จดหมายถึงใครบางคนที่ร้านกาแฟ – Happy Yogi

                                  


                                                                                                                        31 ธันวาคม 2559
ณ หอพักบ้านไทย จังหวัดนครปฐม

 

 

ยามเมื่อเธอยังเยาว์ และเราเพิ่งจะเริ่มรู้จักกันใหม่ๆ เธอช่างแลดูอ่อนโยนและไร้เดียงสาในสายตาของฉันเสมอ

 

ทุกพฤติกรรมที่เธอแสดงออกล้วนแล้วแต่น่ารักน่าเอ็นดูในความรู้สึกของฉัน

 

หัวใจของฉันเติมเต็มด้วยความรู้สึกพึงพอใจอยู่ทุกครั้ง ยามที่ฉันเฝ้ามองเธอและได้ใช้เวลาร่วมกันผ่านกิจกรรมเล็กๆ น้อยๆ ระหว่างเรา

 

เธอได้เป็นตัวของตัวเองในทุกครั้งที่อยู่กับฉัน ผิดกับฉันที่ต้องสละความเป็นตัวเองบางอย่าง เพื่อทำให้เธอรู้สึกสบายใจ

 

“ฉันจะไม่ครอบครอง” เปรียบได้กับคาถาสะกดจิตที่ฉันต้องท่องเอาไว้เพื่อเตือนใจอยู่เป็นประจำ ยามเมื่อฉันแอบเผลอใจอยากแสดงความเป็นเจ้าของในร่างกายและจิตใจของเธอ

 

อย่างไรก็ตาม ถึงที่สุดแล้วฉันก็ทราบดีว่าตนเองไม่สามารถครอบครองเธอได้เลย ถึงแม้ว่าสองมือของฉันจะโอบกอดเธอเอาไว้อย่างแนบชิด

 

แน่นอนว่าฉันสามารถสัมผัสเรือนร่างของเธอได้อย่างสบายกายด้วยพละกำลังที่มากกว่าของฉัน แต่เพราะเหตุใดฉันกลับไม่เคยรู้สึกสบายใจได้เลยสักครั้ง ฉันเข้าใจว่านั่นคงเป็นเพราะฉันบังคับเธอได้เพียงแค่ร่างกาย แต่ความรู้สึกและจิตใจของเธอนั้น ฉันควบคุมมันไม่ได้

 

เมื่อเวลาล่วงเลยผ่านพ้นไป เธอก็ย่อมเติบโตมากยิ่งขึ้น เธอเริ่มมีความคิดความอ่านเป็นของตัวเองเช่นเดียวกับที่เริ่มรู้สึกหวงแหนอิสรภาพ และพึงพอใจที่จะใช้เสรีภาพที่มีอยู่เพื่อเลือกดำเนินชีวิตตามแบบฉบับที่ใจนึกฝัน

 

ฉันเฝ้ามองความเปลี่ยนแปลงของเธอด้วยสายตาของความเข้าใจและความพยายามเข้าใจ ซึ่งฉันขอเรียกมันว่าพัฒนาการของเธอ

 

พัฒนาการของเธอนำมาซึ่งความไม่เหมือนเดิมในหลายสิ่งหลายอย่าง เธอเริ่มสนใจฉันน้อยลงให้เวลากับฉันน้อยลง และมาทำกิจกรรมร่วมกันน้อยลง

 

เมื่อเธอเติบโตขึ้น มันจึงไม่ใช่เรื่องผิดอะไรเลยหากว่าเธอจะเริ่มรู้สึกต้องการความเป็นส่วนตัว และให้ความสำคัญกับเวลาส่วนตัวมากยิ่งขึ้น เพราะในระยะหลังมานี้เธอเริ่มปรากฏตัวน้อยลง ฉันไม่ได้พบหน้าเธอมานานมากแล้ว และเธอคงไม่ยินดีที่จะมาร่วมทำกิจกรรมกับฉันเหมือนแต่ก่อน

 

ฉันคงทำได้เพียงเข้าใจ และยอมรับสภาวะแห่งการเปลี่ยนแปลง ฉันทราบดีว่า “ใดๆ ในโลกล้วนอนิจจัง” สิ่งเดียวที่ฉันทำได้ในขณะนี้และในภายภาคหน้าย่อมหนีไม่พ้นการคิดถึงเธออย่างไม่ครอบครอง เคารพและยอมรับในสิ่งที่เธอเป็นด้วยความรู้สึกเข้าใจและพยายามเข้าใจ ถึงแม้ว่ามันจะยากเย็นแค่ไหนก็ตาม

 

สิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับฉันในเวลานี้คงมีเพียงคลังแห่งความประทับใจ และช่วงเวลาแห่งความสุขที่ยังหอมฟุ้งอบอวลในความทรงจำของฉัน ซึ่งฉันมักหยิบเอาช่วงเวลาเหล่านั้นมาเติมเต็มความรู้สึกของตัวเองยามเมื่อฉันต้องตระหนักถึงความจริงที่ว่า…

 

“เธอในทุกวันนี้ไม่ใช่เธอคนเก่าเหมือนเมื่อครั้งที่เธอยังเยาว์หรือเมื่อเราเพิ่งจะเริ่มรู้จักกันใหม่ๆ”


คิดไปคิดมาฉันก็รู้สึกคิดถึงแม่ของตัวเอง ตอนเด็กๆ ฉันคงไม่ใช่ฉันแบบที่เป็นในวันนี้ และฉันคงจะสนใจ ใส่ใจ ตลอดจนมีเวลาให้หล่อนมากกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน

 

ฉันคิดว่าหล่อนเข้มแข็งมากทีเดียว อีกทั้งยังเข้าใจโลกและชีวิตได้อย่างดียิ่ง เพราะหล่อนสามารถเคารพและยอมรับในสิ่งที่ฉันเป็นด้วยความรู้สึกของการครอบครองในปริมาณเพียงเล็กน้อย (หรืออาจจะมาก แต่หล่อนไม่เคยแสดงออกให้ฉันได้รับรู้)


            เมื่อเปรียบเทียบกันระหว่างความรู้สึกที่ฉันกำลังเผชิญอยู่นี้กับสิ่งที่แม่อยู่ร่วมกับมันมาหลายปีแล้ว ฉันจึงเริ่มตระหนักได้ว่าคนเราไม่สามารถครอบครองสิ่งใดไว้ได้เลยแม้แต่ความรู้สึกของตัวเอง และมันยิ่งยากขึ้นไปอีกหากความรู้สึกนั้นไปผูกติดหรือยึดโยงไว้กับใครคนอื่น

 

ด้วยเหตุนี้ฉันจึงได้แต่บอกตัวเองว่าฉันควรจะมีความสุขอย่างไม่คิดครอบครอง เพราะนั่นคือความสุขที่ดำเนินไปด้วยความเข้าใจ ความสุขที่ฉันและเธอต่างได้เป็นตัวของตัวเอง ฉันเพียงแค่แอบหวังว่าในจิตใจและความรู้สึกของเธอจะยังคงมีฉันวนเวียนอยู่ในนั้นบ้าง หรือบางทีความทรงจำของเธออาจจะมีภาพของฉันปรากฏอยู่ในนั้นแม้เพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ก็ยังดี

 

ฉันรักเธอมากนะ และหวังว่าจะสามารถรักเธอด้วยความรู้สึกไม่ครอบครองไปได้ตลอดรอดฝั่ง ฉันหวังเพียงแค่นั้น เพียงแค่นั้นจริงๆ

 

รักเสมอ… ถึงแม้ว่าเธอไม่ใช่เธอคนเดิมอีกต่อไปแล้ว

จาก คนเคยรัก ยังคงรักอยู่ และจะรักตลอดไป

 


 

14 มีนาคม 2560
ณ หอพักบ้านไทย จังหวัดนครปฐม

 

ฉัน : เธอจ๋าเธอคนดี ตอนนี้เธอรักกับใคร รักกับฉันได้ไหม ?

เธอ : ไม่ได้หรอกจ้ะ หนวดเครารุงรังยังกับชิมแปนซี

 

เธอจ๋า นี่เป็นการเขียนถึงเธอในครั้งที่สองของฉัน…

 

หลังจากที่เธอห่างหายจากการปรากฏตัวต่อประสาทสัมผัสรับรู้ของฉันไปนานแสนนาน จนทำให้ฉันเผลอเข้าใจผิด และคิดไปเองว่าเธอคงไม่ได้พำนักอยู่ ณ ที่แห่งนี้อีกแล้ว บ่อยครั้งฉันมักตำหนิตัวเองว่า ฉันคงไม่สำคัญมากพอต่อความทรงจำของเธอ แต่คงไม่มีสิ่งใดเลวร้ายเกินไปกว่าการที่ฉันพิพากษาเธอด้วยความรู้สึกที่ว่าเธอได้หลงลืมฉันไปจากใจเสียแล้ว

 

สำหรับวันนี้ฉันดีใจมากเลยนะที่ได้มีโอกาสพบเจอกับเธออีกครั้ง เธอเติบโตขึ้นกว่าแต่ก่อนมากเลยทีเดียว ซึ่งมันทำให้ฉันรู้สึกตกใจอยู่ไม่น้อยกับพัฒนาการวัยแรกแย้มของเธอ ผิวพรรณกระจ่างใส ดูมีออร่า ทรวดทรงองค์เอวก็อรชรสมส่วน อีกทั้งเส้นผมยังสลวยสวยเก๋น่าสัมผัส แถมหน้าตายังน่ารักน่าเอ็นดูราวกับไอดอล ขาแข้งก็เรียวยาวน่าพิสมัย ฉันยินดีกับการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของเธอนะ จากนี้ต่อไปเธอคงได้พบเจอกับประสบการณ์ใหม่ๆ ในชีวิต ซึ่งมีทั้งความต่างและความเหมือนกับเมื่อครั้งยังเยาว์

 

แต่ในความดีใจของฉันก็ปะปนไปด้วยความเจ็บปวดอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เธอปฏิบัติกับฉันประหนึ่งคนที่หมดเยื่อใยให้แก่กัน เธอเฉยชาใส่ฉันทั้งด้วยสีหน้า ท่าทาง และอารมณ์ความรู้สึก ตลอดจนพฤติกรรมต่างๆ ที่เธอแสดงออกมาเบื้องหน้านั้น ฉันยอมรับเลยว่าไอ้สิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ซึ่งเธอได้ทำไปด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม มันทำให้ฉันเศร้าเสียใจอยู่ไม่น้อย

 

เหตุใดเธอจึงปฏิบัติกับฉันราวกับว่าฉันคือคนแปลกหน้า ฉันไม่โกรธเคืองเธอหรอกที่ฉันไม่สามารถดำรงอยู่ได้แม้เพียงเศษเสี้ยวเล็กๆ ในความทรงจำของเธอ ฉันเพียงแค่น้อยใจก็เท่านั้นแหละ

 

ฉันเข้าใจว่าเวลาคงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราสองกลายเป็นสิ่งแปลกปลอมของกันและกัน แล้วก็เวลาอีกนั่นแหละที่ทำให้เราสองมีระยะห่างระหว่างกัน และแน่นอนว่าเวลาอีกเช่นเดียวกันที่ทำให้เราสองต่างหลงลืมกันและกัน แต่ไม่ว่าเวลาจะสร้างร่องรอยแห่งบาดแผลให้แก่ความรู้สึกของฉันมากมายสักเพียงใด ทว่าเวลากลับได้ทำหน้าที่ภายใต้บทบาทของมันอย่างเคร่งครัด นั่นก็คือ การเป็นผู้บอกกล่าวและย้ำเตือนให้ทราบถึงความเป็นไปของทุกสรรพสิ่ง เวลาไม่เคยทำร้ายใครได้จริงหรอก มีเพียงแต่เราที่ถูกลบเลือนความทรงจำด้วยกาลเวลาก็เท่านั้นเอง

 


“ฉันขอให้เธอมีความสุขกับชีวิตในวันที่ผ่านพ้นไปจากช่วงเวลาที่เราเคยมีความทรงจำร่วมกันนะ”

 

สุดท้ายนี้… ฉันเพียงแต่หวังว่าความในใจทั้งหมดที่กล่าวมาแล้วนั้นคงจะช่วยบรรยายความรู้สึกของฉันให้เธอได้รับทราบไม่มากก็น้อย หากว่าเธอสามารถอ่านและเขียนภาษาไทยได้มันก็น่าจะดี แต่อย่างว่าล่ะ ในเมื่อเธอเป็นแมว เธอจะเข้าใจภาษาคนไปได้ยังไงกัน มันคงมีแต่ฉันที่เพ้อเจ้ออยู่เพียงฝ่ายเดียว และเป็นฉันเพียงคนเดียวที่บ้าบอไร้สาระไม่เข้าท่า

 

 

คิดถึงเสมอและจะคิดถึงอย่างไม่ครอบครอง

จาก คนเคยรัก ยังคงรักอยู่ และจะรักตลอดไป

 

 

เครติดภาพถ่าย Jacek


 

Happy Yogi

Happy Yogi

(1) นักเขียนไม่เคยรู้สึกเหงาเพราะเขามีโลกแห่งภาษาอยู่เคียงข้างเสมอ (2) วาทกรรมที่ว่าอาชีพนักเขียนไส้แห้ง ไม่จริงเลย เหตุผลเดียวที่นักเขียนจะไส้แห้ง นั่นก็เพราะเขามัวแต่ขีดเขียนตัวหนังสือจนไม่สามารถหอบร่างไปทำกิจกรรมอื่นใดได้ แม้แต่หาข้าวยัดใส่ปากของตัวเอง

Comments

comments

You may also like

Leave a comment

error: