สุสานจิ้งจก
พ่อของฉันเล่าว่า ใครๆ ก็เข้าใจว่าถ้าจิ้งจกอย่างพวกเราหางขาดไปแล้วก็งอกใหม่ได้สบายๆ “ชีวิตช่างน่าอิจฉา” กระทั่งตุ๊กแกเองยังร้องทักทายและแซวพวกเราทุกครั้งที่สบโอกาส หมาแมวหางกุดก็มองพวกเราตาขวาง เพราะหางของพวกมันไม่อาจงอกขึ้นมาได้อีก
ครอบครัวของฉันและอีกหลายๆ ครอบครัวอาศัยอยู่ในบ้านปูน รอบบ้านมีต้นไม้บ้างแต่ก็ไม่ถือว่าอุดมสมบูรณ์ ฉันมีพี่น้องแต่ไม่สนิทนัก เราต่างคนต่างอยู่ กับพ่อแม่เอง เมื่อฉันโตขึ้น ก็ค่อยๆ ห่างเหินกันไป กลายเป็นว่าเราอยู่บ้านเดียวกันแต่ไม่ค่อยได้คุยกัน
สมัยเด็ก ฉันเคยเห็นพ่อหางขาด (พูดถึงแล้วยังเสียวหางมาจนทุกวันนี้) เด็กชายลูกเจ้าของบ้านซอยเท้าวิ่งเล่นอยู่ที่ลานหน้าบ้าน พ่อกำลังมุ่งมั่นสอนวิธีจับแมลงให้ฉัน รู้ตัวอีกทีรองเท้าแตะสีส้มขนาดใหญ่ก็จ่อจวนเจียน พ่อหลบทันเพียงเสี้ยวแต่ไม่พ้นทั้งหมด รองเท้าแตะสัมผัส หางพ่อหลุดต่อหน้าต่อตาฉัน เด็กชายตกใจยกเท้าแล้ววิ่งหนีเข้าบ้าน ทิ้งฉันไว้กับปลายหางของพ่อที่ดิ้นเร่าไม่หยุด
ตอนนั้นฉันกลัวแทบบ้าว่าพ่อจะตาย แต่พ่อกลับทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น มารู้ทีหลังว่าพ่อไม่ได้หางขาดเพราะโดนเหยียบ แต่พ่อสลัดหางนั้นออกเองต่างหาก ไม่นานนักหางใหม่ของพ่อก็งอกขึ้นมา สีคล้ำเมื่อเทียบกับลำตัวและเล็กกว่าเมื่อเทียบกับหางเดิม
เด็กชายคงแอบเห็นหางพ่อที่ดิ้นรนอยู่กับพื้นชั่วขณะหนึ่ง เขาคงนึกขยะแขยงและฝังใจเกลียดพวกเรา เขาจึงค้นหาวิธีกำจัดเรา และพ่อแม่ของเขาก็ปล่อยให้ทำ ทั้งที่พวกเราช่วยกำจัดแมลงน่ารำคาญให้แท้ๆ แต่คนพวกนั้นไม่นึกขอบคุณครอบครัวของฉันสักนิด
แรกทีเดียว เด็กชายไล่พวกเราให้พ้นทางด้วยไม้ จากนั้นก็เริ่มไล่ตีด้วย แต่ว่าพวกเราก็ว่องไวพอตัว วิธีการของเด็กชายไม่ได้ผล เขาจึงปรับเปลี่ยน มักรอจังหวะที่พวกเราเผลอ จัดการปิดประตูหนีบพวกเราให้บี้แบนและทิ้งไว้ให้แห้งกรอบคาขอบประตู
พี่ชายของฉันเป็นเหยื่อรายแรกของครอบครัว ทั้งที่แม่เตือนเขาแล้วว่าเวลาเดินผ่านช่องประตู จงผ่านไปให้เร็วที่สุด! และอย่าหันรีหันขวางอยู่แถวนั้น ไม่ทันขาดคำดี พี่ชายของฉันก็ขาดครึ่งท่อน เขาไม่มีโอกาสได้สลัดหางแรก
พ่อเป็นรายต่อมา พ่อเคยบอกว่าการสลัดหางครั้งที่สองมักจะยากขึ้น และยิ่งยากเกินไปสำหรับพ่อที่อายุอานามใกล้เกษียณ ราวกับเด็กชายจะจดจำได้ เขาเล็งไปที่พ่อเหมือนกับรู้ว่าเจ้าตัวนี้แหละที่เคยทำให้เขาหวาดผวา
กระดูกแหลกด้วยแรงบดอัดของขอบประตู พ่อตายอยู่ตรงนั้น ไม่มีใครจัดการ นานเข้าจึงแห้งกรอบติดขอบประตู เด็กชายยิ้ม เขาเปิดประตูไม้บานนั้นทุกเช้าเพื่อสูดอากาศบริสุทธิ์ ฉันเห็นรอยยิ้มสุขใจของเขาชัดเจน โดยเฉพาะขณะที่เขาเหลือบตามองร่างแห้งกรังของพ่อ
ไม่รู้ไปเอาความคิดมาจากไหน วันหนึ่งเด็กชายแกะร่างของพ่อออกมาแล้วเอามาแปะไว้ที่กระดานไม้อัดบนโต๊ะเขียนหนังสือของเขา ฉันหวังว่าเขาจะไม่สะสม การสะสมคือหนทางแห่งฆาตกรต่อเนื่อง
เขารังควานพวกเราไม่เลิก แม่ของฉันแทบบ้าเมื่อเข้าไปเห็นร่างของพ่อที่กระดานไม้อัด แม่ผวาและชวนฉันให้ย้ายไปอยู่บ้านอื่น แต่ฉันยืนกรานว่าจะอยู่ที่เดิม เราไม่ได้ทำอะไรผิด เขาต่างหาก
แล้วแม่ก็จากไป ไปโดยไม่มีฉัน แม่ทนไม่ได้ถ้าต้องอยู่ในบ้านที่ประจานร่างพ่อไว้อย่างนั้น ฉันว่าแม่จากไปอย่างนั้นก็ดีเหมือนกัน เพราะเด็กชายเล่นหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ เขาจ้องจดจ่อที่ประตู ฉันรอดจากการโดนประตูหนีบหวุดหวิด แผ่นไม้เฉียดใกล้จนต้องสลัดหาง
แต่ฉันไม่เด็ดเดี่ยวมากพอ พ่อเคยบอกว่าถ้าจะสลัดหาง ต้องไม่รู้สึกเสียดายหรือมีเยื่อใยอะไรกับมัน หางแรกของฉันไม่ขาดทั้งหมดจึงต้องวิ่งลากหางหนีคนใจร้ายอย่างทุลักทุเล กลัวแสนกลัว แต่ก็วิ่งไปหลบในซอกลึกของตู้กับข้าวได้ทัน
เมื่อสลัดหาง ฉันอ่อนแอกว่าปกติ หางแรกห้อยร่องแร่ง ส่วนหางที่สองก็งอกขึ้นมาอีก ฉิบละ! หิวและต้องการพลังงานมาซ่อมแซมร่างกาย แต่ฉันต้องรอ รอให้เขาลืมว่าฉันอยู่ใต้ตู้กับข้าว รอเศษอาหารที่ตกมาที่พื้นยามค่ำคืน
ฉันใช้ชีวิตหลบซ่อนยิ่งกว่าเดิม จนกระทั่งหางที่สองแข็งแรงเต็มที่และหางแรกก็ฟื้นฟูตัวเอง ใช่แล้ว ตอนนี้ฉันกลายเป็นจิ้กจกสองหาง
เมื่อร่างกายแข็งแรง ความหวาดกลัวและระแวงภัยที่เคยมีก็ลดลง เด็กชายจึงทันเห็นฉันในเช้าวันหนึ่ง น่าแปลกที่เขาชะงักไม้ในมือแล้วร้องเรียกพ่อแม่ให้มาดูฉัน จิ้งจกสองหางคงแปลกมากสินะสำหรับพวกคุณ ฉันเป็นเช่นนี้ก็เพราะใครกันล่ะ?
พ่อของเด็กชายหยิบไม้ออกจากมือลูก แล้วหยิบข้าวสุกให้ฉันก่อนพูดกับลูกชาย ฉันฉวยโอกาสตอนพ่อลูกคุยกัน งับข้าวสุกแล้วรีบวิ่งไปซ่อนตัวแต่ก็ยังทันได้ยินเสียง
“เลี้ยงไว้…นี่เป็นเครื่องรางของขลังชั้นดี”
“แต่ผมอยากสร้างสุสานของผม”
“สองหางตั้งแต่โคนหาง เคยบอกแล้วไงว่าหายาก”
“ยิ่งหายากผมยิ่งอยากได้ ทีพ่อยังมีสุสานของพ่อ” เด็กชายยังงอแง
“งั้นแลกกัน ให้ลูกสามตัว แลกกับตัวนี้”
“หกตัว พ่อมีตั้งแยะ”
“เออ หกก็หก” เด็กชายยิ้ม
ฉันสำลักข้าวสุกที่เพิ่งกลืนลงคอ พวกเราที่หายไปไม่เคยจากไปไหน