ลบทิ้งเถอะนะ ฉันขอ – Black Mirror SS1 Ep.3

หลายคนคงได้เคยดูซีรีย์เรื่อง Black Mirror มาบ้างแล้ว
ในซีซั่นแรกนี้มีประเด็นเกี่ยวกับเรื่องความเป็นส่วนตัวที่น่านำมาขบคิด
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในตอนที่ 3 ที่ชื่อว่า The Entire History of You

*บอกก่อนเลยว่ามีสปอล์ยนิดหน่อยด้วยนะ

โลกของ The Re-Do

ในโลกของ Liam กับ Fi ทุกคนมีเครื่อง re-do ฝังไว้บริเวณกกหูด้านขวา เจ้าอุปกรณ์นี้ก็คล้ายๆ กับการติดกล้องหน้ารถในปัจจุบัน แต่เปลี่ยนมาเป็นกล้องประจำตัวเราแทนและบันทึกทุกสิ่งที่เราพบเจอ น่าสนใจตรงที่ว่า เจ้าเครื่องนี้บันทึกภาพและเสียงทุกขณะ (ไม่แน่ใจว่าบันทึกกลิ่นและประสาทสัมผัสด้านอื่นด้วยไหม) แต่ที่แน่ ๆ ภาพและเสียงก็เพียงพอจะทำให้เราเกิดอารมณ์สุขทุกข์สารพัน

 

ประเด็นคือเมื่อตัวละครในเรื่องนี้มีเจ้า re-do แต่ละคนก็ย้อนกลับไปเสพความหลังวันเก่าก่อนได้อย่างสบายใจเฉิบ นั่งบนโซฟานุ่มแล้วกดเล่นภาพความทรงจำของตนเองแบบ Full HD แถม Zoom in และ Zoom out ได้หมด ทั้งยังเลือกได้ว่าจะฉายขึ้นจอ หรือดูคนเดียวในกระจกตาของตนเอง

 

ความเป็นส่วนตัวกับความทรงจำทุกขณะจิต

การย้อนกลับไปเห็นความทรงจำที่อุปกรณ์บันทึกไว้ ทำให้ตัวละครในเรื่องทั้งทุกข์ทั้งสุข ที่สำคัญคือใช้ยืนยันว่าอีกคนเคยพูดอะไรยังไงไว้บ้าง (ใช้บ่อยเลยเวลาคู่รักทะเลาะกันแล้วต้องการขุดเรื่องต่าง ๆ มาฉะกัน)

 

เจ้าเครื่องนี้ก็ดูจะมีประโยชน์ดีใช่ไหม?

 

ปัญหาอยู่ที่ว่า ถ้าเจ้าของความทรงจำแสดงความทรงจำส่วนตัวของตนแก่คนอื่นล่ะ เช่นการร่วมเตียงกันระหว่างคนสองคน นายเอกับนางสาวบีมีอะไรกันเพลิดเพลินแล้วก็บันทึกไว้ในเครื่องตรงกกหูของแต่ละคน แล้ววันหนึ่งนายเอก็งัดเอาความทรงจำนั้นมาฉายบนจอที่บ้านในงานปาร์ตี้ นี่ก็เท่ากับว่าเป็นการละเมิดความเป็นส่วนตัวของนางสาวบีหรือไม่?

 

นอกจากนี้ เมื่อ Liam โกรธ Jonas (ชายชู้ของ Fi) เขาก็ได้ไปข่มขู่ให้ Jonas ลบบันทึกความทรงจำทั้งหมดที่มีเกี่ยวกับ Fi ประเด็นคือ Liam ก็ไปละเมิดความเป็นส่วนตัวของ Jonas แล้วไปเห็นหลักฐานที่ Fi นอนกับ Jonas ในห้องนอนของ Liam เอง

 

นอกจากการกระทำของ Liam จะละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลของ Jonas แล้ว เขายังทำซ้ำข้อมูลนั้นไว้ในความทรงจำของตนเองด้วย…

 

 

I’d like you to erase that.

นี่คือคำพูดของ Liam ตัวเอกของเรื่องที่พูดกับ Fi ภรรยาของเขา…จากเรื่อง The Entire History of You ใน Black Mirror Season 1 Ep.3

 

Liam กล่าวว่า I’d like you to erase that. หลังจากที่เขาตะโกนด่าภรรยาของตนเป็นที่เรียบร้อย และเธอได้กดฉายสีหน้าท่าทางคำพูดของเขาซ้ำอีกสองรอบเพื่อให้เขาเห็นตัวเอง เมื่อเขาเห็นตัวเองแล้วก็รู้ได้ทันทีว่าตนพูดแรงเกินไปจึงต้องการให้ Fi ลบเหตุการณ์นั้นออกจากฐานข้อมูลแห่งความทรงจำของเธอซะ แต่ว่าเธอก็ไม่ยอมลบแล้วเดินขึ้นห้องนอนไป

 

การที่ Liam อยากให้ทั้ง Fi และ Jonas ลบความทรงจำทิ้งไปนั้น ถือว่า Liam ไปยุ่มย่ามกับข้อมูลส่วนตัวของผู้อื่น แม้ว่าเขาจะคิดว่าตนสามารถใช้สิทธิ์ความเป็นสามีกระทำได้ (เพื่อจัดการเหตุการณ์ชู้สาวครั้งนี้) แต่โดยหลักแล้ว ในโลกแห่ง The Re-Do ควรจะมีมาตรการคุ้มครองข้อมูล เจ้าอุปกรณ์อันฉลาดล้ำน่าจะตัดระบบเมื่อเจ้าของความทรงจำถูกข่มขู่คุกคาม และหากใครต้องการสืบดูความทรงจำของใครอีกคน โดยที่คนคนนั้นไม่ยินยอม ก็ควรจะต้องมีศาลตัดสิน เหมือนเวลาตำรวจจะค้นบ้านใครก็ต้องขอหมายศาลก่อน

 

เมื่อทุกข้อมูลคือหลักฐาน-การเลือกลืมจึงสำคัญ

การลบความทรงจำในเรื่องนี้มีทั้งการลบทั้งโดยยินยอมและไม่ยินยอม การบังคับให้ Jonas ลบคลิปความทรงจำตอนกำลังร่วมเพศกับ Fi นั้น ถือเป็นการละเมิดสิทธิ์ ขณะที่เมื่อ Liam จัดการดึงเครื่องบันทึกความทรงจำออกจากกกหูตนเองนั้น เป็นสิ่งที่เขาทำได้ แต่แม้เขาจะเลิกใช้ The Re-Do แล้วก็ตาม เขาก็ต้องยอมรับว่าทุกการกระทำของเขาก็จะถูกบันทึกไว้ ตราบใดที่เขายังไปข้องเกี่ยวกับผู้คนที่มีเจ้าเครื่องบันทึกนี่

 

ในเรื่องนี้ Right to be forgotten หรือสิทธิ์ในการจะถูกลืม (เช่นกำหนดให้กูเกิ้ลเสิร์ชหาประวัติบางส่วนของเราไม่เจอ-แน่ล่ะเราสั่งลบข้อมูลบนโลกออนไลน์ได้เสียที่ไหนกัน) จึงอาจเกิดได้ยากอย่างยิ่ง

 

อันที่จริงแล้วเราไม่ต้องมองไกลไปถึงโลกอนาคตเลย ข้อมูลหลายอย่างที่เราโพสต์ลงโลกออนไลน์แล้วแพร่กระจายไปก็ไม่อาจเรียกคืนหรือลบทิ้งได้อย่างสมบูรณ์ถาวร เพราะขณะที่เราลบข้อมูลในแหล่งหนึ่ง คนอื่น ๆ ก็ได้ทำสำเนาข้อมูลนั้นไว้แล้วและพร้อมจะเผยแพร่ต่อ ๆ ไป

 

ฉะนั้น บางที Right to be forgotten อาจไม่มีอยู่จริงหรือมีอยู่น้อยนิด และแท้จริงแล้ว อาจไม่ใช่การลบทิ้ง หรือแค่ทำให้หาไม่เจอ แต่เป็นการถมทับข้อมูลใหม่เข้าไป ให้ข้อมูลเดิมที่เราไม่อยากจำมันถูกฝังไว้ลึก ๆ จนใครยากจะหาเจอ

 

ดังนั้น คำพูดที่ว่า “ลบทิ้งเถอะนะ” ก็เป็นแค่เพียงคำพูดที่ยากจะมีผลในทางปฏิบัติจริง โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าโลกเราดำเนินไปจนมีอุปกรณ์บันทึกทุกสิ่งทุกอย่างแบบเรียลไทม์ สิ่งที่เราทำได้ก็คือการระมัดระวังคำพูดและการกระทำของเราเอง รวมถึงระมัดระวังไม่ไปก้าวก่าย “ความทรงจำ” ของคนอื่น

 


นิชานันท์ นันทศิริศรณ์

นิชานันท์ นันทศิริศรณ์

สนใจการอ่านเขียน แต่อ่านน้อย และเขียนน้อยยิ่งกว่าอ่าน เวลาเครียดชอบล้างจาน

Comments

comments

You may also like

2 comments

  • ขนปุย February 5, 2018   Reply →

    “เธอคงไม่รู้ว่าผู้หญิงที่จริงแล้วลืมยาก ถ้าลองรักใครมากก็มักจะฝังใจ” ทำไมอ่านจบเหมือนมีปานธนพรมาร้องเพลงบนหัว

    • นั่นสิฮะ นี่คือลืมยากทั้งเรื่องอะ
      จริงๆก็คิดต่อนะว่า ถ้าผู้ชายไม่ขุดคุ้ย เรื่องมันจะมาถึงขนาดนี้มั้ย
      แต่การขุดคุ้ยก็ยิ่งขุดยิ่งเจอ จนไปถึงเรื่องลูกเลย อะโห
      เป็นโลกที่โกหกไม่ได้เลย ถ้ามดทำงานในโลกนั้นจะคิดค้นวิธีการทำให้คนบิดเบือนภาพความทรงจำได้ 5555

Leave a comment

error: