ทัศนคติ คือ ความรู้สึกทางจิตใจของบุคคลที่มีต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง บุคคลใดบุคคลหนึ่งหรือกลุ่มบุคคล สถาบันหรือสถานการณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง ในการประเมินคำว่าดีหรือไม่ดี เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย อันเนื่องมาจากการเรียนรู้และประสบการณ์ ซึ่งพร้อมจะผลักดันให้บุคคลแสดงปฏิกิริยาต่อสิ่งเร้าเหล่านี้ในทางใดทางหนึ่ง ทัศนคติจึงเกี่ยวข้องกับความเชื่อ (beliefs) ค่านิยม (values) บุคลิกภาพ (personality) และความคิดเห็น (opinion) สรุปเป็นองค์ประกอบได้ 3 ด้าน ดังนี้
องค์ประกอบด้านความคิด ความรู้ (cognitive component) ด้านท่าที ความรู้สึก (affective component) และด้านพฤติกรรม (behavioral component) ล้วนเป็นองค์ประกอบที่มีแนวโน้มในทางปฏิบัติหรือทำให้เกิดปฏิกิริยาอย่างใดอย่างหนึ่งต่อสิ่งเร้า
บทความชิ้นนี้จะนำเสนอความคิดและภาพที่เห็นบนวิถี “ทาง” ของซ้ายผ่านศึก ผ่านเรื่องสั้นของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล อดีตผู้นำนักศึกษาในเหตุการณ์ 14 ตุลา 2516 นักวิชาการด้านรัฐศาสตร์และศิลปินแห่งชาติ สาขาวรรณศิลป์ ประจำปี 2552 ผู้ถ่ายทอดประสบการณ์การต่อสู้ ชีวิต ความคิดและอารมณ์ผ่านหนังสือหลายเล่ม ทั้งในรูปแบบนวนิยาย เรื่องสั้น บทกวี และความเรียง
ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาและวิเคราะห์เรื่องสั้น “ทาง” ของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ในรวมเรื่องสั้นชุด ‘ซ้ายผ่านศึก’ ผู้อ่านจำเป็นจะต้องทราบความหมายของความคิดทางการเมืองแบบซ้าย
ความคิดทางการเมืองแบบซ้าย (left, leftist) หมายถึง จุดหมายปลายทางที่จะให้รัฐมีอำนาจน้อยกว่าหรือไม่มีอำนาจเลย (คือเท่ากับไม่มีรัฐ) และเน้นความสำคัญของปัจเจกชนหรือเอกบุคคล จุดหมายคือประสงค์ให้พลเมืองมีสิทธิเสรีภาพเต็มที่ แนวคิดแบบซ้ายไม่ให้ความสำคัญกับ “หน้าที่พลเมือง” แต่เน้น “หน้าที่ของรัฐ” ที่จะให้บริการต่อพลเมือง อุดมการณ์แบบซ้ายตั้งจุดหมายปลายทางไว้คือ เสรีภาพและสิทธิของปัจเจกชน แต่ในระหว่างทางหรือในช่วงเวลาที่ยังไม่บรรลุเป้าหมายนั้น อาจใช้วิธีตรงกันข้ามกับอุดมการณ์บั้นปลายของตน คือ การใช้อำนาจรัฐบังคับปัจเจกชน เช่น อุดมการณ์แบบคอมมิวนิสต์ (communism)
เรื่องสั้น “ทาง” ของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ใช้ตัวละครมิติเดียว (flat character) หมายถึง ตัวละครที่มีลักษณะนิสัยหรือพฤติกรรมที่สามารถสรุปได้อย่างไม่ยากเย็น เช่น เขาเป็นชายชรา, เขาเป็นคนโดดเดี่ยว ให้เป็นผู้เล่าเรื่องเสมือนมีตัวตน (personal narrator) แบบผู้รู้ (omniscient) คือ แสดงทัศนะ ความเห็น ตีความ วิจารณ์ได้ สามารถถ่ายทอดอดีต ปัจจุบัน และอนาคตของตัวละครได้ รู้ความคิดของตัวละคร โดยไม่เรียกตัวเองว่า “ข้าพเจ้า” หรือ “ผู้เขียน” แต่เป็น “เสียง” ที่วิจารณ์หรือตัดสินตัวละครผ่านกลวิธีการเล่าแบบกระแสสำนึก (stream of consciousness) โดยจะแยกพิจารณาเป็น 2 ส่วน ผ่านความคิดและภาพที่เห็น ซึ่งนำไปสู่ปลายทางในตอนจบ ดังนี้
-ความคิด-
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล เล่าถึงหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ชายชราจะออกมากางเต็นท์นอนป่าเพียงลำพัง เขาได้พบปะกับมิตรสหาย ‘กลุ่มเพื่อนเดือนสิบ’ ที่นัดพบกันเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองที่กำลังเข้าขั้นวิกฤต จากที่เคยแบ่งข้างเป็นซ้าย-ขวา ในอดีต กลายเป็นแบ่งสีแดง-เหลือง ในปัจจุบัน ผ่านข้อถกเถียงน่าตีความจากคำถามและคำตอบของตัวละครพวกซ้ายเก่า
“คุณกำลังเรียกร้องรัฐประหารใช่ไหม นี่มันศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแล้ว คุณยังเชื่อในระบอบเผด็จการอีกเรอะ คุณอยากให้พวกอำมาตย์กลับมาครองเมืองเหมือนสมัยก่อนสิบสี่ตุลายังงั้นหรือ แล้วคุณจะบอกพวกเขาที่ตายไปแล้วเพื่อสิทธิเสรีภาพว่ายังไง… บอกว่าสมัยก่อนพวกเขาเข้าใจผิด ขอโทษด้วยสหาย คุณตายฟรี ยังงั้นหรือ พวกเราไม่ได้เรียกร้องรัฐประหารและไม่ชอบเผด็จการ แต่คุณคิดหรือว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งชุดนี้เป็นรัฐบาลประชาธิปไตย จริง ๆ มันก็แค่เผด็จการอีกแบบหนึ่งเท่านั้น มีเสียงข้างมากในสภาแล้วอยากทำอะไรก็ทำ ไม่เห็นหัวประชาชน ไม่เห็นหัวฝ่ายค้าน นี่มันไม่ใช่ประชาธิปไตยที่เราฝันถึง”
(เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, 2559: 171)
ข้อความข้างต้น เคนเนธ มิน็อก (2559: 128-129) กล่าวว่า “สารัตถะของการเมืองคือการอภิปรายถกเถียงและต้องเถียงกับอะไรสักอย่าง พรรคที่ผูกขาดอำนาจและพูดแต่กับตัวเองเหมือนพรรคคอมมิวนิสต์ที่มีอำนาจปกครองในศตวรรษที่ 20 เป็นแต่เพียงระบบรวบอำนาจเด็ดขาด ฉะนั้นจึงออกจะแตกต่างจากการเมืองโดยทั่วไป รัฐเสรีประชาธิปไตยทุกรัฐจะต้องมีพรรคที่มีอำนาจมากกว่าพรรคอื่น ๆ อยู่สองพรรค ส่วนพรรคที่เหลืออยู่ตามชายขอบของอำนาจการเมือง การวาดภาพความเป็นจริงในรัฐสมัยใหม่ที่มีการแสดงความคิดเห็นจะสมบูรณ์แบบได้ก็ด้วยการตระหนักว่าพรรคต่าง ๆ มีสายสัมพันธ์เชื่อมโยงใกล้ชิดกับกลุ่มอิทธิพล กลุ่มผลประโยชน์และกลุ่มองค์กรอื่น ๆ ที่อยากมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของรัฐที่แผ่อำนาจมากยิ่งขึ้น”
และการถกเถียงของตัวละครในเรื่องสั้นนี้ส่งผลให้ประชาชนออกมาชุมนุมตามสี่แยกเพื่อขับไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตย แม้ว่าสถานการณ์ต่อมาจะมีการประกาศยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่ แต่ดูเหมือนประชาชนจะยังไม่พอใจ พวกเขาเรียกร้องและต้องการการมีส่วนร่วมให้มีการปฏิรูปตามแบบการเมืองภาคประชาชน
“ขอให้รักษาระบอบประชาธิปไตยเอาไว้ เพราะมันมิใช่สมบัติส่วนตัวของพรรครัฐบาล ไม่ใช่สิ่งที่พวกต่อต้านรัฐบาลควรทำลาย… เสรีภาพเป็นเงื่อนไขจำเป็นสำหรับทุกฝ่าย เพราะการรักษาอำนาจด้วยการจำกัดเพดานความคิดย่อมทำให้ไม่สามารถยกระดับคุณค่าและศักดิ์ศรีความเป็นคนได้”
(เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, 2559: 179-180)
ข้อความข้างต้น สามารถแสดงภาพบทบาทหน้าที่ของอุดมคติในการพูดคุยถกเถียงทางการเมืองผ่านอุดมคติที่อาจเรียกโดยไม่ใส่อารมณ์ใด ๆ ว่า “เสรีภาพ” (liberty) หรือ “อิสรภาพ” (freedom) วิธีนี้ชัดเจนที่สุดที่จะตีความอิสรภาพในความหมายที่ไม่ถูกเหนี่ยวรั้ง ซึ่งในบริบททางการเมืองหมายถึง ไม่ต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้ผู้ปกครองที่ใช้อำนาจกระทำตามใจตน
เคนเนธ มิน็อก (2559:151) เปรียบเทียบไว้อย่างน่ารับฟังว่า “ความยุติธรรมทางสังคม การปลดปล่อยและประชาธิปไตยที่แท้จริงหรือที่แข็งแกร่ง ทั้งหมดนี้จะนำทางให้เราฝ่ามันไปได้ ดังนั้นการเมืองรูปแบบหนึ่งจึงเป็นการให้อุดมคตินำทาง แน่นอนว่าปัญหาคือเราถือหางเสือโดยอาศัยดาวได้แค่ดวงเดียวเท่านั้น มิใช่หลายดวงที่กระจัดกระจายอยู่บนฟากฟ้า นั่นหมายความว่าผู้ที่สนับสนุนข้อเสนอของดาวดวงหนึ่งมากกว่าอีกดวงจะต้องแสดงให้เห็นว่าเป็นดาวดวงนี้เองที่จะนำพาและตอบสนองความมุ่งมั่นดิ้นรนของเราได้ทั้งหมด แต่เพราะการดิ้นรนของเรา หลายครั้งก็ขัดกันเอง (เช่น ไม่มีทางที่นักการเมืองกลุ่มนี้จะยอมปฏิรูปให้ตัวเองเสียผลประโยชน์) เราจึงต้องละทิ้งการดิ้นรนบางอย่างหรือบางเป้าหมาย (เช่น คุณจะเอาใครที่ไหนมาปฏิรูป การปฏิรูปมันกระทบผลประโยชน์ทุกหมู่เหล่า) นี่คือสาเหตุว่าทำไม ทิศทางที่การเมืองจะมุ่งไปล้วนเป็นผลลัพธ์จากการตัดสินประเมินค่าที่เปลี่ยนแปลง โดยเกี่ยวข้องกับสิ่งน่าปรารถนาทั้งหลายที่ขัดแย้งกัน
อุดมคตินั้นสำคัญในการเมือง แต่ท้ายที่สุดความเป็นจริงจะเป็นตัวกำหนดว่าเราควรเดินไปในทิศทางไหนและรวดเร็วเพียงใด”
-ภาพที่เห็น-
เรื่องสั้น “ทาง” ของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล เปิดเรื่องด้วยฉาก (setting) ธรรมชาติในป่าแห่งหนึ่ง ซึ่งชายชราออกมากางเต็นท์นอน จากนั้นจึงลำดับเรื่องเล่าแบบย่อ (summary) คือการที่ผู้เขียนย่อเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวละครในระยะเวลานับสิบปีภายในย่อหน้าเดียวหรือไม่กี่ย่อหน้าเพื่อให้เรื่องเดินเร็วขึ้น เปรียบเทียบกับภาพยนตร์คือการตัดภาพสลับ เพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับตัวละครชายชราหรืออดีตนักปฏิวัติฝ่ายซ้ายชัดเจนและเข้าใจได้ว่ามีความเป็นมาอย่างไร
ภาพแรก คือ ฉากชีวิตทหารป่าของชายชราที่มองย้อนเหตุการณ์กลับไปในประวัติศาสตร์ ผ่านองค์ประกอบด้านความคิดและความรู้ (cognitive component) ตั้งคำถามจนกลายเป็นคำตอบที่เสกสรรค์ ประเสริฐกุล ตระหนักต่อสภาวะปลอดคุณค่าในการมีชีวิตอยู่และการไม่มีความหมายแท้จริงของความตาย โดยพิจารณาจากความตายของสหายผู้ร่วมอุดมการณ์ การถูกสังหาร ทารุณกรรมหรือถูกบีบบังคับให้ฆ่าตัวตายในการปฏิวัติและสงครามอื่น ๆ ซึ่งผู้ฆ่าและผู้ถูกฆ่า ผู้ตายหรือผู้รอดชีวิต สุดท้ายล้วนสาบสูญไปในประวัติศาสตร์ ไม่เป็นที่จดจำหรือเหลือบแลของสังคม นำไปสู่การตายที่ไร้ความหมาย ส่งผลต่อความเชื่อในวัยหนุ่มและมโนธรรมสำนึกในวัยชรา
ภาพต่อมา บรรยากาศในที่ประชุมกลุ่มเพื่อนเดือนสิบกับความครุ่นคิดหลากข้อถกเถียงและโต้ตอบที่กลายเป็นความขัดแย้งจากการแบ่งสีจนได้ข้อสรุปผ่านองค์ประกอบด้านท่าที ความรู้สึก (affective component) ความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคนบนเหตุผลความแตกต่างจากทัศนคติทางการเมือง ทำให้ชายชราออกไปกางเต็นท์นอนป่าและก้าวเท้าลงในสายน้ำ
“ต้องตะแคงตัวเดินโดยหันหลังให้กับกระแสน้ำ เขาเอนตัวไปด้านหลังเล็กน้อยเพื่อต้านแรงผลักแรงดัน”
(เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, 2559: 186)
ข้อความดังกล่าวตีความได้ว่า ชายชราเลือกที่จะหันหลังให้กับความหมกมุ่นวุ่นวายจากความขัดแย้งทางการเมือง แม้ว่าจะอยู่กลางกระแสน้ำ แต่รู้จักวิธีที่จะฝ่าแรงต้านนั้น ทั้งนี้เป็นการหลีกเลี่ยง ไม่ใช่หลีกหนี โดยใช้สถานการณ์ช่วยตัดสิน เพื่อจัดการกับตัวอัตตา
“เขาค่อย ๆ หย่อนร่างเปลือยของตนเองลงในร่องน้ำ ในใจลืมหมดสิ้นว่าตัวเองเป็นใครมาจากไหน หรือชื่ออะไร เขารู้สึกตัวเองถูกโอบรัดด้วยสายน้ำที่มีชีวิตไม่ต่างอะไรกับเขา… ในห้วงยามนั้น เขารู้สึกหมดสิ้นความเป็นมาและเลิกกังขาเรื่องความเป็นไป ในห้วงสำนึกของเขาไม่มีอย่างอื่น จากนั้นเปลี่ยนเป็นนั่งซุกหน้ากับหัวเข่า… มันเป็นท่าเดียวกับทารกที่อยู่ในครรภ์มารดา”
(เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, 2559: 192-193)
ข้อความข้างต้น ชายชรากำลังเรียนรู้และพยายามเป็นส่วนหนึ่งของกันและกันระหว่างชีวิตกับธรรมชาติ เมื่อธรรมชาติคือชีวิต ดังนั้นชีวิตจึงต้องกลับสู่ธรรมชาติในทางปฏิบัติ จนนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงด้านพฤติกรรม (behavioral component)
ทั้งนี้ ความคิดและภาพที่เห็นของชายชราในเรื่องสั้น “ทาง” ของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล เป็นกระแสสำนึกจากความคิดที่ทำให้ชายชรานึกภาพในอดีต สะท้อนเป็นภาพปัจจุบันที่ส่งผลให้ครุ่นคิดถึงชีวิตกับการเมือง ซึ่งล้วนเป็นภาพลวงตาหรือมายาคติ (myth)
ส่วนวิถี “ทาง” แห่งการเข้าป่าจับปืนในวัยหนุ่มที่เต็มไปด้วยอุดมการณ์กับการไปกางเต็นท์นอนป่าเพื่อแสวงหาความสันโดษในวัยชรา จึงเป็นภาพเปรียบให้ผู้อ่านเห็นถึงความคิดและอารมณ์ของตัวละคร ที่รำลึกอดีตและมองเห็นสัจธรรมบนความเปลี่ยนแปลงของจักรวาลที่เกี่ยวโยงสัมพันธ์กับทุกสรรพสิ่งให้ไม่ยึดติด
เรื่องสั้น “ทาง” ของ เสกสรรค์ ประเสริฐกุล นอกจากจะเป็นวรรณกรรมสะท้อนบาดแผลของความสิ้นหวัง พ่ายแพ้และสูญเสียศรัทธาแล้ว ยังบอกเล่าประสบการณ์ของอดีตนักปฏิวัติที่ต้องต่อสู้กับอารมณ์หม่นนิ่ง เงียบเหงาเศร้าหมองและโดดเดี่ยว จนนำไปสู่วิถี “ทาง” แห่งการเกิดใหม่ โดยปล่อยวางจากความทุกข์ เพื่อข้ามให้พ้นจากทวิภาวะนั้น ๆ
“ความมีเรามีเขาได้ชื่อว่าเป็นธรรมคู่ ผู้ใดเห็นแจ้งว่าตัวเรานั้นไม่มีจริง ย่อมไม่เกิดความยึดถือว่ามีเรามีเขา เมื่อไม่ยึดถือในธรรมคู่นี้ ก็ไม่เกิดอหังการและปรังการขึ้น จึงชื่อว่าเข้าสู่อไทวตธรรมทวาร”
(เสกสรรค์ ประเสริฐกุล, 2559:182)
บรรณานุกรม
เคนเนธ มิน็อก. (2559). การเมือง:ความรู้ฉบับพกพา. กรุงเทพฯ: โอเพ่นเวิลด์ส.
จิระโชค วีระสัยและคณะ. (2559). รัฐศาสตร์ทั่วไป. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำแหง.
รื่นฤทัย สัจจพันธุ์.(2560). “‘ทาง’วรรณกรรมบาดแผลสะท้อนชีวิตและสังคมการเมืองยุคแยกข้างมาจนถึงยุคแยกสี”. ออลแม็กกาซีน. 11(9):46-47.
เสกสรรค์ ประเสริฐกุล. (2559). ทาง รวมเรื่องสั้นชุด ‘ซ้ายผ่านศึก’. กรุงเทพฯ: สามัญชน.
อิราวดี ไตลังคะ. (2543). ศาสตร์และศิลป์แห่งการเล่าเรื่อง. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์.
ชาคริต แก้วทันคำ
jaochaiyoy@hotmail.com กวี นักเขียนและชาวสวน ผู้รักแมวและการอ่านเป็นชีวิตจิตใจ