SCHOOL LIFE No.10

นักฝันนิยาย

 

เหมือนยังเรียน ม.ปลาย อยู่เลย

 

เสื้อกับกระโปรงนักเรียนเก็บไว้ 3 ปี แล้ว

 

คิดอะไรไม่ออก ตื่นมามองอะไรก็เห็นมันว่างเปล่า รองเท้าคู่นั้นอะไรกันนะ ปากกานั่นล่ะ เพลงนี้มันทำไมกัน กลวงเบาอย่างกับลูกโป่ง

 

อยากเป็นฉันเมื่อ ม.ปลายอีกครั้ง มองนาฬิกาแล้วรู้ว่าพรุ่งนี้วันจันทร์ต้องไปเรียนนะ วันอังคารมีการบ้านส่ง เย็นวันพุธจะดูหนังเรื่องอะไรดี จ้องเข็มเวลาค่อยๆ ผ่านไปอย่างรำคาญใจ เมื่อไหร่จะวันศุกร์ คิดถึงคนที่แอบรัก คิดแค้นคนที่เกลียด ไร้สาระ ไม่ต้องคิดอะไรมาก เป็นของคนอื่น

 

ในตอนนั้นก็น่าเบื่อนะ แต่ไม่ชอบตอนนี้เลย อยากหลับให้พ้นๆ ไปอีกวัน

 

ฝันก็ยังเป็นฉันในชุดนักเรียน

 

เตรียมสอบมหาวิทยาลัยมา 3 ปีแล้ว ไม่ใช่ว่าสอบไม่ติด แต่ไม่มีใครพอใจ ทั้งฉัน ทั้งที่บ้าน

 

ปีแรกยังรู้สึกว่ามีเป้าหมายต้องทำให้สำเร็จ แต่ปีที่สามมันว่างเปล่าไปหมด

 

ปีหน้าเพื่อนก็จะจบมหาวิทยาลัยกันแล้ว

 

อยากออกไปข้างนอกให้มากกว่านี้ (ไปกินข้าวหน้าปากซอย ออกไปหาขนมร้านสะดวกซื้อก็คือไปข้างนอก แต่ฉันหมายถึงอะไรอย่างออกไปนั่งโง่ๆ ดูเรือริมแม่น้ำ) รู้สึกผิด เหมือนว่าฉันทำได้แค่นี้เอง จะออกไปข้างนอกทำไม ฉันสมควรได้ไปหรือ

 

ทั้งสงสารทั้งเกลียดตัวเอง

 

เป็นแบบนี้ทีไรก็เปิดคอมพิวเตอร์เขียนอะไรสักอย่าง

 

ไม่รู้ทำไม พอเขียนแล้วฉันมองเห็นตัวเองที่ดีกว่านี้ มีความสุขกว่านี้ในอนาคต อาจได้เป็นใครสักคนที่สำคัญ มีสิ่งที่อยากมี ได้ทำสิ่งที่อยากทำ โกหกรึเปล่า กลัวเป็นอย่างนั้น โกหกแน่ๆ ฉันมองไม่เห็นปลายอุโมงค์ แสงกะพริบไกลๆ นั่นเป็นเทียนหรือกองไฟกันนะ

 

เพื่อนในเว็บไซต์คนหนึ่งไปได้สวยกับการประกวดรางวัล แต่ฉันไม่มีหัวในสายนี้เลย มีต้นฉบับเขียนทิ้งๆ ขว้างๆ ไว้เยอะแยะ อยากเป็นใครล้านแปด กฤษณา อโศกสิน, บานาน่า โยชิโมะโตะ, อคาทา คริสตี้, เจ เค โรว์ลิ่ง ฯลฯ แต่ไม่ได้เป็นใครเลย ฉันเป็นใครก็ไม่รู้

 

งานช่วงหลังไม่ผ่านบรรณาธิการอยู่เรื่อย พยายามเท่าไหร่ก็ไม่ไปข้างหน้า ทั้งๆ ที่พยายามเขียนเอาใจแล้ว แต่ก็ไม่รู้ทำไมถึงไม่สำเร็จนะ

 

ตอน ม.4 นั่นเหมือนฝันเลย ได้อีเมลจากบรรณาธิการคนหนึ่งบอกว่าสนใจต้นฉบับที่ฉันลงไว้ในเว็บไซต์ เพิ่งจะ 16 เอง กลายเป็นคนพิเศษในโลกใบเล็กๆ ของตัวเอง เหมือนเจอความหมายบางอย่าง ในตอนนั้นฉันฝันไว้ไม่รู้เท่าไหร่ ฝันว่าตัวเองจะเป็นนักดนตรี เป็นนักวิ่งระยะไกล เป็นคอลัมนิสต์ฝีปากกล้าวิพากษ์วิจารณ์สังคม ฝันและฝัน ทั้งหมดนั่นเริ่มจากต้นฉบับเรื่องนั้น

 

ถ้าได้มหาวิทยาลัยและคณะที่ต้องการแล้วก็คงจะได้มีเวลาเขียนนิยายได้อย่างสบายใจสักที ฉันคงต้องทิ้งนักวิ่งระยะไกลแล้วล่ะ

 

รุ่นน้อง ม.4 อยู่มหาวิทยาลัยปีหนึ่งแล้ว

 

นิยายก็เขียนค้างไว้ หนังสือเตรียมสอบก็กางทิ้งไว้ ฉันตื่นขึ้นมาเพื่อจะกินข้าวอาบน้ำแล้วก็นอนหลับอีกครั้ง

 

เขียนไว้ 100 หน้า แต่เนื้อเรื่องยังไปไม่พ้น 5 บทแรกในความคิดเลยด้วยซ้ำ พอไปต่อไม่ได้ก็วกวนยืดเยื้อ เล่าถึงตัวเอกสองคนมา 100 หน้าแล้ว พระเอกยังไม่ออกจากโรงพยาบาลเลย นางเอกที่บริจาคหัวใจให้เขาก็เอาแต่แกล้งคนมาเยี่ยม

 

บรรณาธิการบอกว่าถ้าเขียนจบ เรื่องนี้น่าจะได้ตีพิมพ์ เรื่องแรกเลยที่บรรณาธิการบอกว่าน่าสนใจทั้งที่ยังเขียนไม่เสร็จ

 

คิดถึงมันอยู่ตลอด มีความหวังขึ้นมาอีกแล้วสิ ตั้งเดือนแล้วที่ไม่ได้ออกไปไหน อยากออกไปคิดงานเขียนที่อื่นบ้าง

 

ที่ไหนดี? ร้านหนังสือ? ริมแม่น้ำติดมหาวิทยาลัยที่อยากสอบเข้าให้ได้? ที่ไหนก็ได้ ระหว่างคิดย่อ 100 หน้าให้เหลือ 5 บท ฉันเผลอหลับซบไหล่คนข้างๆ บนรถไฟฟ้า รู้ตัวทั้งที่หลับว่ารบกวนเข้าแล้ว แต่ฉันยังตื่นไม่ได้

 

ฉันฝัน

 

เรื่องของเด็กหนุ่มที่มองเห็นอดีตที่ไม่เกิดขึ้นของคนอื่น ดูไม่มีความหมายเลย แต่อดีตที่ไม่เกิดขึ้นกลับมีความหมายสำคัญกับชีวิตคนๆ นั้น เขามองเห็นความเป็นไปได้ที่สองในความตายของพ่อนางเอก ว่าพ่อเธอจะไม่ตาย แต่ไปหาชู้รัก

 

ฉันสะดุ้งตื่นเพราะเขาปลุก

 

“ผมกำลังจะลงสถานีหน้าครับ” เขาบอก ชายหนุ่มผมรองทรง ลายเสื้อยืดกับทรงยีนส์ที่เขาใส่ทำให้ฉันคะเนอายุไม่ออก ไม่น่าจะเกิน 30 เขาดูสุขุม แต่อะไรบางอย่างในการเคลื่อนไหวของเขาดูยังเป็นเด็กหนุ่ม

 

ฉันขอโทษขอโพย กุลีกุจอหาปากกากับสมุดในกระเป๋ามาจดเรื่อง

 

ปากกาหัวลูกลื่นแตก

 

“ขอโทษนะคะ พอจะมีปากกาให้ฉันยืมไหม” ฉันถามเขา “ขอซื้อต่อแล้วกันค่ะ”

 

เขายิ้ม ยื่นปากกาให้ ไม่ขอรับเงิน

 

ฉันเขียนชื่อเรื่องขมวดประเด็นทั้งหมดไว้ว่า ‘เด็กหนุ่มผู้มองเห็นอดีตที่เป็นไปไม่ได้’

 

“ผมก็ชอบเรื่องนั้นนะ” เขาพูด

 

“ตอนที่เขาพะวักพะวงเพราะรู้อดีตของพ่อนางเอกว่าในความเป็นไปได้ที่สองพ่อเธอไม่ได้ตายแต่ไปหาชู้ ผมชอบความรู้สึกขัดแย้งแบบนั้น เขาจะต้องปลอบโยนเธอ แต่เขาพูดไม่ได้ มันเป็นหนามน่ารำคาญทิ่มแทง”

 

ฉันยังไม่ทันเขียนเรื่องย่อลงไปด้วยซ้ำ

 

เขายิ้ม เหมือนเห็นกระต่ายติดบ่วงที่เขาผูกไว้

 

“ทั้งๆ ที่ไม่เกี่ยวกับชีวิตเขาเลยนะ แต่มันก็แบบนี้ อยู่ๆ ใครคนหนึ่งก็พุ่งเข้าหาความลับที่ตัวเองไม่เกี่ยวข้อง พาตัวเองไปติดในความเจ็บปวด เด็กนั่นตามหาความจริง พบว่าในความเป็นไปได้ที่สองของชู้ที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับพ่อของเธอ… เอ้อ ผมไม่รู้คุณอ่านจบยังนะ …หล่อนจะเป็นแม่ของนางเอก ไม่ว่าใครจะเป็นแม่ หล่อนก็จะเกิด ส่วนแม่ของเธอ ในความเป็นไปได้ที่สองจะได้แต่งงานกับพ่อเขา เขาจะเกิด และจะยังมีชีวิตอยู่ไปอีกนาน ไม่ต้องจากไปเหมือนแม่คนนี้ที่ว่ายน้ำไปช่วยเขาเมื่อตอนห้าขวบ”

 

ฉันนิ่งเงยมองเขาตาค้าง รถไฟฟ้าค่อยๆ ชะลอขบวน

 

“ต้องขอโทษนะครับ คุณเขียนเรื่องนั้นไม่ได้ มันเป็นของผม”

 

…….

 

เขาให้ฉันเข้ามาในฝัน

 

เขาไม่ได้หลับหรือคิดถึงเรื่องนั้นอยู่เลยด้วยซ้ำ แต่จะเรียกว่า ‘ฝัน’ ก็คงไม่ผิด

 

“นั่นเป็นเรื่องสั้นที่ผมเขียนเสร็จเมื่อเร็วๆ นี้น่ะ” เขาบอก วันนั้นฉันเดินตามเขาเหมือนคนซื่อบื้อ เขาไปไหนก็ไป คุยกันสัพเพเหระ เราจบลงที่มุมกาแฟในร้านหนังสือ

 

เขาหยิบงานเล่มหนึ่งจากเป้มาวาง ซีมัวร์ ของ เจ ดี ซานลิงเจอร์ เหมือนเขารู้สึกตัวว่าทำอะไรลงไปก็เลยเก็บมันเข้ากระเป๋า อธิบายด้วยสีหน้าขออภัยว่าบางทีก็ทำไปโดยไม่รู้ตัว เหมือนคนติดบุหรี่ อาจอ่านหรือไม่อ่าน แต่ถ้าครั้งไหนที่เขาไม่ทำหรือไม่เผลอทำจะรู้สึกประหลาดๆ เหมือนลืมอะไรไปสักอย่าง ฟันเฟืองแหว่ง แล้วการกระทำต่อจากนั้นก็จะ ‘สะดุด’ เหมือนข้าม 1-3-4-5

 

“เล่มนี้สนุกเหรอคะ?” ฉันถามซื่อๆ ไม่เคยอ่านงานแนวนี้ แต่รู้จักนักเขียนคนนี้ มีหนังสือบางประเภทที่ไม่ได้ข้องแวะเลย แค่อ่านกระดาษแผ่นแรกก็รู้ได้ว่า ‘นี่ของฉัน’ รึเปล่า

 

“อ่านครึ่งเล่มแรกก็พอ ครึ่งหลังไม่รู้จะเขียนทำไม” เขาพูดทั้งยิ้มๆ “ผมปิดหนังสือครึ่งหลังลงตั้งแต่อ่านเจออะไรแบบ ‘กวีกับความจริงแท้’ แล้วล่ะ”

 

ดูเป็นคนอวดโอ้ แต่เพราะเจอคนคล้ายกันรึเปล่านะ จริงๆ ฉันก็เคยมีเรื่องทะเลาะใหญ่โตบนเว็บไซต์ที่เขียนนิยายประจำลงเพราะไปวิจารณ์นิยายนักเขียนรุ่นพี่เอาซะแรงเหมือนกัน

 

“อย่าเข้าใจผิดนะ ผมไม่ได้รังเกียจหนังสือแนวไหน เมื่อก่อนอาจใช่ สมัยที่ยังเชื่อว่ามี ‘กวีกับความจริงแท้’ น่ะ” เขาออกตัว “ผมชอบอ่านการ์ตูนเด็กสาวเหมือนกัน”

 

ฉันเขม่นจ้อง ดูไม่ออกเลยว่าคนๆ นี้จะถือการ์ตูนเด็กสาวอ่านได้

 

กำลังจะถามว่า เขาเป็นใครกัน แต่ก็ยั้งเอาไว้ ฉันไม่อยากตอบว่าฉันเป็นใคร

 

“คุณจำทุกอย่างได้ยังไง” ฉันถามเรื่องสำคัญ ม็อคค่าเย็นของฉันมาเสิร์ฟแล้ว เขายังต้องรออู่หลงร้อน

 

“มันไม่ควรเป็นไปได้ตั้งแต่ผมแบ่งปันฝันให้คุณแล้วไม่ใช่หรือไง” เขาหัวเราะ

 

“ผมก็แค่จำได้ทุกอย่าง แต่เฉพาะที่ตั้งใจว่านี่คือ ‘งานเขียน’ ไม่รวมฝันกลางวันเพ้อพกหรือฝันในตอนหลับ ผมจำได้ทุกตัวอักษร แม้แต่เหตุการณ์ที่ขีดฆ่าทิ้งไปแล้ว ในตัวผมเหมือนมีต้นฉบับทุกแผ่น ผมไม่ได้บันทึกงานในรูปถ้อยคำ แต่เป็นภาพเหตุการณ์กับคำพูด อย่างฝันที่เราเจอตอนหลับ” เขาอธิบายเรื่องพิลึก

 

“คุณมีสิ่งนี้มาตั้งแต่เกิดเลยงั้นเหรอ?” ฉันสงสัย เรียกได้ว่าเป็นพรสวรรค์?

 

เขาหัวเราะ

 

“มันเพิ่งเกิดกับผมเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ด้วยเหตุผลบางอย่าง”

 

“เมื่อตอนมหาวิทยาลัยปีสอง แฟนผมฝันถึงนิยายที่ผมเขียนไม่จบ ในตอนนั้นผมไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น แค่รู้สึกว่ามีใครซักคนกำลังเข้ามาในตัวผม ผมจะปล่อยผ่านหรืออนุญาตก็ได้ แล้วเธอก็ได้อ่านนิยายเรื่องนั้น ผมควบคุมไม่ได้หรอกว่าใครจะได้อ่านอะไร เธอใช้เวลาคืนนั้นอ่านมันจนถึงบทที่ค้างคาไว้ น่าจะเป็นเพราะเธอกอดผม” เขาเล่า

 

“แล้วทำไมถึงเป็นฉัน?” ฉันหน้าร้อนเมื่อนึกเรื่องน่าอายบนรถไฟฟ้า

 

“ขอโทษที่ต้องพูด เพราะผมถูกรบกวน คุณนอนซบไหล่ผม ผมเองไม่ได้ติดต่อกับใครผ่านวิธีนี้มานานแล้ว อยากแกล้งน่ะ ตั้งใจจะบอกให้รู้อยู่แล้วล่ะว่าฝันของคุณไม่ใช่ของคุณ” คำตอบเขาติดน่าชังหน่อยๆ ทะเล้นแต่วางมาด

 

“งั้นแฟนคุณก็ได้อ่านต้นฉบับทุกวันเลยสินะคะ” ฉันละลาบละล้วง นึกหมั่นไส้นิดๆ กับคำตอบเมื่อครู่

 

“ผมไม่ได้นอนกอดใครมาเกือบสิบปีแล้วล่ะ” เขาตอบชัด ไร้รอยขีดข่วนในน้ำเสียง

 

“แต่แบบนี้เรียกคุณว่าเป็น ‘ผู้กำกับฝัน’ ได้ไหม?” ฉันสงสัย

 

เขาส่ายหน้า หัวเราะร่วน

 

“บทภาพยนตร์กับนิยายแตกต่างกันนะ บทภาพยนตร์ต้องเขียนฉากและการกระทำของตัวละครด้วยคำที่เรียบง่ายเพื่อให้เห็นภาพชัดกำกับการแสดงได้ แต่นิยายมันเต็มไปด้วยความคิดนามธรรม บทพรรณา พอเล่าเป็นบทหนังแล้วกลวิธีใช้ถ้อยคำมันหายไป เวลาผมคิด ผมไม่ได้คิดให้มันเป็นบทภาพยนตร์ ผมคิดเป็นเรื่องเล่าในใจ ผมมีถ้อยคำ” เขาอธิบาย

 

ถ้อยคำ จริงด้วย ฉันรู้สึกได้ ในตอนอ่านเรื่องสั้นของเขาในฝัน มันมีถ้อยคำกระซิบในใจอยู่ตลอด ‘เขาไม่รู้ว่าจะต้องเดินเคียงข้างเธอแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ เธออาจรู้สึกอุ่นใจ ถูกปลอบโยน แต่เขาเจ็บปวดเพราะเขารู้ความจริงของความตายพ่อเธอที่แจ้งแถลงไขไม่ได้’ ฉันจำเสียงเล่านี้ได้ มันเป็นเสียงของเขานี่เอง ฉันไม่ทันเอะใจ นึกแต่ว่าฉันกำลังฝันถึงนิยายของตัวเอง

 

“ขอโทษที่ไม่สุภาพนะ ตอนคุณเปิดกระเป๋าบนรถไฟฟ้า ผมเห็นคล้ายๆ สมุดกวดวิชากับชี้ทข้อสอบ คุณกำลังเตรียมสอบมหาวิทยาลัยงั้นเหรอ?”

 

ฉันหน้าเจื่อนลง

 

“ขอโทษที” เขากล่าวสุภาพ “ผมไม่ทราบว่าบางเรื่องกระทบใจคุณ”

 

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” ฉันฝืนยิ้มให้ “ฉันเองก็…เป็นนักเขียน”

 

“ผมพอจะเดาได้ จากที่คุณทำ เฮ้ คุณพูดออกมาตรงๆ ก็ได้ว่าเป็นนักเขียน อย่าลำบากใจ อย่าคิดว่ามันสูงส่ง พูดเถอะ” เขายิ้มอย่างเข้าใจ “บางทีผมก็ไม่ควรจะคุยเรื่องนี้เหมือนกัน ใช่ไหม?”

 

ฉันยิ้มเดิมให้อีกครั้ง

 

“แล้วคิดว่ามันมีเหตุผลอะไรหรือเปล่าคะที่คุณฝันนิยายได้” ฉันวกกลับมาที่เรื่องของเขา

 

ในตอนนั้นเองที่ฉันเพิ่งเห็นเขาเศร้าเป็นครั้งแรก เขายิ้มหม่นเทา เบือนหน้าหนี

 

“ผมหัดเขียนเมื่อ มอปลาย แล้วก็จบลงตอน มอปลาย ผมไม่มีทางทำอะไรได้นอกจากเขียน น่าเศร้าแบบนั้น แต่… มันมีบางอย่างยากลำบาก ผมไม่เขียนอะไรอีกเลย รู้ตัวอีกทีผมก็ฝันและแบ่งปันให้บางคน”

 

“ผมไม่ได้เขียนอีกต่อไปแล้ว บางทีเพราะแบบนี้ผมถึงได้ฝัน”

 

…………

 

‘ปากกาหนักเหลือเกิน’

 

เขาบอกว่า เออแฌน อิโอเนสโกเคยกล่าวไว้

 

ฉันเป็นผู้เล่าถึงตัวเขา ฉันค่อยๆ หายไป เป็นเหมือนคนที่ดูแลแม่ไก่ให้ฟักไข่ แสงไฟจับอยู่ที่แม่ไก่อย่างเขา

 

เขียนในใจนั้นง่ายกว่าและเป็นสุขกว่า

 

ฉันก็เคยรู้สึกแบบนั้น นิยายบางเรื่องฉันก็คิดเล่นๆ ไม่เคยนึกเขียนเลย เพราะถ้าเขียนฉันจะเกลียดมัน

 

ฉันรู้จักเขา 3 เดือนแล้ว พบในบางเสาร์ ณ หอสมุดสักแห่ง หาซอกชั้นหนังสือเงียบๆ นอนหนุนหลังเขาหลับอ่านเรื่องที่เขาเขียนในฝัน ไม่เคยตื่นเต้นที่จะได้นอนหลับแบบนี้มาก่อน

 

ฉันคุ้นเขามากขึ้น ทุกครั้งที่ได้หลับไปบนแผ่นหลังนั้น แต่เราระมัดระวังมากที่จะพูดเรื่องของตัวเอง เหมือนทั้งเขาและฉันรู้สึกเหมือนกันว่ามันยังไม่ใช่เวลา เอาไว้คราวหน้าแล้วกัน

 

เขาแซวว่า สระผมมาด้วยนะ ฉันยื่นคำว่าเขาก็ต้องใส่เสื้ออาบน้ำยาปรับผ้านุ่มกลิ่นที่ฉันชอบด้วย

 

“ทำไมผมต้องทำด้วยล่ะ” เขาพูดเหมือนธุรกิจนี้ตัวเองเหนือกว่า

 

“นักเขียนคนไหนไม่ต้องการคนอ่านหรือคะ?” ฉันยิ้มเยาะ

 

ฉันตื่น พูดคุยถึงสิ่งที่เขาเขียน บางถ้อยคำที่ได้ยินกระซิบในฝัน ครั้งนี้ก็ได้อ่านเรื่องในวัยมัธยม เรื่องของเด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่ดวงตาเห็นแสงแปลกประหลาดจากคนอื่น

 

“ทำไมคุณชอบเขียนเรื่องมัธยมจัง” ฉันสงสัย  “คนอื่นอาจเขียนตามตลาด แต่คุณไม่ได้สนใจเรื่องนั้น”

 

เขายิ้มหมองให้ เอนตัวพิงชั้นหนังสือเบือนหน้ามองไปทางอื่น

 

“ส่วนหนึ่งของผมยังไม่เคยไปพ้นจากมัธยม มันยังอยู่ที่นั่น” เขาตอบ

 

ฉันปวดทรมานจนต้องกุมหน้าอก

 

“ในตอนมัธยม เราพบอะไรบางอย่างที่จะอยู่กับเราไปตลอด ไม่ทุกคน แต่มีแน่นอน เพื่อนที่ผมเหม็นขี้หน้าเป็นนักเรียนตัวแทนประกอบพิธีวันสำคัญทางศาสนา ตอนนี้กลายเป็นมัคนายกไปแล้ว ก็ประหลาดดี เพื่อนอีกคนทุกวันนี้เขายังตีกลองอยู่ซักมุมหนึ่งของเมืองนี้” เขาเล่า หัวเราะเหมือนไม่แน่ใจว่าควรรู้สึกอย่างไร

 

“เรามีวัยมัธยมอยู่ในแกนกลางเรา ดันทุรังจะให้มันไปด้วย เลือกชีวิตที่จะมีมันอยู่ แต่ว่า… ท้องฟ้าไม่ได้สนใจว่าเราต้องการอะไร ท้องฟ้าไม่ได้ต้องการเราด้วยซ้ำ แล้วเราก็ออกห่างจากโลกนี้ไปเรื่อยๆ ผมมีคนรอบข้าง ผมรักพวกเขา นั่นแหละที่น่าเศร้า เมื่อผมยังคิดว่า วันหนึ่งผมคงเขียนเรื่องเล่าลงบนกระดาษได้สักที แต่ผมก็ยังล้มเหลวไปเรื่อยๆ”

 

“ผมหัดเขียนนิทานตอนประถมต้น ได้ค่าเรื่องเป็นไอศครีมรสชาเย็นราคาถูกที่สุดจากเพื่อนคนหนึ่งที่ตั้งตัวเองเป็นบก. ตอนนี้เธอกลายเป็นนางพยาบาลไปแล้ว โรงพยาบาลฝั่งตรงข้ามแม่น้ำหอสมุดที่เราอยู่ พออายุ 16 อาจารย์คนหนึ่งก็บอกว่าผมเขียนเรื่องดี ทำไมไม่ส่งประกวดล่ะ”

 

งานประกวด? ฉันจำได้ว่าเคยส่งเหมือนกันเมื่ออายุเท่านั้น แต่ไม่ได้อะไรมาเลย รางวัลในโรงเรียนนั่นมันเหมือนเป็นของฉันอยู่แล้ว ฉันไม่ได้อวดโอ้ แต่โรงเรียนมันก็เล็กแคบอย่างนั้น

 

เขาถอนใจ ข่มตานึกถึงวันเก่า

 

“ผมเขียนถึงเรื่องพ่อเพื่อนยิงเมียตัวเอง เขียนมันลงไปทื่อๆ ไม่ได้สอนใจอะไร ไม่สะท้อนสังคมด้วย เพราะผมก็ไม่รู้ว่าเขายิงทำไม คืนวันหนึ่งอยู่ๆ ก็ยิงเลย แต่เหตุการณ์มันสาหัสมาก กรรมการชอบ พวกเขาเหมือนติดในปมที่มีคำตอบแต่ก็ไม่มีคำตอบ ผมได้รางวัลระดับประเทศรางวัลหนึ่ง แต่ต้องปฏิเสธ ถูกครหาว่าอาจให้คนอื่นเขียนส่ง อายุแค่ 16 เอง ยิ่งกว่านั้น ผมถูกตัดเพื่อนเพราะเอาเรื่องของเขามาเขียน”

 

เขาเว้นช่องว่างลึก คล้ายติดขัดที่จะเล่าความทรงจำออกมา

 

“ผมพยายามเขียนเรื่องที่สมบูรณ์กว่างานชิ้นนั้น เพื่อพิสูจน์ตัวเองให้สิ้นข้อกังขาและคำประณาม แล้วในจุดหนึ่ง แทบทุกครั้ง ผมพบว่าถ้อยคำในใจพอเขียนออกมามันกลับผิด ทั้งที่ก็เป็นคำเดียวกัน แต่พออยู่บนกระดาษ พอได้อ่านในรูปหมึก ผมผิดหวัง เหมือนว่าอยู่ในความนึกคิดมันสมบูรณ์ มองมุมไหนไตร่ตรองยังไงก็สมบูรณ์ แต่พอออกมาอยู่ข้างนอก ผมกลับรู้สึกได้ว่ามีสายตาคู่อื่นกลุ้มรุมจ้องดู แล้วคำๆ นี้มันก็กลับบกพร่องไป”

 

ถ้าเขียนแล้วไม่สมบูรณ์ ไม่เขียนออกมาดีกว่า? นั่นคือความคิดของเขางั้นเหรอ?

 

“คุณคงคิดว่างี่เง่า มันไม่มีเรื่องเล่าที่สมบูรณ์ขนาดนั้น ถ้าอยู่กับมันมานานก็คงจะเกลียดเข้าสักทางหนึ่ง ผมก็เหมือนกัน ผมมีพละกำลังไม่มากนักที่จะแก้ก้อนปมที่ผูกผมไว้เมื่ออายุ 16 ทั้งชีวิตผมอาจเขียนได้แค่ 10 เรื่องเท่านั้น ผมมั่นใจแบบนั้น ตอนนี้ผมมีอยู่ 5 คุณอ่านไปแล้ว 2 มันมีจุดอ่อนในเรื่องเล่าที่มีอยู่ ผมยังต้องแก้ไขมันซ้ำ และมันมีจุดอ่อนในตัวผม เพราะแบบนั้นผมถึงยิ่งจะพลาดไม่ได้ ผมยังไม่พร้อมจะเขียนลงบนกระดาษ”

 

“แล้วคุณล่ะ เป็นไงบ้าง” เขาโยนเรื่องมาหาฉัน “คุณไม่ใช่เสมียนบันทึกเรื่องของผมซักหน่อย คุณก็มีเรื่องเล่านี่”

 

“มันไม่ได้น่าสนใจขนาดนั้นหรอกค่ะ” ฉันเบือนหน้าไปทางอื่น

 

“รู้มั้ยมันน่าเศร้ายังไงสำหรับเราสองคน” เขาหยิบหนังสือเล่มหนึ่งจากชั้นมาพลิกเปิด “เราร้องไห้ให้ปัญหาของเราไม่ได้ เหมือนถ้าร้องไห้แล้วจะรู้สึกว่าไม่มีเรื่องน่าร้องไห้กว่านี้แล้วหรือไง”

 

“คงเป็นแบบนั้น” ฉันหัวเราะหม่นหมอง “มันฟังดูตลกมากเลย ฉันรู้สึกเหมือนว่ามีฉันคนเดียวในโลกที่กำลังจะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเป็นปีที่สามต่อให้พบคุณก็ตาม”

 

เขาปิดหนังสือ มองฉัน

 

“ฉันกลับไปเยี่ยมโรงเรียนมัธยมบ่อยๆ ในช่วงปีแรก ฉันมีรุ่นน้องที่รู้จักกันอยู่ เป็นแฟนหนังสือฉัน งานเขียนทำให้ฉันมีคนรู้จักเยอะเลยล่ะ ตอนที่ฉันกลับไป พวกเขาก็ยังยินดีต้อนรับ ถามฉันว่าเมื่อไหร่เล่มใหม่จะออก เมื่อไหร่เรื่องนั้นเรื่องนี้จะเขียนต่อ แต่ฉันก็รู้สึกนะว่า โรงเรียนไม่ใช่ที่ของฉันแล้ว ฉันเป็นคนอื่น ต่อให้กลับมาที่นี่บ่อยแค่ไหน ฉันมีข้างหน้าที่ต้องไป”

 

ฉันคู้ตัวกอดเข่า

 

“เหมือนฉันโง่มากเลยที่ทำไม่ได้ ชอบปลอบใจตัวเองว่า ต้องไม่เป็นไรสิ แล้วก็หลบไปเขียน เหมือนมันเป็นสิ่งเดียวที่ฉันไปข้างหน้าได้ ฉันจะเป็นหนึ่งสักวัน ฉันจะไม่เป็นไร แต่มันเป็นแบบนั้นจริงๆ รึเปล่า?”

 

“มันตลกไหมที่เรื่องแค่นี้เอง” ฉันถาม นึกรู้สึกประชดประชันตัวเอง แต่ฉันพ้นจากความเจ็บปวดนี้ไม่ได้ มองเห็นความล้มเหลว แต่เปลี่ยนแปลงไม่ได้

 

ไม่มีคำปลอบโยน เขาหันหลังให้ บอกฉันว่าหลับลงอีกครั้งสิ นิยายของเขายังเหลืออีกครึ่งที่ฉันยังไม่ได้อ่าน ฉันหลับลง แล้วเมื่อตื่นขึ้น เขาก็บอกฉันว่ายังไม่พร้อมให้อ่านเรื่องอื่น แต่จะไม่ใช่การพบกันครั้งสุดท้าย ถ้าฉันอยากจะพบ

 

“ครั้งหน้าฉันให้คุณอ่านต้นฉบับได้ไหมคะ?” ฉันถามอายๆ

 

“ผมไม่ถนัดอ่านนิยายเด็กสาว” เขาบอก “แต่เราอาจคุยกันถึงต้นฉบับนั้นไปในทางอื่นได้ อย่างนางเอกควรจูบพระเอกที่ไหนดี พระเอกควรเป็นพี่ชายแท้ๆ ไหม”

 

น้ำเสียงเขาเต็มใจ ฉันรู้สึกปลอดภัยอย่างประหลาด ถึงเวลาปิดหอสมุดแล้ว เราเดินขึ้นจากชั้นใต้ดินมาพบลมแม่น้ำอบอ้าว ฉันมองไปที่โรงพยาบาลฝั่งตรงข้าม ที่ทำงานของเพื่อนผู้จ่ายค่านิทานเขาเมื่อตอนประถม

 

“ชอบตอนจบของเรื่องเด็กหญิงคนนั้นนะ” ฉันบอก “แม้แต่ก้อนกรวดที่วางไว้ในบทแรกก็มาจบที่นี่”

 

“ขอบคุณ” เขาตอบ

 

เราแยกกัน ในครั้งหน้าฉันอยากมีต้นฉบับที่ดีพอให้เขาอ่าน เพราะงั้นก็คงอีกนานกว่าจะได้พบกัน อาจจนหลังฉันสอบเสร็จ

 

 


 

 

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

Kappasaisai@gmail.com

นักเขียนผู้หลงใหลการลับมีด เจ้าของเรื่องสั้น "ชายชราเบาหวาน" ที่ได้รับรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดประเภทเรื่องสั้น ปี 2555 ปัจจุบันใกล้จะมีนวนิยายของตัวเอง 1 เล่ม กับสำนักพิมพ์ Boligraf Book ยังคงเขียนงานอยู่อย่างต่อเนื่องที่บ้านของตน

 

Comments

comments

You may also like

Leave a comment

error: