SCHOOL LIFE No.9

 

เพื่อนพิเศษ

 

ไม่รู้ทำไมผมถึงชอบเล่นเกมสยองขวัญ ใช่ว่าไม่กลัว แต่ก็ทนเล่นจนจบได้ ครั้งนี้เป็นเกมให้ถือกล้องถ่ายวิดีโอเข้าไปในโรงพยาบาลบ้าเก่าร้าง ทำอะไรไม่ได้นอกจากหนีและหนี

 

“หลับตาปี๋อย่างนั้นจะเห็นอะไรล่ะ” ผมอดขำไม่ได้ เธอขอให้เล่นเกมนี้เองแท้ๆ

 

“ก็มันน่ากลัวนี่นา” เธอทำเสียงขี้แย เกาะหลังผมนั่งคู้ แอบดูกล้าๆ กลัวๆ ผีโผล่ทีก็สะดุ้งที กลัวเรื่องสยองขวัญแต่ก็อยากเอานิ้วแตะๆ

 

เธอหยิบแก้วน้ำ ลงไปที่ครัว เติมน้ำมะนาวที่เธอคั้นไว้กลับมาให้อีก หยิบทิชชู่มาเช็ดโต๊ะคอมพิวเตอร์ วางแก้วไว้ข้างมือซ้ายผมแล้วก็กลับมานั่งคู้ขี้แยเหมือนเดิม

 

เสียงสงกรานต์ดังสับสนไปตลอดย่าน เธอถอดแว่น ดึงชายเสื้อตัวเองเช็ด ห้องนอนผมเย็นฉ่ำ แต่พ้นประตูไปเป็นฤดูร้อนกลางเมษายน ไอน้ำจับแว่นเธอเป็นฝ้า

 

“นี่ไม่กลัวเลยรึไง” เธอถามหงอๆ

 

“กลัวอะไร น่ารำคาญจะตาย” ผมตอบเนือยๆ

 

“รำคาญอะไร?” เธองง

 

“รำคาญที่หัวใจเต้นไม่หยุดน่ะ” ผมหมายความตามนั้นจริงๆ รำคาญความพ่ายแพ้ ไม่ใช่เป็นคนกล้าหาญอะไร แต่รู้สึกว่ามันไม่ได้เป็นของมีค่าสำคัญที่จะต้องยอมรับเจ็บปวด

 

อยู่ๆ นาฬิกาโทรศัพท์เธอก็ดัง

 

ผมค่อยๆ อัดลมหายใจเข้าปอดลึก พยายามให้หัวใจช้าลง

 

แต่มันไม่ยอม ยิ่งเวลาผ่านใจก็ยิ่งเร็วขึ้น

 

ผมเข้าใจและยอมรับ

 

“แถมให้ห้านาทีแล้วกัน จบด่านนี้ก่อนก็ได้” เธอบอก แต่ผละลุกไปเก็บข้าวของตัวเอง

 

“ห้านาทีเล่นไม่จบด่านนี้หรอก” ผมพยายามพูดให้ฟังเมินเฉย

 

“นานเกินกว่านั้นผิดกติกานะคะ ไม่ได้หรอก” เธอพูดเสียงใส

 

ผมปิดเกมลง ถอดแว่นตัวเองเช็ด

 

“โกรธเหรอ” เธอถาม

 

ก็รู้สึกลึกๆ

 

และอบอุ่นใจเบาๆ ที่เธอรับรู้ แต่มันก็เป็นทักษะที่เธอต้องมีอยู่แล้ว

 

ผมหยิบกระเป๋าตังค์มานับเงินยื่นให้เธอ

 

“หวังว่าออกไปจะไม่โดนสาดน้ำปะแป้งนะ ให้ขับรถไปส่งไหม” ผมถาม หงุดหงิดที่นึกได้ว่ายังไม่ได้ทำโจทก์กวดวิชาเคมี ฤดูร้อนนี้จะจบหลักสูตรภาคเรียนแรก ม.5 แล้ว

 

เธอส่ายหน้า ห้างม้าสะบัดไกว

 

“จะนับว่าผิดกติกาดีมั้ยนะ ไปส่งเนี่ย” เธอยิ้มเจ้าเล่ห์

 

“จะผิดกติกายังไง ลูกค้าอุตส่าห์ขับรถไปส่ง เดี๋ยวก็เปียกพอดี” ผมเฉไฉ

 

“เกิน 5 นาทีนี่นา” เธอเย้า นับเงินซ้ำก่อนเก็บ

 

“กลัวลูกค้ารายอื่นจะเห็นมากกว่ามั้ง” ผมแหย่คืน เธอหัวเราะคิกคัก

 

“ขอบคุณนะวันนี้” เธอพูด

 

ผมเคืองใจบางๆ ที่ได้รับ

 

“พรุ่งนี้เจอกันมื้อเย็นห้าโมงครึ่งนะ” เธอยื่นหน้าจากหลังประตู “อย่าสายล่ะ ฉันติดงานต้องไปเป็นเพื่อนดูหนังรอบสองทุ่ม ต้องกลับไปเปลี่ยนชุดที่บ้านด้วย”

 

ประตูห้องนอนปิดลง ผมเปิดบานกระจกระเบียงออกไปยืนดูเธอ แดดบ่ายอ้าว ตั้งแต่ถูกจัดระเบียบย่านเล่นน้ำไว้แค่ไม่กี่แห่ง เมืองก็เงียบลงมาก มีเพียงบางบ้านที่เด็กตัวเล็กๆ มาตั้งกลุ่มถือปืนฉีดน้ำอยู่ประตูรั้วเพราะพ่อแม่ไม่ให้ออกไปเล่นข้างนอก

 

เหมือนรู้ เธอหันมายิ้มโบกมือให้

 

———-

 

“สวัสดีค่ะ” เธอทักทายผมในแชท ครั้งแรกที่เราติดต่อกันเมื่อปิดภาคเรียนแรก หยุดสั้นๆ 2 สัปดาห์ สั้นจนรู้สึกว่าไม่เพียงพอจะพักผ่อนให้หายหงุดหงิด แต่ก็รู้สึกว่าน่าเบื่อ เบื่อเกมที่ตัวเองเล่น เบื่อเพลงที่ฟัง เบื่อหนังที่ดู เบื่อเด็กสาวคนสนิทที่มาค้างบ้าน

 

ก็เด็กสาวคนนี้แหละที่บอกผมว่ามีเพื่อนแบบนึงอยู่ ถ้าน่าเบื่อ เธอก็เคยไปเดทดูหนังกับเด็กหนุ่มคนหนึ่ง

 

พวกเขาเรียกตัวเองว่า ‘เพื่อนพิเศษ’

 

แตะเนื้อต้องตัวไม่ได้ หากการสัมผัสนั้นเจตนาจะผูกพันลึกซึ้ง เธอเพิ่งเริ่มงานนี้ได้ 6 เดือน เพิ่งจะ ม.3 อยู่โรงเรียนคริสเตียนสตรีล้วน เราอายุเท่ากัน ผมจึงไม่ให้เธอคิดว่าผมเป็นรุ่นพี่

 

“คุณเป็นเพื่อนผมได้ไหม” ผมคุยสุภาพ มองรูปประกอบแชทที่เธอลงไว้ สวมชุดนักเรียนแขนยาว ถักเปียคู่ แว่นสีแดงก่ำจนดำคล้ำ คุณใช้รูปอื่นไม่ได้ คุณทำธุรกิจ ตอนนั้นเธอเพิ่งจะ ม.3 ผมเองก็เพิ่งขึ้น ม.4

 

“คุณคือใครคะ” เธอถาม

 

“ผมอยากจะลองเป็นเพื่อนคุณน่ะ” ผมตอบ พยายามไม่พูดอะไรแข็งๆ ตรงไปตรงมา

 

“ค่ะ แต่ว่า ฉันอยากรู้จักคุณสักหน่อยน่ะค่ะ ต้องขอโทษด้วยนะคะที่ฉันค่อนข้างระวังตัว” เธออธิบาย ผมพอจะเข้าใจว่างานแบบนี้มันก็ต้องระวังไว้บ้าง แต่ผมก็ยังคลางแคลง

 

“หมายถึง คุณต้องคัดบุคลิกเพื่อนที่คุณชอบเหรอครับ?” ผมสงสัย

 

“ไม่ใช่นะคะ” เธอตอบฉับพลัน “คุณจะน่ารักหรือเปล่า ไม่สำคัญค่ะ ฉันจะเป็นเพื่อน แค่อยากรู้ว่าจะต้องระมัดระวังอะไรบ้าง ไม่งั้นก็เป็นเพื่อนกันไม่ถูกน่ะค่ะ”

 

ผมเลยโทรหาเธอ บางทีถ้าได้ฟังเสียงกัน เธออาจรู้สึกปลอดภัยขึ้นบ้าง ผมรู้ว่ามันไม่จริงหรอก ความไว้ใจไม่ได้ง่ายดายแบบนั้น แต่ผมก็พยายามจะเอาใจใส่

 

เสียงเธออุ่น เหมือนผ้าห่ม เหมือนพี่สาวที่เอ็นดูเรา ผมชอบเสียงเธอ

 

แล้วเธอทำอะไร? ก็เป็นเพื่อน ในแบบที่อยากจับมือเบาๆ แต่อธิบายให้คนที่ไม่เข้าใจฟังก็คงถูกหัวเราะ บ่อยครั้งไปที่ได้ยินเยาะหยันว่าถ้ามีเงินขนาดนั้นทำไมไม่ซื้อกิน ผมไม่ได้เลือกเธอเพื่อเรื่องนั้น

 

พูดแล้วก็น่าอาย สามเดือนก่อนผมเคยลืมว่านัดเธอมาช่วยทำรายงาน (ต้องจ่ายพิเศษ) คืนนั้นผมโทรเรียกเด็กสาวต่างห้องที่คุ้นกันมา ปกติเราจะอยู่กันตั้งแต่ค่ำจนเย็นวันถัดไป ถึงนัดตอนสายเด็กสาวคนนั้นยังนั่งนุ่งผ้าขนหนูกินพิซซ่าอยู่ที่ครัว ผมต้องรับหน้าคุยกับเธอที่ห้องนั่งเล่นจนกว่าเด็กคนนั้นจะแต่งตัวกลับ

 

นึกว่าเธอจะตำหนิ แต่เธอไม่พูดอะไร คงมีกฎของตัวเองที่จะไม่ยุ่มย่ามชีวิตส่วนอื่นของลูกค้า ได้ยินว่ามีคนที่พยายามให้ลูกค้าเลิกสูบบุหรี่ พูดยาก เราก็อยากมีทั้งเพื่อนที่สูบบุหรี่ด้วยกัน เพื่อนที่ปล่อยให้เราสูบ และเพื่อนที่พยายามให้เราเลิก

 

เธออยู่กับย่าในย่านบ้านพักของผม นัดกันครั้งแรกที่บ้านพัก ผมอดประหลาดใจไม่ได้ที่เธอเดินมาหา ผมเลยรู้ว่าเธออยู่แถวนี้ รัศมีไม่กี่ร้อยเมตร (คงเพราะถ้าเอารถมา คนที่รู้จักจะเห็น)

 

แต่นี่ไม่ใช่บ้านของผมหรอก พ่อซื้อหลุดจำนองธนาคาร อยู่ในย่านที่พักอาศัยพนักงานเงินเดือน พอผู้เช่ารายล่าสุดเมื่อ 3 ปีก่อนเลิกสัญญา ผมก็ขอเป็นบ้านพัก รถที่ขับอยู่ก็ขอมา วันเรียนผมจะไปจอดในซอยฝั่งตรงข้ามโรงเรียน เขาไม่เคยว่าอะไรถ้ารายงานรายเดือนของบัญชีบัตรธนาคารผมไม่มีปัญหา

 

ผมอยู่กับพ่อไม่ได้ และพอใจที่เขาเหมือนไม่ใส่ใจ ไม่ใช่ว่าเขาอยากให้ผมเป็นอิสระหรือไม่อยากใส่ใจผม แต่เป็นความรับผิดชอบของตัวเขา มันเป็นเรื่องราคาที่เท่าเทียม เมื่อเขายังรักผมอย่างลูกชายที่ดีคนหนึ่ง และเขาตกหลุมรักหญิงสาวคนหนึ่ง ยังรักจนล่วงผ่าน 5 ปี ถึงกับซื้อบ้านหลังติดบ้านเราให้

 

ผมไม่ค่อยสนิทกับแม่ ไม่ชอบความแค้นของแม่ที่ราวกับถ้าไม่แค้นไม่เสียใจจะมีชีวิตต่อไปไม่ได้ ผมคงเป็นคนที่แย่มากๆ ที่พอแม่ร้องไห้ก็กลับบอกว่า ‘พอเถอะนะครับ’

 

พ่อกับแม่ยังกินข้าวด้วยกัน นอนเตียงเดียวกัน บนเตียงนั้นพวกเขาพูดถึงปัญหากิจการของอีกฝ่ายเพื่อจะหาทางออกที่ดีที่สุด

 

แต่พออยู่กับผม แม่ร้องไห้และโกรธชังพ่อ ไม่ใช่เพราะผมเป็นคนที่จะเข้าใจ แต่นั่นคือวิธีที่แม่เชื่อว่าผมจะไม่กลายเป็นพ่อ หวังว่าผมจะไม่ทอดทิ้ง และหวังให้เขาโดดเดี่ยวเป็นพ่อที่ถูกลูกชายที่รักเมินเฉย

 

ผมไม่เคยให้อภัยพ่อหรือคู่รัก แต่ก็รู้สึกว่าเป็นเรื่องห่างไกลออกไป

 

เคยถามทั้งคู่ในต่างโอกาสกันว่าทำไมถึงไม่หย่า แม่ตอบว่า ฉันจะไม่แพ้ แต่พ่อตอบว่า ธุรกิจต้องทนความบาดหมาง จริงๆ คำตอบแม่ก็คงมีนัยคำตอบพ่อรวมในนั้น ผมไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้ หรืออาจได้?

 

จะยังไงก็ช่าง ผมชอบชีวิตตัวเอง แต่ใครไม่น้อยก็รังเกียจ ผมไม่รู้จะพูดอะไรเวลาที่ได้ยินเสียงกระซิบกระซาบเหล่านั้น รู้สึกเหมือน… ผมจะดูโง่เง่ามากถ้าอธิบายให้ใครเข้าใจเรื่องนี้

 

พ่อผมเป็นลูกร้านชำ เขาก็เกลียดคนอื่นเหมือนที่ผมถูกเกลียด แต่เมื่อได้อยู่ตรงนี้ มั่งคั่งทรัพย์สิน เขาก็พบว่าตัวเองไม่ต่าง ไม่มีใครต่าง ที่ต่างคือเพียงไม่กี่คนที่มีโอกาสใช้ชีวิตคนที่ตัวเองเกลียด นั่นเป็นเรื่องน่าเศร้า

 

“ลูกค้าเยอะรึเปล่า” ผมลองถามในครั้งแรกที่เราเจอกัน มันเป็นไปไม่ได้ที่จะคุยกันเหมือนเพื่อนโดยที่ไม่ปล่อยบางเรื่องให้อีกคนรู้ แต่ผมไม่เคยทำอะไรอย่างนี้

 

ผมไม่ได้เคอะเขินที่มีผู้หญิงมาที่บ้าน แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะต้องวางตัวยังไงในธุรกิจนี้ เราเลยชวนกันล้างจานที่กองไว้มาทั้งสัปดาห์แล้วทำอะไรซักอย่างกินกัน

 

“น้อยนะ ถ้าเทียบกับระดับของคนนี้” เธอยื่นมือถือให้ดู ผมรู้จักคนนี้ รุ่นพี่ ม.5 โรงเรียนผมเอง บ้านเธอล้มละลายไปเมื่อหลายปีก่อน ผมเคยไปกินราเม็งกับเธอครั้งนึง น่ารักทั้งการแต่งตัว บทสนทนา กริยาท่าทาง แต่เสียงหัวเราะของรุ่นพี่มันซ้อนทับกับเสียงในวันเก่าๆ ผมจึงไม่ได้ติดต่ออีก

 

“งั้นถ้าให้เธออยู่ทั้งวันในบางวันก็ได้สิ” ผมถาม เธอเท้าคางมองเพดานนึกอยู่ซักพักก็พยักหน้าอย่างไม่แน่ใจ

 

“ไม่กลัวฉันรึไง” ผมแหย่

 

“ฉันไม่ไว้ใจลูกค้าคนไหนนะ” เธอตอบตรงไปตรงมา “แต่ก็คิดว่าเอาตัวรอดได้”

 

ผมรู้ว่าเธอก็ไม่แน่ใจหรอกว่าถ้ามันเกิดเรื่องขึ้นจริงๆ จะทำยังไง

 

“เคยไปบ้านลูกค้าคนอื่นรึเปล่า?” ผมจัดการข้าวไข่เจียวต่อ

 

“นี่ครั้งแรก” เธอตอบหน้าตาเฉย

 

“แต่ก็ไม่ได้ไว้ใจฉันขนาดนั้นไม่ใช่เหรอ” ผมงุนงง

 

“ก็นายจ่ายแพง” เธอหัวเราะ “เลยคิดว่าลองเสี่ยงดู”

 

———–

 

ถ้ารู้สึกเป็นเพื่อนกันขึ้นมาจริงๆ จะเกิดอะไรขึ้น?

 

ผมเคยถามเธอว่า เธอมีลูกค้าคนอื่นเป็นเพื่อนไหม เธอว่าก็มี กับกรณีอื่นการเป็นเพื่อนกับลูกค้ามันทำให้ธุรกิจดำเนินไปง่ายดาย แต่ในธุรกิจนี้ ผมค่อนข้างแน่ใจว่ามันเสียประโยชน์ เธอวางกรอบให้ชัดเจนว่าจะเป็นเพื่อนกันได้แค่ในมุมเล็กๆ มุมหนึ่ง อย่างเป็นเพื่อนพูดคุยถึงของสะสมที่ชอบ แต่เป็นงานถ้าจะไปเดินหาซื้อด้วยกัน

 

ไม่ใช่ลูกค้าทุกคนที่เป็นคนดี บางคนก็เอาแต่ใจงี่เง่า มองเธอเป็นสาวรับใช้ บางคนก็มองเธอเป็นคู่ขาที่ต้องคอยเอาใจ จริงๆ แล้วมันก็ไม่มีงานไหนที่น้ำหนักของการวางตัวจะเสมอกันอย่างเพื่อนจริงๆ แต่เธอก็รู้ว่ามันจะเป็นแบบนี้

 

แม้กับผมเอง น้ำหนักของผมยังมากกว่า ผมรู้ว่าเห็นแก่ตัว แต่ในสัญญาก็อนุญาตให้ผมทำแบบนั้นได้อย่างชอบธรรม ผมไม่ได้รู้สึกเสียใจ ถึงพยายามเอาใจใส่เธอ อยากเป็นเพื่อนกับเธอ แต่นั่นอาจผิดก็ได้ ที่อยากเป็นเพื่อนก็เพราะเธอวางตัวน่าหลงใหล แต่เพื่อนไม่ใช่ใครแบบนั้น

 

เธอมีหน้าที่ตามสัญญาเป็นเพื่อนที่พิเศษ เพื่อนที่ดี แต่เป็นเพื่อนในชีวิตของพวกเขาไม่ได้

 

เธอเลยไม่พูดถึงความเจ็บปวดของตัวเอง ไม่เคยร้องขอว่าฉันอยากจะพักผ่อน ช่วยอาทรฉันหน่อย แม้ผมจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบางอย่าง (หรือที่จริงแล้ว เธออาจจะสบายใจมากกว่าที่ได้อยู่กับลูกค้าอย่างผม) เธอไม่ใช่มืออาชีพถึงขนาดจะปกปิดมันไว้ด้วยเสื้อผ้าและน้ำหอมที่ผมชอบ สิ่งหนึ่งที่รู้จนได้คือเธอต้องแบ่งเบาดูแลย่า

 

วันหนึ่งกลางภาคเรียนแรก ม.5 ผมก็เลยไปหาเธอที่บ้าน เอาของไปเยี่ยมไข้ เธอดูอึดอัดที่ผมทำแบบนั้น ลูกค้าคนอื่นไม่มีใครเคยล่วงล้ำชีวิตส่วนตัวเธอขนาดนี้ ถึงแม้ใจหนึ่งเธอจะยินดีต้อนรับ แต่ผมก็ยังเป็นคนแปลกหน้า

 

ผมไม่น่าจะทำแบบนี้ เข้ามาในชีวิตส่วนตัวเธอ ควรเป็นลูกค้าอยู่ในกติกาที่เราเขียนร่วมกัน ผมลำบากใจ ไม่ได้อยากรู้ความเจ็บปวดของใคร แต่ในอีกความรู้สึกหนึ่ง มันก็ซื่อตรงว่าอยากมาเยี่ยมเธอที่บ้าน

 

“ไตวายน่ะ” เธอบอก เรานั่งอยู่ที่ครัว เธอคั้นน้ำส้มให้ผม “ทุกวันจันทร์น้าจะลางานพาย่าไปฟอกไตที่โรงพยาบาล โชคดีว่าย่ายังช่วยเหลือตัวเองได้ปกติ แต่มีปัญหาเรื่องไต”

 

“ทำไมถึงไม่มีคนอื่นคอยดูแล” ผมถาม แมวจรสีน้ำตาลทองกระโดดขึ้นมานอนหวดบนโต๊ะอาหาร เธอบอกว่ามันเป็นขาประจำ

 

“ฉันก็ไม่อยากดูแลหรอก” เธอพูดอ่อนโยน เสียงอุ่นหวาน จริงใจจนผมไม่ได้รู้สึกว่ามันหยาบกระด้างเลย

 

“แต่ต้องมีใครซักคน เราไม่ได้มีเงินจ้างพยาบาลส่วนตัว ก็คงจะมี แต่ไม่รู้สิ ให้เสียเงินกับเสียสละ ใครก็เลือกอย่างหลังมากกว่า ฉันเป็นลูกคนกลาง ย่าเคยเลี้ยงฉันกับพี่สาว แต่พี่สาวแต่งงานมีครอบครัวไปแล้ว ปัจจัยทุกอย่างก็ลงตัวที่ฉัน”

 

“เธอทำงานนี้เพื่อหาจ่ายค่ารักษาย่า?” ผมพยายามปะติดปะต่อเรื่อง

 

เธอหัวเราะเบาๆ อย่างเอ็นดูความคิดผม นั่งลงตรงข้ามฝั่งโต๊ะ

 

“มันเป็นของฉัน” เธอบอก “ฉันชอบราเม็งร้านที่เราไปกินกันบ่อยๆ นะ มือถือที่ใช้อยู่กับเกมที่เล่นก็ด้วย มีอะไรอีกเยอะแยะเลยที่หลังจากทำงานแล้วฉันได้เจอแล้วก็ชอบมัน มันทำให้ฉันรู้สึกว่าฉันจะมีความสุขได้ซักวันหนึ่ง”

 

เธอเองก็หนี เหมือนที่ผมหนีไปจากพ่อ ด้วยวิธีการเดียวกัน

 

ผมจูบเธอที่ครัวในวันนั้น แมวจรเป็นพยาน รสส้มติดริมฝีปาก เป็นเรื่องฝืนใจเธอหรือไม่ ไม่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเธอยินดีหรือเปล่า อาจแค่รู้สึกว่าจะตอบรับก็ไม่เป็นไร ไม่ได้เป็นเรื่องเจ็บปวดขนาดนั้น

 

เรานั่งเงียบกันซักพัก แล้วเธอก็พูด

 

“ฉันมีลูกค้านะ ต้องทำงาน” เธอตอบเสียงพร่า ผมรู้ว่าทำอะไรลงไป ไม่ได้มีนัยแฝงจะให้เธอหยุดงานนี้ ไม่มีเหตุผลจะต้องทำแบบนั้น

 

“ฉันจะจ่ายที่ทำลงไป” ผมบอก

 

เธอเงยหน้ามองผม กึ่งกลัวกึ่งเศร้า ดวงตานั้นทำให้ตระหนักได้ว่าผมว่าพูดอะไรออกมา

 

“ขอโทษ ไม่ได้จะทำให้จูบนั้นเป็นเรื่องงาน ไม่ได้จะให้เธอนึกถึงงานแบบนั้น ฉันหมายถึงฉันทำเรื่องน่าอาย ก็ควรต้องรับผิดชอบ”

 

“เปล่า” เธอก้มหน้าลง ผมไม่เข้าใจว่าเธอหมายถึงอะไร “ฉันไม่รู้ว่ามันควรมีราคารึเปล่า”

 

“ต้องมีสิ ก็…” ผมหยุดแค่นั้น อยู่ๆ ก็ไม่มั่นใจคำอธิบายของตัวเอง เหมือนกำลังตอบไม่ตรงคำถาม เธอรู้แล้วว่าทำไมผมถึงจะจ่าย ปัญหาคือ เธอไม่แน่ใจว่าเธอต้องการราคาของมันในเหตุผลนั้นหรือเปล่า เธออาจไม่ต้องการเหตุผลนั้นด้วยซ้ำ

 

“เดือนนี้ของดรับงานนายนะ” เธอก้มหน้า เสียงแทบเป็นกระซิบ “ฉันยังไม่ค่อยเข้าใจ”

 

————-

 

แต่เข้าเดือนที่ 2 เธอก็พยายามหลีกเลี่ยงการติดต่อของผม ไม่ตอบแชท ไม่รับโทรศัพท์ ผมพยายามจะขอโทษ แต่เราขาดการติดต่อกัน ผมยังไม่กล้าจะเผชิญหน้า ไม่ได้ไปรบกวนเธอที่บ้าน แต่ถ้าหากไปที่นั่นจริงๆ เธอก็คงไม่ออกมาต้อนรับ ไม่ได้ไปหาเธอที่โรงเรียนด้วย

 

ใคร่ครวญถึงจูบนั้น ผมผิดเหลือเกิน ล่วงล้ำข้ามเส้นกติกาที่บัญญัติไว้ สมเหตุสมผลที่จะไว้ใจผมไม่ได้

 

ผมรักเธอ แต่ไม่ต้องการคนรัก

 

แต่จะพูดเรื่องนี้ยังไง เธอคงเจ็บปวดว่าตัวเองไม่มีความหมาย ผมไม่มีถ้อยคำที่จะหยิบวางลงไปแล้วฟังไม่ระคายใจได้เลย เพราะถึงยังไงคนที่ฟังก็คงขุ่นเคือง เหมือนผมล้อเล่นกับความรู้สึกคนอื่น เพราะความรักที่สมบูรณ์คือการผูกพันแนบแน่น คือคำสาบาน คือชั่วกาลนาน

 

แต่หลังจากที่ผมมีครอบครัวแบบนั้นจะให้ผมเชื่อได้ยังไง ผมแตกป่นไปนานแล้ว สิ่งที่ผมเชื่อคือความผูกพันที่ไม่เจ็บปวด ไม่ว่ากับใคร ไม่สาบาน ไม่มีชั่วกาลนาน เบาบาง ไร้คุณค่า หากต้องไป ก็ไป

 

อยากคุยกัน ว่ารักเธอยังไง

 

ผมไปร้านราเม็งที่เคยพาเธอไปกินบ่อยๆ แต่ดูเธอคาดเดาออก ไม่เคยพบเธอที่นั่น ถึงอย่างนั้นก็ยังไปรอ อย่างน้อยรสชาติราเม็งก็เป็นเลิศ ผ่านภาคเรียนแรก ม.5 ไปอย่างเปล่าดาย คิดถึงและรู้สึกผิด

 

ล่วงเข้าสิ้นปี ที่โต๊ะในสุดของร้าน ผมถึงได้พบเธอ

 

“ฉันนั่งด้วยได้รึเปล่า” ถึงพูดแบบนั้นผมก็ถือวิสาสะลงนั่งที่ฝั่งตรงข้ามแล้ว ดูเธอไม่เปลี่ยนไปเลยจากเมื่อภาคเรียนก่อน นอกจากผมสั้นขึ้น

 

เธอทำท่าเหมือนจะหาทางจากไปอย่างสุภาพ

 

“ฉันขอโทษ” ผมพูดตามตรง “ฉันไม่ได้อยากจะให้เราเป็นคนรักกันแต่ฉันก็บังอาจจูบเธอ”

 

คำพูดของผมเหมือนทำให้เธอหยุดความคิดลง เธอเอาแต่ก้มหน้างุด

 

“ฉันเสียใจ ถ้าไม่รักเธอก็คงจะดีกว่านี้ จะได้เป็นคนผิดไม่มีข้อกังขา” ผมย้ำความรู้สึกตัวเอง

 

“ฉันไม่ได้เกลียดที่คุณทำนะคะ” เธอพูด ดูเหมือนเพิ่งได้เข้าใจอะไรบางอย่างจากถ้อยคำของผม “รู้อยู่แล้วว่าคุณจะทำอะไร ตั้งแต่โน้มตัวมาหา ถ้าเป็นคุณ ฉันไม่เป็นไร”

 

มองแล้วยิ่งเสียใจ ผมไม่อยากสูญเสียคนๆ นี้ไปเลย

 

“ไม่เป็นคนรักกันก็ไม่เป็นไรค่ะ” เธอบอก ดวงตาใต้แว่นแดงก่ำนั้นปิดซ่อนความอับอายไว้ไม่อยู่

 

“ตอนนั้นฉันคิดว่าคุณอาจชอบฉันมากๆ จูบอ่อนโยนเหลือเกิน ฉันถึงไม่อยากติดต่อคุณ เพราะถ้าเราไม่ได้ชอบกันเท่าๆ กับที่อีกฝ่ายรู้สึกมันจะแย่มากๆ อีกอย่าง ฉันเกลียดชีวิตตัวเองเหลือเกิน” เธออธิบาย เบือนหน้าหนี

 

“ยังไงฉันก็ต้องการทำงานนี้ ฟังดูสกปรก แต่ฉันก็ยอมรับค่ะ”

 

ราเม็งวางตรงหน้าเรา 2 ชาม

 

“ฉันเลี้ยงเธอมื้อนี้” ผมบอก “รู้ว่าเราไม่ควรเป็นเพื่อนในชีวิตจริง อยากให้พูดกันว่าจะตกลงยังไง ฉันไม่เคยรังเกียจที่จะจ่ายเงินให้เธอ ฉันอยากเจอเธอ วันเสาร์มาหาที่บ้านได้หรือเปล่า แต่ฉันอาจห้ามตัวเองไม่ได้ก็ได้ ต้องบอกไว้ก่อน”

 

เธอไม่ตอบ ไม่มีคำตอบ เรานั่งกินราเม็ง ผมไม่เซ้าซี้เธออีก แต่ไม่มีใครแยกจากไปไหน พอผมลุก เธอก็ลุกตามมาด้วยกัน ไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน เอาแต่เดินไร้จุดหมาย

 

ผมคว้ามือเธอมากุมไว้ เธอบีบกลับเบาๆ อย่างอายๆ

 


 

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

Kappasaisai@gmail.com

นักเขียนผู้หลงใหลการลับมีด เจ้าของเรื่องสั้น "ชายชราเบาหวาน" ที่ได้รับรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดประเภทเรื่องสั้น ปี 2555 ปัจจุบันใกล้จะมีนวนิยายของตัวเอง 1 เล่ม กับสำนักพิมพ์ Boligraf Book ยังคงเขียนงานอยู่อย่างต่อเนื่องที่บ้านของตน

Comments

comments

You may also like

Leave a comment

error: