นิทานของแม่เต่า

 

 

ในยุคสมัยที่เรื่องกระต่ายกับเต่ายังไม่เล่าในหมู่มนุษย์ นิทานเรื่องนี้เล่าขานสืบต่อกันมาในครอบครัวเต่าทั้งหลายเท่านั้น เนื้อเรื่องก็จะเป็นดังที่แม่เต่าตัวหนึ่งเล่าให้ลูกฟังว่า …

 

 

กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว กระต่ายสีน้ำตาลตัวเป้งวิ่งรี่มาหาเต่าชราตัวหนึ่ง  กระต่ายหนุ่มอยากวัดพละกำลังของตนจึงเอ่ยขึ้นว่า “นี่แน่ะ เดินช้าจัง น่าเบื่อออก วิ่งเป็นมั้ยเนี่ยถามจริง!” เฒ่าเต่ายังไม่ทันส่ายหัวครบครั้งเจ้ากระต่ายก็ออกตัวและหายลับไปแล้ว

 

วันถัดมา ขณะเฒ่าเต่าละเลียดบรรยากาศ สูดกลิ่นสดชื่นอยู่ริมบึง สายตาเหม่อมองไปไกล เจ้ากระต่ายตัวเดิมก็วิ่งมาจ๊ะเอ๋พร้อมบอกว่า “เป็นเต่านี่ทำอะไรชักช้าจริงน้า ฉันวิ่งรอบบึงไปตั้งสี่รอบแล้วนะ” เฒ่าเต่าได้แต่ยิ้มอ่อนเมื่อเจ้ากระต่ายหายไปอีกครั้ง

 

วันที่สาม กระต่ายหนุ่มตัวเดิมก็มาป้วนเปี้ยนอีก ขณะที่เฒ่าเต่ากำลังฝึกลมปราณด้วยการเกร็งกล้ามเนื้อส่วนที่อยู่ภายในกระดอง กระต่ายวัยละอ่อนก็พูดขึ้นว่า “พ่อแม่ข้าน่ะบอกว่าท่านเร็วที่สุด แต่ข้าว่าเรื่องพรรค์นั้นมันจะไปจริงได้ยังไง” เฒ่าเต่ายังคงหลับตานิ่งกำหนดสมาธิให้ลมปราณไหลเวียน “ดูท่านสิ ข้างี้รับไม่ได้เลย” เจ้ากระต่ายเบะปากแล้วพล่ามต่อ “เอางี้ดีกว่า ลองมาแข่งกับข้า มาตัดสินกันว่าใครเร็วกว่าใคร!”

 

สิ้นถ้อยคำท้าของกระต่ายหนุ่ม เต่าเฒ่าออกจากสมาธิและลืมตาขึ้นพอดีกับที่กล้ามเนื้อคอได้ลดระดับลงอย่างพอเหมาะ ส่วนกระต่ายก็นึกว่าเต่าชราพยักหน้าตอบรับคำท้าทายของมัน อีกาที่อยู่ใกล้เคียงได้เห็นเหตุการณ์ก็เข้าใจไปในทำนองเดียวกับกระต่าย มันจึงประกาศข่าวการท้าแข่งครั้งนี้ไปทั่วป่า

 

เช้าวันถัดมา สรรพสัตว์พร้อมหน้า หมีใหญ่ร่างดำทะมึนเป็นผู้คุมและกำหนดกติกา – เวลาแข่งกันหรือตัดสินอะไรกัน ผู้เข้าแข่งขันจะไม่ได้เป็นผู้กำหนดกติกานะลูก มันไม่โปร่งใส เราต้องหาคนกลางมากำหนดและตัดสินนะ – หมีใหญ่อธิบายกติกาว่า “ทั้งคู่ต้องแข่งกันวิ่งไปที่ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ตรงตีนเขาฝั่งกระโน้น แล้วเก็บเกสรสีขาวผ่องมาให้ข้าที่จุดเริ่มต้น ใครทำได้ครบถ้วนตามนี้ก่อนก็ถือว่าชนะ”

 

สิ้นเสียงช้างร้องแปร๋นก็เป็นอันว่าเริ่มการแข่งขัน กระต่ายหายลับไปอย่างรวดเร็ว ส่วนเต่าเดินหน้าไปเรื่อยๆ ดูสบายอกสบายใจ บรรดาสัตว์ทั้งหลายก็แอบอมยิ้ม มีบ้างที่พนันข้างเต่า แต่ส่วนใหญ่พนันฝั่งกระต่ายทั้งสิ้น

 

กระต่ายวิ่งไปถึงตีนเขา เห็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์อยู่ไม่ไกลแล้ว มันระเริงใจเพราะระหว่างทางไม่มีวี่แววของเต่าอืดอาดตัวนั้นแม้สักนิด และมันก็แน่ใจมากว่ามันไม่ได้แวะนอนหลับไปสักงีบสองงีบ ณ ร่มไม้แห่งใดแห่งหนึ่งเลย

 

เมื่อกระต่ายวิ่งหูตั้งไปถึงโคนต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ มันก็ต้องตกใจ เพราะเต่าชราผู้เชื่องช้ามาถึงแล้วและกำลังเลือกเก็บดอกไม้ที่มีเกสรสีขาวผ่องอยู่อย่างสบายอารมณ์

 

เจ้ากระต่ายทั้งดึงหูและตบตัวเองเพื่อทดสอบว่าตนนั้นไม่ได้ฝันไป กว่าจะชัดเจนว่านี่คือความจริง เต่าก็เลือกดอกที่ถูกใจที่สุดและเริ่มเดินกลับแล้ว

 

เมื่อเห็นเต่าชรากำลังเดินจากไป กระต่ายหนุ่มเรียกสติกลับคืนแล้วรีบเลือกเก็บดอกไม้ที่มีเกสรขาวผ่องเหล่านั้น แรกทีเดียวมันจะเก็บไปสักสิบดอกเพื่อแสดงพลังให้โลกเห็นตามประสากระต่ายบ้าพลัง แต่เพียงดอกแรกมันก็ต้องคิดใหม่ เพราะกลีบดอกหลากสีสันที่ภายในมีเกสรขาวผ่องนั้นน้ำหนักมากกว่าที่ตาคะเนได้ ถ้ามันขนกลับไปสักสิบดอกก็หมายความว่ามันต้องขนน้ำหนักถึงประมาณยี่สิบกิโลกรัมแล้วเดินทางกลับไปหาหมีใหญ่

 

กระต่ายหัวใสนึกออกทันใดว่าควรเด็ดกลีบทิ้งเสียเพื่อลดน้ำหนักสิ่งที่ต้องขนกลับ แถมโจทย์ก็คือให้นำเกสรขาวผ่องกลับไป หมีใหญ่ไม่ได้สั่งให้นำมาทั้งดอกเสียหน่อย กระต่ายหนุ่มนึกได้เช่นนั้นก็ยิ้มกว้างราวกับตนได้รับชัยชนะ

 

. . .

 

เวลาผ่านไปสักพักหนึ่ง เจ้ากระต่ายรีบวิ่งรี่กลับไปยังจุดเริ่มต้นที่หมีใหญ่ได้รออยู่ ครั้งนี้มันวิ่งให้เร็วกว่าเที่ยวแรก และมั่นใจว่าจะแซงเต่าชรานั่นได้แน่นอน แต่จนแล้วจนรอดระหว่างทางมันก็ไม่พบเต่าเลย กระทั่งใกล้ถึงเส้นชัย มันจึงได้เห็นเต่าชราตัวนั้นกำลังเดินมาจากอีกเส้นทางหนึ่งที่มีป้ายเด่นชัดว่า “ทางลัดไปต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์”

 

กระต่ายหนุ่มเห็นดังนั้นก็ขบฟันหน้ากรอดๆ แล้วเร่งความเร็วจนแทบจะบินได้ เสียงสัตว์อื่นดังขึ้น เชียร์และลุ้นไปกับมัน ยิ่งใกล้เส้นชัยเสียงยิ่งอื้ออึง และความเร็วจากฮึดสุดท้ายของกระต่ายก็ทำให้มันเข้าเส้นชัยได้พร้อมกับเต่าพอดิบพอดี

หมีใหญ่ตกใจที่ทั้งสองเข้าเส้นชัยพร้อมกัน เหยี่ยวที่รับหน้าที่ประจำการอยู่ที่เส้นชัยก็ยืนยันอีกคำรบหนึ่งว่า ทั้งกระต่ายและเต่าเข้าเส้นชัยพร้อมกันพอดีเป๊ะเลยทีเดียวเชียว หมีใหญ่ระทึกใจไม่น้อย แต่ก็มีสติพอจะรู้ว่าการตัดสินยังไม่สิ้นสุด ทั้งเต่าและกระต่ายยังต้องส่งมอบเกสรสีขาวผ่องให้หมีใหญ่ด้วย

 

เต่าเดินเฉื่อยช้าแล้วไปวางดอกไม้สีเทาหม่นหนึ่งดอกไว้ที่แท่นเบื้องหน้าหมีใหญ่ “ดีมากคุณเต่า ดอกสีเทาหมองๆ เช่นนี้ มักมีเกสรขาวผ่องกว่าดอกสีใด” เมื่อหมีใหญ่กล่าวเสร็จก็หันไปหากระต่ายบ้าง กระต่ายยังคงค้นหาเกสรที่ตนนำมา พร้อมกับพึมพำให้พอจะได้ยินว่า “ข้านำมาหลายดอกกว่านั้นมาก” แต่หลายดอกที่ว่านั้นกลับไม่พบสักดอกเดียวหรือแม้สักเสี้ยวส่วนเกสร

 

หมีใหญ่ไม่ชอบการรอคอย จึงกระแอมแล้วถามขึ้นว่า “ไหนล่ะ ไหนเกสรขาวผ่องที่ข้าต้องการ ไหนล่ะที่ว่ามีมากนัก” กระต่ายหนุ่มหยุดค้นหา เงยมองหมีใหญ่ก่อนตอบคำ “มันต้องอยู่สิน่า ข้าเอามาด้วยตั้งเยอะแยะ เป็นสิบดอกเลย เพียงแต่มันหนัก ข้าเลยเด็ดกลีบดอกมันออกเสียเกลี้ยงแล้วเก็บมาแต่เกสร มันก็คงจะหายากหน่อย รอประเดี๋ยว เดี๋ยวพวกท่านจะตะลึง”

 

สัตว์ทั้งหลายต่างเฝ้าคอย พวกที่พนันไว้ยิ่งระทึกในอก บ้างก็พึมพำว่า “ก็เกสรมันไม่ปลิวหายไปหมดแล้วรึ วิ่งมาเร็วขนาดนั้น แถมเด็ดกลีบดอกออกหมดสิ้น ใครที่ไหนเขาทำกัน บาปแท้!” เหตุผลต่างๆ ผุดพรายขึ้น มีทั้งที่เอาใจช่วยกระต่ายและแช่งให้กระต่ายพ่ายแพ้ – ก็พวกเล่นพนันน่ะนะลูก เขาไม่ได้ชอบใครเกลียดใครจริงๆ จังๆ หรอก เขาแค่ไม่อยากแพ้และไม่อยากเสียสตางค์ก็เท่านั้น

 

ทันใดนั้น ท่ามกลางแนวคิดอันหลากหลาย หนูช่างสังเกตตัวหนึ่งก็โพล่งขึ้น “ทำไมเจ้ากระต่ายถึงมีขนสีขาวไปได้ ผิดจากเทือกเถาเหล่ากอของมันจริงๆ พ่อแม่พี่น้องของมันก็ดำบ้างน้ำตาลบ้าง จะมีสีสว่างก็แค่เทาๆ  เท่านั้น ข้าจำได้ว่าก่อนแข่งน่ะ ตัวเจ้าก็ไม่ได้สีขาวนี่!” เสียงร้องแหลมของหนูสะกดให้ทุกคนเงียบและตั้งข้อสังเกตตาม

 

หมีใหญ่เข้าใจตั้งแต่ตอนที่กระต่ายหนุ่มนั่นบอกว่ามันเด็ดกลีบดอกออกแล้ว ตำนานเผ่าหมีเล่าไว้ชัดเจนว่า เกสรจากดอกของต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์นั้นเมื่อสัมผัสโดยตรงจะทำปฏิกิริยาพิเศษ เจ้าเกสรนี่เองที่ทำให้บรรพบุรุษรุ่นแรกตัวหนึ่งของหมีใหญ่มีขนขาวผ่องและต้องย้ายไปยังขั้วโลกเหนือ เพราะสัตว์ทุกตัวคิดว่าหมีขาวตัวนั้นโดนคำสาปอะไรสักอย่างเข้า จึงรวมตัวกันแล้วไล่ออกไปจากป่า – สีขาวเป็นสีอันตรายอย่างยิ่งทั้งต่อตนเองและผู้อื่นนะลูก เต่าอย่างพวกเราก็ไม่มีสีขาวเลยเห็นไหม

 

หมีใหญ่เก็บตำนานนั้นไว้ มันประกาศว่า เต่าเป็นผู้ชนะ ส่วนกระต่ายสีขาวไม่เข้าพวกก็โดนเนรเทศเพราะสีประหลาดของมัน มันเร่ร่อนไปจนเจอเมือง โชคดีนัก ณ ที่แห่งนั้นผู้คนหลงใหลสีขาวของมัน กระต่ายสีขาวผ่องจึงได้อยู่อย่างสุขสบาย อิ่มอ้วนสมบูรณ์ในแต่ละวัน จนมันลืมเรื่องราวในอดีตเสียสิ้น ลืมแม้กระทั่งว่าครั้งหนึ่งนั้นตนเองปรารถนาจะเป็นเจ้าแห่งความเร็วมากเพียงใด

 

หลังการแข่งขัน เต่าได้รับยกย่องให้เป็นยอดความเร็ว ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี สัตว์ทั้งหลายในป่าแห่งนี้ก็ยังหมกมุ่นอยู่กับเรื่องความเร็ว มีเพียงแต่เต่าอย่างพวกเราเท่านั้นแหละลูกเอ๋ยที่รู้ว่าบรรพบุรุษของเราเอาชนะได้ด้วย…อ้าวหลับเสียแล้ว ไม่ต้องสรุปข้อคิดของนิทานแล้วสินะ

 

— แล้วแม่เต่าก็เข้านอนพร้อมลูก ๆ ของหล่อน

 


 

NX

NX

นักเขียน / NX's home

นักเขียนนิทานที่พยายามทลายทุกข้อจำกัดของเรื่องเล่า ตั้งใจจะเขียนงานสม่ำเสมอเหมือนกัน

ขนปุย

ขนปุย

นักวาด / บ้านขนปุย

นักวาดภาพผู้กำลังฝึกฝนตนเองให้เป็นประชากรเช้า ตั้งใจว่าปีนี้จะมีผลงานสม่ำเสมอ

Comments

comments

You may also like

Leave a comment

error: