สังสรรค์สามสหาย

 

 

หากอยู่ในเงื่อนไขเฉพาะ ว่ากันว่าสิ่งของจะกลายร่างเป็นคนได้

 

บันทึกเก่าแก่เล่มหนึ่งระบุว่า
แก้วน้ำกลายร่างเป็นคนได้ หากได้รับหยดเลือดมนุษย์แปดหยดแล้วทิ้งไว้สามวันสามคืน
ไม้ตียุงก็กลายร่างเป็นคนได้หากมันได้ตียุงที่ดูดเลือดคนไปแล้วครบ 50,000 ตัว

 

และมีบันทึกไว้ด้วยว่า ทุก 5 ปี ปากกาที่ถูกใช้งานเป็นประจำอย่างยิ่งจะกลายร่างเป็นคนในคืนที่พระจันทร์ดั้นเมฆ

 


 

กลางวงสังสรรค์คืนวันเสาร์ เพื่อนเก่าได้กลับมาพบกัน กว่าจะนัดได้ก็ต้องรอนานเป็นแรมปี ในโมงยามอันลี้ลับนี้ คาเฟ่ยามค่ำในตรอกเล็กๆ กลางเมืองแห่งนี้จะเปิดเพื่อพวกเขาเท่านั้น พื้นที่จำกัดจำเขี่ยแต่ก็เพียงพอให้พวกเขาได้พบปะและร่ำอารมณ์

 

หญิงสาวถอดหมวกสีแดงของหล่อนแขวนไว้ข้างหมวกสีกรมท่าของเขาผู้มาก่อน เขาและเธอเคยเป็นเพื่อนกันในวัยเยาว์ หากจะล้อว่าใครเป็นแฟนกับใคร เธอกับเขามักเป็นเหยื่อคู่แรกเสมอ ทั้งที่สีน้ำเงินกับสีแดงนั้นเป็นคู่ตรงข้ามกันแท้ๆ

 

เธอนั่งลงข้างเขา ยังไม่ทันได้ถามไถ่ทักทาย บริกรหน้าตาทื่อนิ่งเหมือนไม้บรรทัดเหล็กก็ตรงเข้ามาถามความต้องการของเธอ

 

“คอสโมโพลิแทนค่ะ” บริกรพยักหน้าแล้วหายลับไป ริมฝีปากสีแดงของเธอเอ่ยทักทายเขาโดยไม่ออกเสียง ทั้งคู่นั่งกันเงียบเชียบอยู่พักหนึ่งก่อนเขาจะเอ่ย

 

“ไงยูนิ งานใหม่เป็นยังไงบ้าง”

 

“ไม่ต่างจากเดิม วงกลมเป็นหลัก กากบาทบ้าง แล้วก็เขียนอะไรยุกยิกเล็กๆ น้อยๆ ปากกาแดงทำอะไรไม่ได้มากกว่านี้หรอก แล้วคุณล่ะ”

 

“ผมก็ยังเรื่อยๆ ไส้แห้งไปสามสิบกว่าหลอดแล้วนับแต่เราเจอกันครั้งก่อน เขาเขียนเยอะแทบบ้า แต่ยังไม่มีชิ้นไหนได้ตีพิมพ์” เพนเทลตอบ

 

“ก็ธรรมดา เจ้านายฉันขีดฆ่าต้นฉบับให้ตายตกไปหลายต่อหลายเรื่อง บางทีพอไส้ฉันหมดก็ดัดจริตเปลี่ยนเป็นไส้สีชมพูบ้าง ส้มบ้าง ม่วงบ้าง แล้วแต่อารมณ์หล่อน แต่ไม่ว่าจะสีไหนก็ขีดฆ่าต้นฉบับเสียยับเสมอ” หญิงสาวรับเครื่องดื่ม เธอไม่ยี่หระต่อการได้เห็นงานเขียนหล่นลงถังเรื่องแล้วเรื่องเล่า เธอเติมของเหลวสีแดงเย็นซ่านเข้าไปในร่างกาย รสเปรี้ยวทำให้สดชื่นจากอาการเมื่อยล้าหลังทำงานหนัก

 

ประตูเล็กเปิดออก ชายร่างใหญ่พาร่างอันหนักของตนตรงเข้ามาหาทั้งสอง ผิวพรรณเขายังดูเงางามไม่ต่างจากเดิม ศีรษะยังคงมีปานขาวเป็นหย่อมคล้ายดาวหกแฉก คลิปหนีบโลหะสีเงินส่องประกายเล่นล้อกับแสงไฟในคาเฟ่ ความสง่างามค่อยๆ เคลื่อนกายมา จนเมื่อเขานั่งลงแล้วนั่นแหละ เราจึงได้เห็นว่าเขาเหนื่อยล้าเหลือกำลัง

 

“ขอโทษที่มาช้า ต้องเซ็นเอกสารนับไม่ถ้วนว่ะ” เขาเอ่ยกับมิตรสหายก่อนหันไปเรียกบริกร “นี่เราต้องรอใครอีกไหม”

 

“ไม่มีแล้วบลังโก้ รุ่นเดียวกับพวกเรา…พังหรือไม่คนเขาก็เลิกใช้”

 

“งั้นรึ ถ้างั้นก็ฉลองให้เจ้านายของพวกเรากันหน่อยที่พวกเขายังทนใช้เราอยู่จนทุกวันนี้” สีดำขึ้นเงาของเขาวาบสะท้อนกับแสงไฟ

 

 

“ห้าปีผ่านไป พวกคุณเป็นยังไงกันบ้าง” บลังโก้เอ่ยถามพลางรับเครื่องดื่ม

 

ใต้แสงสลัวและดนตรีโล-ไฟ ฮิพฮ็อพที่ลอยวนในอากาศ พวกเขาจึงเริ่มต้นเล่า

 

“หลังเรียนจบ เจ้านายผมยังเขียนต้นฉบับไม่หยุดหย่อน ไม่สมัครงานที่ไหน จำกัดจำเขี่ยกับค่าใช้จ่ายในชีวิต ทุกวันผมได้อ่านข้อความใหม่ ตัวละครใหม่ และเรื่องราวใหม่ๆ แต่พักหลังมักจะขาดตอน ไม่ใช่เพราะเขาเหนื่อย หรือล้มเลิกกลางคัน แต่เขาร่างมือแล้วก็เอาไปพิมพ์ลงคอมเสียฉิบ บอกตามตรงว่าอิจฉาที่คอมพิวเตอร์ได้รู้ตอนจบ แต่คิดอีกทีก็รู้สึกชนะที่ผมได้เป็นคนแรกที่รู้จุดเริ่มต้นของทุกเรื่อง”

 

“ส่วนฉันเปลี่ยนจากตรวจการบ้านเด็กมาเป็นตรวจต้นฉบับนิยายแปล เจ้านายฉันลาออกจากการเป็นครูเมื่อสองปีก่อน เธอใช้ฉันน้อยลง บางงานก็ตรวจในไอแพด บางหนนะ ไอ้เจ้าปากกาสไตลัสก็หันมาเยาะฉันด้วย”

 

“ผมสิกลับมีงานเยอะขึ้น บัดซบ พวกคุณก็รู้ใช่ไหม เจ้านายพวกเราเคยใฝ่ฝันจะเป็นนักเขียนด้วยกันทั้งนั้น” หนุ่มสีน้ำเงินและสาวสีแดงพยักหน้าขณะหวนนึกถึงวันเก่า

 

“แล้วพวกเขาก็แยกย้ายกันไปคนละทิศ รวมถึงพวกเราด้วย” หญิงสาวชุดแดงทาบนิ้วของหล่อนกับขอบแก้วเป็นจังหวะแห่งความโหยหาอดีต “จะมีก็แต่เพนล่ะมั้งที่ยังได้คลุกคลีตีโมงอยู่กับต้นฉบับที่แท้”

 

“… แต่ผมก็ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่นะ ถ้าเขาหยุด เขาอาจตายไปเลยก็ได้ เจ้านายพวกคุณยังมีแผนสำรอง แต่เจ้านายผมทุ่มเลือดทุกหยดลงมาที่ผม ถ้าเขาตาย ผมก็ตายด้วย”

 

“พวกคุณได้ข่าวไหม” บลังโก้พูดต่อ “ตอนนี้อธิบดีกรมการเขียนด้วยมือกำลังวิตกหนักว่าปากกาอย่างพวกเราจะสูญสิ้น จะไม่มีการเขียน มีแต่การพิมพ์ การจิ้มนิ้วลงบนหน้าจอ”

 

“ความกังวลอันเลื่อนลอย! พวกที่ทำงานในกรมไม่เคยออกมาดูโลกภายนอกรึไง” หญิงสาวส่งเสียงหงุดหงิดในลำคอหลังจิบค็อกเทลที่งวดไปมาก “เห็นพวกปากการุ่นใหม่บ้างรึเปล่า ทั้งสีทั้งทรงนี่ล้ำจนฉันกลายเป็นป้า!”

 

“ก็จริงของคุณ ผมได้พบเด็กรุ่นใหม่หน้าตาจิ้มลิ้มบ้าง ที่เจอบ่อยที่สุดคือลามี่นี่แหละ กลายเป็นลุงของพวกเขาไปเลยเหมือนกันว่ะ”

 

ทั้งสามนั่งเงียบเสมือนว่าไม่จำเป็นต้องสนทนาอะไรกันอีก ต่างคนต่างสีต่างมีโลกและเครื่องดื่มของตน ดนตรีเบาลง ร้านใกล้ปิดแล้ว อีก 5 ปีจึงจะเปิดเพื่อต้อนรับพวกเขาอีกครั้ง

 

 

“บลังโก้ แล้วตกลงคุณทำงานอะไร?” หญิงสาวหลุดจากภวังค์มาก่อนใครเพื่อน

 

“ผมแค่ลงลายมือชื่อ ไม่มีเรื่องเล่า ไม่มีนิยาย ไม่มีตำนาน ไม่มีอารมณ์รวดร้าวหรือลิงโลดใดๆ ทั้งสิ้น ผมแค่ขยับแข้งขาอยู่ในช่องที่เขาเว้นไว้ให้ วันนึงเป็นพันครั้ง”

 

“น่าเบื่อแย่สินะ ยังกับคุกเลยมั้ง” เธอเปรย

 

“ก็ช่วยไม่ได้ เจ้านายผมเขาเลือกทางนี้ ตอนแรกก็หงุดหงิดนะ ไหนว่าจะเป็นนักเขียน ไหนว่าจะเขียนเรื่องที่ทั้งโลกจะจดจำไปตลอดกาล ไอ้เราก็คิดไว้เสียดิบดีว่าถ้าแม่งเป็นนักเขียนใหญ่ได้ล่ะก็ ดังทั้งคนทั้งปากกาชัวร์ๆ”

 

“เขาพูดพล่อยๆ น่ะสิ” เธอพูดพลางจ้องมองไปที่ของเหลวสีแดงเข้มในแก้ว

 

“ใช่ ตอนแรกผมก็คิดว่าอย่างนั้น ผมผิดหวัง อยากหนีไปให้ไกล ไม่อยากรับใช้เขาอีก” แก้วบรั่นดีในมือสั่น “แต่เขาร่ำรวยผิดหูผิดตา ผมไม่รู้ว่าทำไม เขามีกินมีใช้ทันทีที่เลือกทางชีวิตตามคำของพ่อแม่”

 

“สรุปคุณทำงานอะไร? ไม่สิ เขาน่ะ ทำงานอะไรกันแน่?” เธอพับผ้าเช็ดปากที่มีรอยลิปสติกแล้ววางบนตัก

 

“เป็นกรรมการอะไรสักอย่าง เป็นหลายตำแหน่ง หลายรางวัล รางวัลทางวรรณกรรมด้วยนี่แหละ ตอนแรกเขาไม่ชอบนะ แต่อยู่ไปก็ชิน งานที่ล้นมือทำให้เขาไม่ได้เขียนห่าอะไรอีก ไม่ได้อ่านด้วย เซ็นทั้งที่ไม่ได้อ่านเลย ผมล่ะโคตรเหงา และโคตรนึกถึงพวกคุณ”

 

“คุณว่าอีกห้าปีพวกเราจะเป็นยังไง” บริกรมาเก็บแก้วของเธอไปขณะที่เธอตั้งคำถาม

 

“ผมอาจตายห่าไปแล้ว” เพนเทลพูดเรียบเฉยก่อนกระดกดื่มชาละวันก้นขวด

 

เสียงแก้วบรั่นดีกระทบโต๊ะหินอ่อนประหนึ่งคำสัญญา “ผมจะรอเซ็นเอกสารที่มีชื่อเรื่องของเจ้านายคุณว่ะ”

 


 

NX

NX

นักเขียน / NX's home

นักเขียนนิทานที่พยายามทลายทุกข้อจำกัดของเรื่องเล่า ตั้งใจจะเขียนงานสม่ำเสมอเหมือนกัน

ขนปุย

ขนปุย

นักวาด / บ้านขนปุย

นักวาดภาพผู้กำลังฝึกฝนตนเองให้เป็นประชากรเช้า ตั้งใจว่าปีนี้จะมีผลงานสม่ำเสมอ

Comments

comments

You may also like

Leave a comment

error: