” กิโด้ยืนยันอย่างเยือกเย็นและล้อเลียนหล่อนด้วยสายตา

 

เขาและหล่อนอยู่ในสวนผลไม้ร่มครึ้มท่ามกลางมะม่วงสุกสล้าง ดอนญ่าลูเป็งนั่งพับเพียบบนผืนหญ้า ส่วนชายหนุ่มนอนพังพาบจ้องไปยังดวงหน้าชุ่มเหงื่อของหล่อน เด็กๆ กำลังวิ่งไล่แมลงปอ ดวงอาทิตย์ฉายนิ่งอยู่ทางทิศตะวันตก วันอันแสนยาวนานไม่ยอมที่จะจบลงง่ายๆ เสียงหัวเราะดังลั่นมาจากวงไพ่ในตัวบ้าน

 

“คำก็งดงาม! สองคำก็โรแมนติก! น่าเทิดทูนหลงใหล! นี่คุณไปร่ำไปเรียนแต่คำพวกนี้มาจากยุโรปรึยังไง?” ดอนญ่าลูเป็งร้องถามขึ้นด้วยความรำคาญใจกับชายหนุ่ม ซึ่งประเดี๋ยวก็มองหล่อนด้วยความหลงใหล แต่อีกประเดี๋ยวก็มองด้วยความขบขัน

 

“ก็—ผมก็เรียนที่จะเปิดหูเปิดตาด้วยตอนอยู่ที่โน่น จะได้เห็นความศักดิ์สิทธิ์และเร้นลับของสิ่งสาธารณ์”

 

“แล้วอย่าง—อย่างตัดตารินนี่มันศักดิ์สิทธิ์และเร้นลับยังไง?”

 

“ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ผมเพียงแต่รู้สึกได้แล้วก็นึกกลัวขึ้นมา คุณคิดดูสิว่าพิธีกรรมพวกนี้ตกทอดมาถึงเราตั้งแต่รุ่งอรุณแรกสุดของโลกโน่นแน่ะ แล้วคนสำคัญในพิธีก็ไม่ใช่ผู้ชายแต่เป็นผู้หญิง”

 

“แต่แม่ผู้หญิงพวกนั้นเขาทำพิธียกย่องนักบุญจอห์นกันนะ”

 

“นักบุญจอห์นของคุณเกี่ยวอะไรกับตัดตารินเล่า? ผู้หญิงพวกนั้นเขาบูชาเทพเจ้าที่โบราณกว่านั้นต่างหาก คุณรู้ไหมว่าผู้ชายเข้าพิธีไม่ได้เลยถ้าไม่ใส่เสื้อผ้าบางชิ้นของผู้หญิงเสียก่อน และ—”

 

“แล้วคุณล่ะใส่อะไร?”

 

“แหม คุณนี่ไวจัง ผมก็ไปก้อร่อก้อติกกับยายแก่ฟันหลอคนหนึ่งจนแกยอมถอดถุงน่องให้ผม เสร็จแล้วผมก็เอาถุงน่องใส่แขนเหมือนกับถุงมือนั่นแหละ ถ้าสามีคุณรู้คงจะรังเกียจผมน่าดู!”

 

“แล้วมันแปลว่าอะไรเล่าทำยังงั้น?”

 

“ผมว่าก็เพื่อเตือนพวกผู้ชายเราๆ ว่ากาลครั้งหนึ่งพวกผู้หญิงอย่างคุณนั้นเป็นใหญ่ ส่วนเราเป็นแค่ข้าทาส”

 

“แต่ที่ผ่านมาก็มีแต่กษัตริย์ไม่ใช่รึ?”

 

“ไม่ใช่หรอกคุณ ราชินีมีมาก่อนกษัตริย์ นักบวชหญิงมีมาก่อนนักบวชชาย ส่วนดวงจันทร์ก็มีมาก่อนดวงอาทิตย์”

 

“ดวงจันทร์?”

 

“—เทพเจ้าแห่งหญิงทั้งปวงยังไงล่ะ”

 

“ทำไมล่ะ?”

 

“เพราะประจำเดือนของผู้หญิงก็คือกระแสขึ้นลงของดวงจันทร์เหมือนกระแสน้ำขึ้นลงในท้องทะเล เพราะเลือดพรหมจารี—ทำไมหรอ ลูเป้? อุ๊ย ผมพูดผิดหูไปรึเปล่า?”

 

“ที่ยุโรปเขาคุยกับสุภาพสตรีกันแบบนี้รึเนี่ย?”

 

“เขาไม่คุยกับผู้หญิงกันหรอก เขาสวดมนต์ถึงต่างหาก เหมือนอย่างที่ผู้ชายทำตอนกำเนิดโลกนั่นแน่ะ”

 

“นี่ตาบ้า! บ้าจริงๆ!”

 

“กลัวอะไรเล่า ลูเป้?”

 

“ฉันน่ะรึกลัว? กลัวใคร? พ่อหนุ่มปากยังไม่สิ้นกลิ่นน้ำนม อย่าลืมนะว่าฉันเป็นผู้หญิงมีลูกมีสามีแล้ว”

 

“ผมไม่ลืมหรอกว่าคุณเป็นผู้หญิง แถมเป็นผู้หญิงสวยเสียด้วย ก็แล้วทำไมจะไม่ใช่เล่า? เอ หรือว่าพอแต่งงานคุณก็กลายเป็นปีศาจร้ายไปเสียแล้ว? คุณหยุดเป็นผู้หญิงรึเปล่า? หยุดสวยรึเปล่า? แล้วทำไมสายตาของผมถึงไม่ควรจะบอกล่ะว่าคุณเป็นยังไง เพียงเพราะคุณแต่งงานแล้วเท่านั้นน่ะรึ?”

 

“โอ๊ย ไปกันใหญ่แล้ว!” ดอนญ่าลูเป็งร้องขึ้นแล้วผุดลุกขึ้นยืน

 

“อย่าเพิ่งไป ผมขอร้องล่ะ สงสารผมเถอะ!”

 

“พอกันทีกับปาหี่ของเธอ กิโด้—แล้วนี่เด็กๆ ไปไหนกันแล้ว! ฉันต้องไปตามแล้ว”

 

ขณะที่หล่อนยกชายกระโปรงกำลังจะเดินหนีไป ชายหนุ่มก็ยันข้อศอกเสือกกายไปกับพื้นข้างหน้าแล้วบรรจงจูบปลายรองเท้าหล่อน หล่อนจ้องมองลงมาด้วยความหวาดหวั่นและตะลึงงัน จนเขารู้สึกได้ว่ากายหล่อนสั่นเทารุนแรง หล่อนถอนกายออกช้าๆ ดวงตายังคงจดจ้องที่เขา จากนั้นจึงหันหลังวิ่งหนีกลับไปยังตัวบ้าน

 

🕇 🕇 🕇 🕇 🕇

 

ขากลับในค่ำวันนั้นดอนปาเอ็งสังเกตว่าภรรยาอารมณ์ไม่สู้จะดีนัก เขากับหล่อนนั่งอยู่เพียงลำพังบนรถม้า ส่วนเด็กๆ อยู่ค้างคืนกับปู่ ความร้อนอบอ้าวยังมิได้โรยรา เป็นความร้อนที่ไม่มีแผ่วมีจ้า ไม่รู้กลางวันกลางคืน ร้อนอยู่อย่างนั้นแม้เมื่อดวงอาทิตย์ตกดินแล้ว และร้อนรอท่าอยู่อย่างนั้นจวบจนดวงอาทิตย์ขึ้น

 

“พ่อกิโด้ได้กวนใจอะไรเธอรึเปล่า?” ดอนปาเอ็งถาม

 

“ใช่น่ะสิ! ตลอดทั้งบ่าย”

 

“พวกหนุ่มสมัยนี้ น่าอดสูเสียนี่กระไร! ผู้ชายอย่างฉันรู้สึกอับอายเหลือเกินที่ต้องเห็นกิโด้ตามจับจ้องเธอต้อยๆ ยังกะหมาล่าเนื้อ”

 

หล่อนค้อนเขาอย่างเยือกเย็น “แล้วเธอรู้สึกรู้สาแค่นั้นรึปาเอ็ง? อับอาย—ในฐานะผู้ชาย?”

 

“สามีที่ดีย่อมวางใจในมโนธรรมของภรรยา” เขากล่าวขึ้นด้วยท่าทีผึ่งผายและยิ้มให้หล่อน

 

ทว่าหล่อนผละจากเขาและซุกอยู่ที่อีกมุมหนึ่งของรถ “แกจูบเท้าฉัน” หล่อนบอกเขาด้วยน้ำเสียงเหยียดหยัน ดวงตาจับจ้องที่ใบหน้าเขา

 

เขาขมวดคิ้วแล้วทำท่าทางรังเกียจ “เห็นไหมเล่า? ไอ้หนุ่มพวกนี้มีสัญชาตญาณต่ำช้า! จูบเท้าผู้หญิงยังงี้ ตามผู้หญิงไปเหมือนหมายังงี้ เทินทูนผู้หญิงเหมือนทาสยังงี้—”

 

“มันน่าอายนักหรือที่จะเทิดทูนผู้หญิงน่ะ?”

 

“สุภาพบุรุษเขารักและเคารพผู้หญิง แต่พวกถ่อยสถุลกะพวกฟั่นเฟือนน่ะ ‘เทิดทูน’ ผู้หญิง”

 

“บางทีผู้หญิงอาจจะไม่ได้อยากให้ใครมาเคารพรักก็ได้นะ—แต่เป็นที่เทิดทูนบูชาแทน”

 

ทว่าเมื่อทั้งคู่ถึงบ้าน หล่อนก็มิได้ล้มตัวลงนอนแต่เดินเอื่อยเฉื่อยไปมาอยู่ในบ้านอันว่างเปล่า เมื่อดอนปาเอ็งอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าและลงมาจากห้องนอน เขาก็เห็นหล่อนนั่งดีดฮาร์ปอยู่ในห้องรับแขกท่ามกลางความมืด เสื้อผ้าและรองเท้ายังเป็นชุดขาวชุดเดิม

 

“ทนใส่ชุดร้อนๆ นั่นไปได้ยังไงลูเป็ง? แล้วทำไมมาอยู่มืดๆ ยังงี้? ให้ใครจุดตะเกียงเข้ามาสิ”

 

“ไม่มีใครอยู่บ้านเลย ไปดูตัดตารินกันหมด”

 

“เลี้ยงเสียข้าวสุกจริงๆ พวกนี้!”

 

หล่อนลุกขึ้นเดินไปที่หน้าต่าง เขาเดินตามไปยืนข้างๆ จับข้อศอกหล่อนทั้งสองข้างแล้วโน้มตัวลงจูบที่ต้นคอของหล่อน แต่หล่อนยืนนิ่งไม่มีทีท่าใดๆ เขาจึงผละจากหล่อนอย่างขุ่นเคืองอารมณ์ หล่อนหันหน้ามาหาเขา

 

“ฟังนะปาเอ็ง ฉันก็อยากจะไปดูเหมือนกันตัดตารินน่ะ ไม่ได้เห็นมาตั้งแต่ฉันยังเป็นเด็กๆ แล้ว คืนนี้ก็เป็นคืนสุดท้ายแล้วด้วย”

 

“บ้าเรอะ! มีแต่คนชั้นต่ำที่ไป แล้วฉันก็นึกว่าเธอปวดหัวอยู่มิใช่รึ?” เขายังพูดจาเกี่ยงงอน

 

“แต่ฉันอยากไปนี่นา! แล้วยิ่งอยู่ในบ้านก็ยิ่งปวดหัวด้วย ขอร้องล่ะปาเอ็ง”

 

“ฉันบอกแล้วไงว่าไม่! ไปเปลี่ยนชุดเดี๋ยวนี้ อะไรเข้าสิงเธอเนี่ยแม่คุณ!” เขาก้าวฉับๆ ไปยังโต๊ะและหยิบซิการ์มวนหนึ่งขึ้นมาจากกล่องแล้วกระแทกฝาปิด จากนั้นก็คาบที่ปลายด้านหนึ่งแล้วจุดไฟ

 

หล่อนยังคงยืนเชิดหน้าอยู่ข้างหน้าต่าง “ดีเหมือนกัน ถ้าเธอไม่อยากไปก็ไม่ต้องไป—แต่ฉันจะไป”

 

“ฉันเตือนแล้วนะลูเป้ อย่ายั่วโมโหฉัน!”

 

“ฉันจะไปกับอามาด้า ให้เอ็นตอยพาไปก็ได้ เธอห้ามฉันไม่ได้หรอกปาเอ็ง ไม่เห็นจะมีอะไรเสียหาย ฉันก็ไม่ใช่เด็กๆ แล้วด้วย”

 

ทว่าหล่อนซึ่งยืนระเหิดระหงในชุดขาว ใบหน้าเชิดและตาเป็นประกายในความมืดนั้นแลดูอ่อนเยาว์แบบบางอย่างยิ่งจนเขาให้รู้สึกหวั่นไหว เขาถอนหายใจ ยิ้มอย่างละห้อยแล้วยักไหล่

 

“เอาล่ะ อากาศร้อนคงทำเธอปวดหัวน่ะลูเป็ง ในเมื่อเธอตั้งใจขนาดนี้ก็ไปกันเถอะ มาเร็ว ให้เขาเตรียมรถม้าให้พร้อม!”

 

 

🕇 🕇 🕇 🕇 🕇

 

พิธีตัดตารินนั้นฉลองกันทั้งสิ้นสามวัน คือวันนักบุญจอห์นวันหนึ่งและอีกสองวันก่อนหน้านั้น คืนแรกใช้หญิงสาวเป็นผู้แห่นำขบวน คืนที่สองใช้หญิงแม่แปรกวัยกลางคน ส่วนคืนสุดท้ายใช้หญิงชราตายแล้วฟื้น ในขบวนแห่นั้นทุกคนล้วนเต้นรำเหมือนขบวนแห่ที่ปากิลและโอบันโด

 

รถม้าแล่นเรื่อยเฉื่อยเป็นแถวรายรอบลานเล็กหน้าโบสถ์น้อยประจำหมู่บ้าน สองสามีภรรยาโมเรต้าได้ยินเสียงร้องเรียกทักทายจากรถม้าคันอื่นๆ อยู่มิได้ขาด ตัวลานและทางเท้าคลาคล่ำไปด้วยผู้คนเตร็ดเตร่สนทนากันจนเหงื่อไหลไคลย้อย บ้างก็ยืนขลุกขลุ่ยกันตามระเบียงและหน้าต่างบ้าน พระจันทร์ยังไม่ปรากฏให้เห็น ราตรีมืดดำเหมือนควันกรุ่นกลุ้ม ฟ้าแลบเรืองขึ้นเป็นกิ่งก้านสาขาบนท้องฟ้าสงัดลม แลดูราวกับเส้นประสาทของอากาศไหวระริกด้วยทรมาน

 

“มากันแล้ว!” ผู้คนบนระเบียงตะโกนขึ้น

 

“พวกผู้หญิงแห่นักบุญจอห์นมากันแล้ว!” เสียงร้องดังขึ้นจากผู้คนบนทางเท้าซึ่งล้นมาบนถนน บรรดารถม้าจอดให้เจ้าของลง ลานเล็กนั้นเซ็งแซ่ไปด้วยเสียงตะโกนของคนกับเสียงร้องของม้า และอีกเสียงหนึ่งซึ่งกระหึ่มยิ่งกว่า นั่นคือเสียงของคลื่นมหาชนดังใกล้เข้ามาทุกขณะ

 

ฝูงชนพากันแหวกเป็นทาง ในขบวนแห่ที่ดำเนินมาตามถนนนั้นล้วนแล้วแต่ผู้หญิงนัยน์ตาดุดันคลุมไหล่ด้วยผ้าสีดำพลิ้วสะบัด เส้นผมยาวสยายปกด้วยดอกไม้ใบไม้ พวกหล่อนก้าวย่างพลางกรีดร้องชักดิ้นชักงอ แต่หญิงชราร่างเล็กผมหงอกโพลนซึ่งเป็นตัดตารินนั้นเดินมาอย่างสุขุมผึ่งผายท่ามกลางความสับสนอลหม่านของหญิงทั้งหลาย มือหล่อนข้างหนึ่งถือไม้เท้า อีกข้างหนึ่งถือกำต้นกล้า ด้านหลังหญิงชรามีเด็กสาวกลุ่มหนึ่งชูพระรูปนักบุญจอห์นบัพติศมาสีดำองค์เล็กๆ ทำด้วยฝีมือหยาบ ทรวดทรงวิปลาสและเก่าคร่ำคร่า ดวงเนตรกลมโตอยู่ในเศียรที่ใหญ่ไม่สมกับขนาดร่างอันบอบบางเปล่าเปลือย พระรูปนักบุญสะเทิ้นสะท้านมาเหนือฝูงสตรีคุ้มดีคุ้มร้ายชวนให้ขบขันและเวทนา จนดอนปาเอ็งซึ่งยืนดูอยู่กับภรรยาบนทางเท้านั้นรู้สึกขุ่นเคืองขึ้นมา พระรูปนั้นดูราวกับกำลังโอดครวญขอความช่วยเหลือและดิ้นหนีอย่างไรอย่างนั้น—เป็นนักบุญจอห์นในเงื้อมมือของเฮโรเดียสโดยแท้ เป็นเชลยชะตาขาดให้นางแม่มดพวกนี้หัวเราะเยาะเย้ย และเป็นรูปทารุณอัปลักษณ์ที่เจาะจงล้อเพศของพระองค์

 

ดอนปาเอ็งหน้าแดงก่ำ เขารู้สึกเหมือนผู้หญิงพวกนั้นทุกคนกำลังดูถูกตัวเขาอยู่ เขาหันไปหาภรรยาเพื่อจะพาหล่อนออกไป แต่หล่อนกำลังจับจ้องอยู่อย่างไม่วางตา ตัวเกร็งจนแทบจะหยุดหายใจ หล่อนยื่นศีรษะไปข้างหน้านัยน์ตาเบิกโพลง ปากค้างแลเห็นฟันเปลือยเปล่า เหงื่อโชกอยู่เต็มใบหน้า ดอนปาเอ็งให้รู้สึกหวาดกลัวขึ้นทันใด เขาจับแขนหล่อน แต่ทันใดนั้นฟ้าก็แลบปลาบขึ้นครั้งหนึ่งและบรรดาหญิงที่ร้องโหยหวนอยู่นั้นก็เงียบเสียงลง ตัดตารินกำลังจะตาย

 

หญิงชราหลับตาค้อมหัวและค่อยๆ คุกเข่าลง มีคนยกเสื่อฟางมาวางลงบนพื้นให้หล่อนนอนแล้วเอาผ้าคลุมหน้าหล่อน มือของหญิงชรายังคงกุมไม้และต้นกล้า พวกผู้หญิงพากันถอยเปิดที่โล่งให้หล่อน แล้วยกผ้าดำขึ้นคลุมศีรษะพร้อมกับร้องไห้คร่ำครวญเบาๆ ฟังดูเหมือนมิใช่เสียงมนุษย์มนาแต่เป็นเสียงสะอื้นของส่ำสัตว์

 

ท้องฟ้าเบื้องบนสว่างวาบขึ้น แสงสีเงินแรขอบหลังคาบ้าน ครั้นดวงจันทร์ปรากฏขึ้นและสาดส่องฝูงชน ณ ลานเบื้องล่างด้วยรัศมีผ่าวร้อน บรรดาหญิงคลุมผ้าสีดำก็หยุดคร่ำครวญ หญิงสาวคนหนึ่งเดินเข้าไปหาตัดตารินและเปิดผ้าคลุมหน้าออก ตัดตารินลืมตาและลุกขึ้นนั่งเงยหน้ารับแสงจันทร์ หล่อนลุกขึ้นยืนและเหยียดแขนยื่นไม้และต้นกล้าออกไป พวกผู้หญิงโห่ร้องกันสนั่นหวั่นไหว ต่างคนต่างถอดผ้าคลุมศีรษะออกโบกโบยแล้วขยับเต้นอีกครั้ง เต้นรำสำเริงสำรวลกันอย่างไม่บันยะบันยังจนกระทั่งผู้คนบนลานและทางเท้ากับทั้งพวกที่อยู่บนระเบียงบ้านก็พากันเต้นรำและหัวเราะไปด้วยกัน เด็กผู้หญิงผละจากพ่อแม่ส่วนภรรยาก็ผละจากสามีเพื่อเข้าร่วมวงนาฏกรรม

 

“ไปกันได้แล้วล่ะ” ดอนปาเอ็งกล่าวแก่ดอนญ่าลูเป็ง ร่างของหล่อนกำลังสั่นเทิ้มด้วยความอัศจรรย์ใจ หยาดน้ำตาไหวระริกที่ขนตา แต่หล่อนก็พยักหน้ารับและให้สามีจูงออกไปแต่โดยดี ทว่าทันใดนั้นหล่อนก็ดึงแขนออกเป็นอิสระจากสามีแล้ววิ่งตรงเข้าไปยังกลุ่มผู้หญิงที่โลดเต้นกันอยู่

 

หล่อนเหวี่ยงแขนขึ้นคลายเผ้าผมแล้วเท้าสะเอว จากนั้นก็สะดุดเท้าเป็นจังหวะว่องไวในลีลาแบบพื้นบ้าน หล่อนเอนศีรษะไปข้างหลังจนคอโก่งขึ้นขาวซีด ดวงตาเอิบอาบด้วยแสงจันทร์ส่วนปากก็เปล่งเสียงหัวเราะร่า

 

ดอนปาเอ็งวิ่งตามหล่อนไปพลางร้องเรียกชื่อลูเป็ง แต่หล่อนกลับส่ายหน้าหัวร่อแล้วพุ่งถลันเข้าไปในขบวนแห่ลึกยิ่งขึ้นอีก ขบวนเคลื่อนตัวอีกครั้งไปยังโบสถ์น้อย เขายังวิ่งตามหล่อนไปพลางตะโกนเรียกแต่หล่อนก็หนีเขาไปได้—พบแล้วพลัด พบแล้วพลัดอยู่ครั้งแล้วครั้งเล่าในฝูงหญิงแน่นขนัด—หล่อนเต้นรำในขณะที่เขาวิ่งตามจนทั้งคู่ถูกคลื่นมหาชนพัดพากลืนเข้าไปในตัวโบสถ์ที่มืดอบอ้าวและเบียดเสียดเยียดยัด ขบวนแห่หลั่งไหลเข้ามาในตัวโบสถ์จนหมด ดอนปาเอ็งติดอยู่ในท่ามกลางผู้หญิงที่ยัดทะนานอยู่นั้น เขาพยายามแหวกฝูงชนเพื่อหาทางออกด้วยความตื่นตระหนก เสียงกราดเกรี้ยวดังขึ้นรอบตัวเขาในความมืด

 

“โอ๊ย อย่าเหยียบเท้าฉัน!”

 

“ปล่อยผ้าคลุมฉัน ปล่อย!”

 

“อย่าดันสิ นังหน้าด้าน เดี๋ยวแม่ถีบเลย!”

 

“หลบหน่อย หลบหน่อย อีพวกนี้!” ดอนปาเอ็งร้องขึ้น

 

“อ้าว ผู้ชายนี่!”

 

“กล้าดียังไงเข้ามาในนี้?”

 

“ตีหัวแตกเลย!”

 

“ไล่เจ้างั่งนั่นไปให้พ้น!”

 

“ไล่ออกไป! ไล่ออกไป!” พวกผู้หญิงส่งเสียงกรีดร้อง ดอนปาเอ็งพบว่าตัวเองถูกล้อมรอบไปด้วยประกายสายตาในความมืด

 

ความหวาดกลัวเข้าครอบงำดอนปาเอ็งจนเขาต้องเหวี่ยงหมัดอย่างสะเปะสะปะบ้าคลั่งสุดแรงเกิด แต่พวกผู้หญิงก็ดันกันเข้ามาอย่างบ้าคลั่งไม่แพ้กัน กลายเป็นกำแพงมนุษย์ที่บดเบียดเขาจนกระดิกกระเดี้ยไม่ได้ ในขณะเดียวกันมือที่มองไม่เห็นก็ฟาดเข้าที่หน้าดอนปาเอ็งครั้งแล้วครั้งเล่า ทึ้งผมบ้าง ดึงเสื้อผ้าบ้าง จิกข่วนเนื้อตัวบ้าง เขาถูกถีบและทุบตีจนตาแทบบอดและปากก็เค็มปร่าไปด้วยเลือด เมื่อเขาทรุดร่วงลงไปพวกนั้นก็กึ่งเข็นกึ่งลากเขาไปที่ประตูและกลิ้งร่างเขาออกไปยังถนน เขาลุกยืนขึ้นทันทีและเดินจากไปอย่างทระนงจนฝูงชนที่รวมตัวกันอยู่ข้างนอกนั้นไม่กล้าหัวเราะหรือนึกสมเพช เอ็นตอยวิ่งมาหาเขา

 

“เกิดอะไรขึ้นขอรับนายท่าน?”

 

“ไม่มีอะไร รถม้าจอดอยู่ไหน?”

 

“อยู่แค่ตรงโน้นขอรับ แต่หน้านายท่านมีแผลเต็มไปหมด”

 

“เปล่าหรอก แค่รอยถลอกน่ะ ไปตามคุณผู้หญิงมาเร็ว กลับบ้านกันได้แล้ว”

 

ครั้นหล่อนขึ้นรถและเห็นใบหน้าฟกช้ำและเสื้อผ้ากะรุ่งกะริ่งของเขา หล่อนก็ยิ้มอย่างเยือกเย็น

 

“หน้าตาเนื้อตัวดูไม่ได้เลยเธอเอ๋ย! ไปทำอะไรมานั่นน่ะ?”

 

และเมื่อเขาไม่ได้ตอบอะไร หล่อนก็เอ่ยขึ้นอีกว่า “ทำไม พวกนั้นตัดลิ้นเธอด้วยรึ?”

 

🕇 🕇 🕇 🕇 🕇

 

เมื่อเขาและหล่อนถึงบ้านและยืนเผชิญหน้ากันในห้องนอน หล่อนก็ยังคงอารมณ์ดี

 

“เธอจะทำอะไรน่ะ ราปาเอล?”

 

“ฉันจะเฆี่ยนเธอ”

 

“ทำไมเล่า?”

 

“เพราะคืนนี้เธอทำตัวเหมือนผู้หญิงต่ำๆ”

 

“คืนนี้ฉันก็เป็นตัวของตัวเอง ถ้าเธอหาว่าฉันต่ำ ฉันก็คงเป็นผู้หญิงต่ำๆ ตลอดมา เธอจะเฆี่ยนฉันก็คงไม่ช่วยแก้ไขอะไร ต่อให้เฆี่ยนให้ตายก็เถอะ”

 

“ฉันอยากให้ความบ้านี้มันหมดสิ้นจากตัวเธอ”

 

“ไม่หรอก เธออยากให้ฉันชดใช้ให้รอยแผลเธอมากกว่า”

 

เขาหน้าแดงก่ำขึ้น “เธอพูดยังงั้นได้ยังไง ลูเป้?”

 

“ก็จริงน่ะสิ เธอโดนผู้หญิงพวกนั้นเฆี่ยน คราวนี้เธอก็เลยจะเฆี่ยนฉันแก้แค้นบ้าง”

 

ดอนปาเอ็งห่อไหล่ใบหน้าสลดลง “เธอกล้าคิดกับฉันขนาดนั้นเชียว”

 

“เธอยังคิดว่าฉันเป็นผู้หญิงต่ำได้เลย!”

 

“โธ่ ฉันจะไปรู้ได้ยังไงว่าจะคิดกับเธอยังไงดี? ฉันเคยคิดว่าฉันรู้จักเธอดีเหมือนที่รู้จักตัวเอง แต่ตอนนี้เธอทั้งแปลกทั้งห่างเหินยังกะผู้หญิงเติร์กในแอฟริกายังไงยังงั้น”

 

“แต่เธอก็ยังจะกล้าเฆี่ยนฉัน”

 

“ก็เพราะฉันรักเธอ เคารพเธอน่ะสิ”

 

“และเพราะถ้าเธอเลิกเคารพฉัน เธอก็เลิกเคารพตัวเองล่ะสิใช่ไหม?”

 

“อา! ฉันไม่ได้พูดยังงั้นสักหน่อย!”

 

“แล้วทำไมไม่พูดล่ะ? ก็มันจริงน่ะสิ แล้วเธอก็อยากจะพูดยังงั้นด้วย เธออยากพูด!”

 

แต่เขายักไหล่โต้ตอบความกราดเกรี้ยวของหล่อน “ทำไมฉันถึงจะอยากล่ะ?” เขาถามอย่างฉุนเฉียว

 

“ก็เพราะถ้าเธอไม่พูดออกมา เธอก็คงต้องเฆี่ยนฉันยังไงล่ะ” หล่อนค่อนแคะ

 

ดวงตาหล่อนยังจับจ้องอยู่ที่เขา ความกลัวความอายอย่างที่ได้ปลดเปลื้องความเป็นชายชาตรีของเขาในโบสถ์น้อยได้หวนคืนมาอีกครั้ง ตอนนั้นขาเขาอ่อนปวกเปียกและเจ็บปวดรวดร้าวอย่างร้ายกาจจนยืนไม่อยู่

 

แต่หล่อนรอให้เขาพูด กดดันให้เขาพูด

 

“ไม่หรอก ฉันเฆี่ยนเธอไม่ได้!” เขาสารภาพอย่างเศร้าสร้อย

 

“งั้นก็พูดสิ! พูดออกมาสิ!” หล่อนร้องพลางทุบกำปั้นเข้าด้วยกัน “ทำไมต้องทนทุกข์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า? แล้วในที่สุดก็ต้องยอมอยู่ดี”

 

แต่เขายังคงดึงดัน “นี่เธอทำฉันหมดทางสู้แล้วยังไม่พอรึไง? ฉันรู้สึกอย่างที่เธออยากให้รู้สึกแล้วยังไม่พออีกรึ ลูเป้?”

 

แต่หล่อนส่ายศีรษะอย่างฉุนเฉียว “เราคงอยู่กันอย่างสงบสุขไม่ได้ ถ้าเธอยังไม่พูดคำนั้นกับฉัน”

 

ในที่สุดเขาก็หมดเรี่ยวแรง เขาทรุดตัวลงคุกเข่าหายใจแรงเหงื่อไหลอาบ ร่างสง่าของเขาบัดนี้อ่อนเปลี้ยอยู่ในเสื้อผ้ากะรุ่งกะริ่ง

 

“ฉันเทิดทูนเธอ ลูเป้” เขาพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ

 

หล่อนโน้มตัวมาข้างหน้าอย่างกระหาย “ว่ายังไงนะ? เธอพูดว่าอะไรนะ?” หล่อนร้อง

 

เขาพูดด้วยน้ำเสียงซังกะตาย “ฉันพูดว่าฉันเทิดทูนเธอ ฉันบูชาเธอ อากาศที่เธอสูดและพื้นที่เธอเหยียบนั้นช่างศักดิ์สิทธิ์เหลือเกิน ฉันพูดว่าฉันเป็นหมาของเธอ เป็นทาสของเธอ…”

 

แต่เท่านั้นก็ยังไม่พอ หล่อนยังคงกำมือแน่นและร้องว่า “ถ้ายังงั้นก็มานี่ คลานมาจูบตีนฉันนี่!

 

โดยปราศจากความลังเลใดๆ เขาพังพาบลงกับพื้นแล้วถัดมือถัดเท้าคลานมาอย่างกระหืดกระหอบเหมือนจิ้งจกบาดเจ็บ หล่อนถอยร่นในระหว่างที่เขาคืบคลานเข้ามา ดวงตาจ้องเขาอย่างกระหาย รูจมูกหล่อนขยายออก จนกระทั่งร่างหล่อนชิดกับบานหน้าต่างที่เปิดออก แลเห็นดวงจันทร์กลมโตสาดแสงระยับและฟ้าแลบถี่รัว หล่อนหยุดพิงขอบหน้าต่างและหอบเหนื่อย เขานอนนิ่งล้าอยู่แทบเท้าหล่อน ใบหน้าแนบกับพื้น

 

หล่อนยกชายกระโปรงและยื่นเท้าเปลือยเปล่าออกมาอย่างไว้ตัว เขาผงกศีรษะขึ้นเหงื่อหยดย้อยและจรดริมฝีปากช้ำชอกที่นิ้วเท้าหล่อน ยกมือขึ้นจับเท้าขาวนวลของหล่อนแล้วระดมจูบอย่างบ้าคลั่ง—จูบรอยเท้า จูบฝ่าเท้า จูบข้อเท้าบอบบาง—ในขณะที่หล่อนกัดริมฝีปากและยึดขอบหน้าต่างไว้แน่น ร่างและผมของหล่อนแผ่สยายออกนอกหน้าต่าง รวยรินและทึมทะมึนในคืนสว่างไสวที่จันทร์ดวงโตเจิดจ้าเหมือนดวงอาทิตย์ อากาศแห้งลุกเรืองขึ้นเป็นสายฟ้า และไอร้อนบริสุทธิ์ระอุไหม้ด้วยความไข้ดั่งกลางวัน

 

🕇 🕇 🕇 🕇 🕇

 

 

Arthit Jiamrattanyoo

Arthit Jiamrattanyoo

นักแปลสมัครเล่นผู้ชื่นชอบการพายเรือ การทอดหุ่ย และการฟื้นฝอยหาตะเข็บ

Comments

comments

You may also like

Leave a comment

error: