Slice of life no.1 – ที่เดิม

 

ที่เดิม

 

ไม่เคยเปลี่ยน เที่ยงตรง แม้คลาดเคลื่อนบ้าง แต่ยังเที่ยงตรง คงเป็นตั้งแต่ก่อนพบเธอ ผมเป็นคนใหม่ย่านนี้

 

ย้ายงานใหม่ในรอบ 1 ปีได้ 3 สัปดาห์ เสี่ยงโชคกับบริษัทใหม่ ยังรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็ก เหมือนเพิ่งจบมหาวิทยาลัยมาใหม่หมาด ทั้งที่ก็ 8 ปีมาแล้ว

 

ที่ทำงานและห้องพักใหม่อยู่ในย่านจอแจที่สุดแห่งหนึ่ง ค่อนข้างโชคดีที่ได้ห้องเดี่ยวขนาดมาตรฐานปล่อยเช่าต่อ อยู่ใกล้พอจะเดินไปสถานีรถไฟใต้ติน

 

ผมพบเธอที่ชานชาลาในสัปดาห์ที่ 3 หลังเริ่มรู้สึกเข้าที่เข้าทาง อย่างที่บอกไป เธอคงอยู่ตรงนั้นประจำมาก่อนแล้ว เพียงแต่ก่อนนี้ผมไม่อยู่ในภาวะให้ค้นพบเธอได้ง่าย

 

สูงระดับจมูกของผม สูทสตรีสีทึม กระโปรงเข้ารูปยาวครึ่งเข่าสีเดียวกัน (แต่เธอไม่มีทรวดทรงนัก) เชิ้ตสีอ่อน ผมตรงดำสั้นเสมอคาง เปิดใบหู แต่งหน้าอ่อนๆ สะพายเป้ใบกลางยี่ห้อคุ้น สวมหูฟังอินเอียร์สีขาว ผมรู้จักทั้งยี่ห้อ รุ่นและราคา แพงเมื่อเทียบกับการแต่งตัวเธอ และแพงเมื่อเทียบกับการแต่งตัวผมเช่นกัน แต่ไม่ลำบากรายได้

 

เธอไม่เล่นมือถือ ไม่เคย เช่นเดียวกับที่ไม่อ่าน เธอแค่มองตรงไป ดวงตาเหม่อ

 

เราใช้หูฟังรุ่นและสีเดียวกัน ผมถึงสะดุดเธอ

 

เธอเป็นคนแรกของแถว ยืนปลายเท้าชิดเส้นเหลืองตรงทางเข้าที่ 2 ของตู้ขบวนล่องใต้ ทางเดียวกับที่ทำงานผม แต่เธอจะลงก่อนหนึ่งสถานี 6.00 น. ของทุกวันเธอก็อยู่ตรงนั้นแล้ว มีคนอื่นต่อยาวคดเคี้ยว เธอเป็นหัวแม่งูเสมอ

 

ไม่ได้นิ่งสนิทอย่างตุ๊กตา ไม่ได้จัดระเบียบร่างกายจนเกินเลยแต่ก็ไม่ได้ปล่อยตัวเองกวัดแกว่ง เราฟังเพลงแบบเดียวกันไหม? อาจไม่

 

ผมชอบมองแล้วคิดว่าเธอน่าจะฟัง Cherish the Day ของ Sade อยู่

 

……………

 

สองเดือนนับแต่เห็นเธออยู่ตรงนั้น วันหนึ่งก็นึกขึ้นว่าทำไมไม่ลองแย่งที่ยืนเธอในตอนเช้า

 

นาฬิกาปลุก 5.00 น. เกลียดความรู้สึกว่าตื่นผิดเวลา 30 นาทีนี่เหลือเกิน ผมรีบจัดการตัวเองเร่งก้าวตรงไปชานชาลา สำเร็จสวยงาม เวลา 5.25 น. ผมเป็นคนแรกของชานชาลา ยืนทับที่ของเธอ

 

ทำเป็นไม่รู้เหนือรู้ใต้เมื่อเธอยืนต่อแถว ได้กลิ่นแป้งพับกับน้ำหอมเอื่อยกำจายจากเบื้องหลัง เข้าใจไม่ผิดหรอกว่าผมอยากให้เธอสังเกตเห็น แต่เหนืออื่นใด ผมอยากทำลายอะไรบางอย่าง

 

ผมชอบวางแก้วกาแฟออฟฟิศบิดไปจากแถวเล็กน้อย เจตนาพิมพ์เอกสารในบางจุดบางคำรบกวนพิสูจน์อักษร (เช่น ตกลงว่าปัจฉิมลิขิตต้อง ปล. หรือ ป.ล.) แต่ก็ใช่จะทำได้ทุกครั้งทุกอย่าง ผมคงไม่ผลักทหารองค์รักษ์ที่ยืนหน้าตายเป็นตุ๊กตาแน่ๆ เป็นความขลาดตามมาตรฐานของคนในชานชาลารถไฟใต้ดินนี้ และเป็นมาตรฐานที่ต่างไปจากผู้คนในมุมอื่นของโลก

 

ผมเศร้าที่รู้สึกถึงความขลาดนั้นอยู่ลึกๆ เมื่อรถไฟเทียบชานชาลา ผมไหลเข้าไปในนั้น ผมเลือกไม่ไปก็ได้ แต่เมื่อ 8.00 น. เยือน ก็เกิดวิกฤติขึ้นในใจ และผมก็คงไหลเข้าไปในรถไฟขบวนทันเฉียด 9.00 น. (ผิดอะไรที่ต้องขึ้นรถไฟ ไม่ ไม่ผิดอะไรเลย แต่ก็เศร้า)

 

ครั้งหนึ่งผมก้มลงเอื้อมมือขยี้พื้นฟุตบาทเปียกฝน ปะรอยเปื้อน รับรู้ถึงความอ่อนแอ รู้สึกยุ่งยากคำราญใจคราบโคลนบนฝ่ามือ กับเวลาที่ต้องเสียไปเพื่อทำความสะอาด และภาพตัวเองที่ดูประหลาดไม่น่าไว้ใจในสายตาคนอื่น

 

7 วันหลังแย่งที่ยืนบนชานชาลา ผมได้รับจดหมายจากเธอ

 

เธอไม่เคยพยายามตื่นเช้ากว่าเพื่อแย่งที่คืน แต่เลือกส่งกระดาษแผ่นเล็กๆ เจรจา

 

ขอที่ยืนฉันคืนด้วยค่ะ

มันสำคัญทั้งกับฉันและคนอื่น

 

ผมอ่านจดหมายฉบับนี้ในขณะที่เธอยืนห่างออกไปเพียงไม่กี่ก้าวบนตู้รถไฟฟ้า เธอมองตรงเหม่อออกไปนอกขบวน หันข้างให้

 

รู้สึกว่าถูกสายตาจ้อง รบกวนและไม่เป็นมิตร ผมกวาดมองไปรอบๆ ไม่พบพิรุธใดๆ คล้ายว่าเมื่อผมเคลื่อนไหว พวกเขาก็หลบซ่อน

 

แต่ผมดื้อรั้น แย่งที่ยืนเธอต่อไปอีก 2 สัปดาห์ แต่การตื่นก่อนเวลาปกติ 30 นาทีเริ่มกัดเซาะผมเจ็บป่วย ผมอ่อนล้า หงุดหงิด อยากทิ้งตัวฟุบหลับในชั่วโมงแรกของงาน

 

เธอไม่เคยเลือกใช้กำลังแย่งที่ยืนคืน ไม่มีจดหมายฉบับที่สองด้วย

 

ผมเริ่มรับรู้ถึงสายตาจับจ้องมากขึ้น บางคนไม่หลบซ่อนอีกต่อไป ครั้งหนึ่งผมปะทะเข้ากับดวงตาชายหนุ่มพนักงานบริษัทรุ่นราวคราวเดียวกันที่ยืนห่างออกไป 2 ช่วงตัว นัยน์ตาเขาค่อนข้างสงบ

 

ผมเข้าใจในทันทีว่าเขาเป็นพวกของเธอ

 

“คุณทำงานแถวนี้เหรอ” เขาทักผมเมื่อเราลงชานชาลาที่หมาย เขาก็คงทำงานแถวนี้ ผมไม่ได้สังเกต ท่าทางไม่ได้ดูมุ่งร้าย

 

“คุณไม่ควรแย่งที่ยืนรอรถไฟของเธอ” เขาเข้าประเด็น

 

“เดี๋ยวสิ ชานชาลารถไฟเป็นพื้นที่สาธารณะ” ผมโตแย้ง เขาอึกอัก

 

“ถูกต้องครับ ผมไม่ปฏิเสธข้อนั้น คุณทำถูกระเบียบ แต่เราไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้กัน ผมจะอธิบายว่า มันมีการกระทำบางอย่างที่อยู่นอกระเบียบสากล และคุณ… ละเมิด” ท่าทางเขาเหมือนไม่พอใจเล็กๆ กับถ้อยคำที่ตัวเองใช้

 

“หมายถึงผมละเมิดกฎหมู่อะไรแบบนั้น?” ผมพยายามลดโทนเสียงไม่ให้ยั่วยุ

 

เขายักไหล่

 

“อาจใช่ ถ้าให้พูดอย่างหยาบๆ มันก็ค่อนข้างน่าอึดอัดใจ ไม่ใช่ว่าผมไม่เคารพระเบียบของสถานีรถไฟ และผมก็รู้ว่าการกระทำเราไม่ได้รับอนุมัติจากชานชาลา บางทีมันอาจมีผลกระทบในแง่ลบกับคนอื่นๆ ที่ไม่รู้เรื่องด้วย แต่เรื่องนี้ไม่มีการพิสูจน์ ผมคิดว่าเราไม่ได้สร้างผลในแง่ลบ ยังไงก็ตาม การที่เธอยืนตรงนั้น ผมไม่คิดว่าผิดอะไร ในเมื่อเธอก็ตื่นเช้าและไปยืนตรงนั้น ไม่ได้ไปแย่งที่ใคร”

 

ผมว่าพอจะเข้าใจที่เขาพูด แต่ก็สับสน

 

“คุณเป็นพวกเดียวกับเธอ?” ผมขมวดคิ้ว ยกข้อมือซ้ายดูนาฬิกา กลัวว่าวิวาทะนี้จะยืดยาวเป็นปัญหา

 

เขาส่ายหน้า

 

“จะเรียกว่าอย่างนั้นก็ได้ แต่ก็ไม่เชิง ‘พวกเรา’ ผมไม่รู้จำนวนสมาชิกที่แน่ชัดด้วยซ้ำ แต่ละคนก็ไม่น่าจะเคยคุยกันเลย ไม่น่าจะเคยติดต่อเธอในทางใดๆ ด้วย แต่ทุกคน ‘รู้สึก’ ได้ว่ามีคนอื่นๆ อยู่ จะเรียกว่ามองตาก็รู้ใจหรืออะไรก็แล้วแต่ เราเป็นคนที่ได้รับประโยชน์จากการไปยืนอยู่ตรงนั้นของเธอ และเธอก็รู้ว่าตัวเองทำอะไร” เขาอธิบาย

 

“พวกคุณตกหลุมรักเธอ?” ผมพยายามทำความเข้าใจ นึกถึงความเป็นไปได้ว่าเธอคือดาวเงียบๆ ของคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง และเธอเองก็รู้ การที่เธอไปยืนข้างหน้าสุดตรงนั้นเป็นเหมือนการให้บริการเพื่อทุกคนได้ชื่นชม?

 

เขาอ้าปากค้าง ประหลาดใจ

 

“ไม่ ผมไม่รู้ว่าคนอื่นคิดยังไงกับเธอ แต่ผมไม่ได้ตกหลุมรักเธอ”

 

“เธอมีความสำคัญในฐานะศูนย์กลางของระบบหนึ่งๆ ที่ค้ำจุนชีวิตพวกเรา และระบบนี้ไม่ได้มีเรื่องบาปบุญอะไร คุณสบายใจได้ คุณก็แค่อย่าแย่งที่ยืนของเธอ” เขาอธิบายต่อ

 

“ผมรู้ว่ามีคนในกลุ่มเราที่ไม่พอใจคุณเป็นจำนวนมาก คุณก็คงรู้สึก แต่โชคดีไม่มีใครลงมือก้าวร้าว เพราะมันจะเสียมากกว่าได้ เช่น ถ้ามีใครสักคนผลักคุณออกไปจากช่วงเวลานั้น แล้วคุณต่อสู้ เธออาจเดือดร้อน ตกเป็นเป้าสายตาสาธารณะ เราก็เลยอดทนกับ…สภาพที่ไม่น่าพิสมัยของตัวเอง” เขายกมือจับคางตัวเองเหมือนครุ่นคิดว่านี่เป็นคำที่ใช้ได้หรือเปล่า ‘สภาพที่ไม่น่าพิสมัย’?

 

“เกิดอะไรขึ้นกับพวกคุณ” ผมเอียงคอ มองดูหาจุดบกพร่องในตัวเขาที่น่าจะแสดงสภาพไม่น่าพิสมัยนั้น

 

“การเป็นปกติธรรมดาน่ะ ไม่น่าพิสมัย” เขาตอบกำกวม “เราไม่สบายกันเป็นปกติธรรมดา”

 

“ผมคิดว่าเรากำลังจะไปทำงานสายกันแล้ว คิดว่าอธิบายเท่านี้คงพอ ผมขอร้องให้คุณอย่าแย่งที่ยืนเธอ”

 

เขาย้ำชัดอีกครั้ง ยกนาฬิกาขึ้นดู อำลาผม

 

…….

 

ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิมในเช้าวันต่อมา ประคองตัวเองไม่ให้หลับในกระแทกกระจกกั้นชานชาลาเบื้องหน้า นี่คงเป็นวันสุดท้าย ผมยอมแพ้ อาจต้องชดเชยด้วยการตื่น 6.00 น.ไปอีกหลายวันเพื่อฟื้นตัวเอง เสี่ยงเข้างานเฉียดสายไปอีกซักระยะ

 

กลิ่นน้ำหอมเธอปลุกผมตื่น

 

ผมหันเผชิญ เธอเงยมอง ดวงตาว่างเปล่า ผมยื่นกระดาษโน้ต ถอยให้เธอขึ้นไปยืนที่เดิม เธอเข้าใจได้ทันที ค้อมศีรษะเล็กน้อยผ่านผมไปอย่างระวังตัว ยืนตรงจุดเดิม ก้มอ่านจดหมายผม

 

ขออภัยที่ผมรบกวนคุณและคนอื่นโดยไม่ได้ตั้งใจ

ผมยังไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ใครคนหนึ่งบอกว่าผมไม่ได้ทำอะไรผิด แต่ก็ไม่สมควรแย่งที่ยืนคุณ

ผมไม่ได้มีเจตนาคุกคามทั้งในอดีตและต่อจากนี้ แต่อยากพบคุณเพื่อขอคำอธิบาย ถือเสียว่าเพื่อความเข้าใจอันดี คุณพาเพื่อนที่ไว้ใจมาด้วยก็ได้ ผมขอเลี้ยงกาแฟหลังมื้อเที่ยงร้านที่ระบุไว้ด้านล่าง คุณคงสะดวก ร้านอยู่ใกล้ๆ สถานีรถไฟใต้ดินที่ทำงานของคุณ

ด้วยไมตรีจิตร

 

“ตกลง ค่ะ” เธอหันมาพูด น้ำเสียงว่างเปล่าเชื่องช้า ผิดไปจากที่ผมจินตนาการเมื่ออ่านข้อความเธอ แต่ก็ประทับใจ

 

ทันใดความง่วงถูกดูดทิ้งหายไปเหมือนถ่ายน้ำจากบึงจนแห้งผาก

 

………..

 

“มันเป็นงานหรือครับ” ผมถาม เรานั่งติดหน้าต่าง เธอมองเหม่อเท้าคางออกไปข้างนอก มือหนึ่งคนกาแฟเบาๆ

 

เธอรู้สึกตัว หันมองผมด้วยดวงตาเปล่าดาย

 

“อาจใช่” เธอตอบ “แต่…เป็นงานอย่างอาสาสมัคร อุทิศตัว”

 

“อุทิศตัว?” ผมเหมือนตกลงไปในพงหญ้ารกเรื้อสับสนสูงท่วมหัว

 

“เพราะฉันทำได้… คนเดียวเท่าที่มีในนั้น… และควรจะทำ” เธอตอบ ดูเหมือนเธอจะมีปัญหากับการใช้ถ้อยคำพูดยืดยาว

 

“โพรมีธีอุส” เธอพูด

 

“คุณจะบอกว่า คุณขโมยไฟมาให้มนุษย์ คุณมีความสามารถจะทำแบบนั้นได้ และคุณกำลังถูกเทพพระเจ้าลงโทษอยู่?” ผมพยายามสรุป

 

เธอส่ายหน้า

 

“ไม่ได้ถูกลงโทษ แค่ได้ผลกระทบจากสิ่งที่ทำ” เธออธิบาย “แต่ ที่ฉันทำ เป็นเหมือนหน้าที่ เพราะฉันทำได้”

 

“เป็นการสร้างกุศลงั้นเหรอ?” ผมจิบกาแฟ

 

เธอมองผม ขมวดคิ้ว เหมือนผมงี่เง่าเต็มทน

 

“สร้างกุศล เป็นเหมือนความอารี ไม่ทำก็ได้ ไม่สนใจก็ได้ แต่โพรมีธีอุสทำเพราะรู้สึก เข้าอกเข้าใจ เป็นภาระ ไม่ใช่เพราะใครกำหนด เขากำหนดเอง และรู้ว่าจะลำบาก เจ็บปวด”

 

“งั้นผลของสิ่งที่คุณทำคืออะไร? ที่คุณไปยืนตรงนั้นทุกวัน” ผมขยับนั่งตัวตรง เริ่มสนใจในความพิศวงของพิธีกรรมนี้

 

“คุณก็ได้รับ” เธอตอบ

 

“ผมคิดว่าใช่ หายง่วงเป็นปลิดทิ้งเลย” ผมพยักหน้า “คุณทำให้คนอื่นหายง่วง?”

 

“ฉันรักษาสมดุลคนอื่น ทั้งจิตใจ และร่างกาย” เธออธิบาย “หายง่วง ฟังเพลงเพราะ ทำให้สงบ แต่ปวดฟัน เป็นไข้ ปวดประจำเดือน ช่วยไม่ได้”

 

สรุปว่าการรักษาสมดุลนั้นคือ ทำให้แต่ละคนเป็นปกติในทางหนึ่งๆ

 

อาจเป็นอารมณ์ขันในยามเช้า รู้สึกถึงความหวัง หรือในบางคนอาจเป็นอารมณ์ทางเพศในระดับพอประมาณ เธอรักษาระดับพลังในคนเหล่านั้นให้เป็นไปอย่างเหมาะสม

 

มันเริ่มตั้งแต่เมื่อปีก่อน อยู่ๆ เธอก็พบว่าตัวเองมีอาการบางอย่าง คล้ายๆ เบิกเนตรเมื่อถึงกาลและโอกาสอันเหมาะสม เฉพาะเมื่อเธอยืนอยู่ตรงจุดนั้น ณ เวลานั้น

 

เธอพบว่าตัวเองค่อยๆ ดูดซับความคาดหวังจากใครรอบๆ ตัวในชานชาลา และแผ่พลังงานตอบกลับพวกเขาไ สิ่งที่เธอดูดซับเป็นความคาดหวังในแบบที่อยากให้มีใครสักคนมาผลักพวกเขาไปจากตรงจุดที่ยืนแม้เพียงก้าวเดียวก็ยังดี อีกก้าวเดียว… คงจะดีกว่านี้ เธอเจ็บปวดจากความคาดหวังเหล่านั้น จำเป็นต้องยืนให้มั่นคง วางเฉย ผ่อนคลายจิตใจ คนที่ได้รับการดูแลจากเธอพวกเขาจะรู้ถึงตัวตนของเธอได้ทันที เหมือนเราสงสัยใครคนหนึ่งแล้วหันไปพบคนๆ นั้น

 

ใครบ้างจะได้รับการดูแล? เธอตอบไม่ได้ หากสัมผัสถึงกันได้ก็เท่ากับเข้าเป็นสมาชิก เธออาจเชื้อเชิญเอง (เหมือนผม) หรือคนในกลุ่มเชื้อเชิญต่อๆ กันไป แต่พวกเขาจะคอยเฝ้าระวังไม่ให้เธอรับภาระมากเกินไป ผมไม่รู้ว่าพวกเขาตรวจสอบกันอย่างไร แต่เหมือนมีคนที่ถือกุญแจปิดเปิดอนุญาตได้ เธอมีดอกหนึ่ง

 

พิธีสิ้นสุดเมื่อเธอขึ้นขบวนรถไฟ รวมเวลาประมาณ 15 นาทีหรือกว่านั้น เพียงพอสำหรับพวกเขา เหมือนกาแฟแก้วสำคัญในยามเช้า ไม่มีพิธีในตอนเย็น ทุกคนดูแลตัวเอง

 

“แล้วคุณได้อะไร” ผมสงสัย

 

“โพรมีธีอุสได้อะไรล่ะ” เธอถาม

 

…….

 

สาวโพรมีธีอุส

 

ผมเกือบจะล้อเธอเข้าแบบนั้นในเช้าวันถัดมา แต่ยั้งไว้ ผมคิดว่าเธอไม่มีอารมณ์ขัน ยิ่งในเวลาที่ต้องประกอบพิธี ผมไม่คิดว่านั่นจะทำให้เธอคลายความเจ็บปวดได้ แม้รู้สึกสงสาร แต่มันเป็นภาระที่เธอกำหนดเอง ผมเข้าไปข้องเกี่ยวไม่ได้

 

“ถ้าผมจะชวนเธอไปกินมื้อเย็นจะเป็นปัญหาต่อระบบหรือเปล่า” ผมถามชายหนุ่มผู้เคยตักเตือนการกระทำของผม

 

“ไม่มีใครคลั่งเอามีดกระหน่ำแทงคุณหรอก ผมคิดว่านะ แต่อาจมีก็ได้” เขาตอบ ครุ่นคิดจริงจัง

 

ผมก็เลยชวนเธอกินเนื้อย่างมื้อเย็น ร้านที่ผมชอบ เป็นร้านเปิดรับอากาศข้างนอก ควันโขมง แต่เนื้อคุณภาพ แม้รายการอื่นๆ จะใช้ไม่ได้ โดยเฉพาะไอศกรีมและของทอด แต่หากมุ่งมั่นเฉพาะเนื้อ ร้านนี้เป็นคำตอบที่ดี

 

“เราใช้หูฟังรุ่นเดียวกัน” ผมเริ่มบทสนทนา

 

“คุณย่างเนื้อตัวเองเกินครึ่งกระทะ” เธอเฉไฉ ตามองเตา ตำหนิว่าผมเอาเปรียบ ผมยอมรับ ผมหิว

 

“คุณฟังใครบ้าง” ผมยังรุกถาม

 

“John Mayer” เธอตอบกระทัดรัด “Eric Clapton”

 

ผมค่อนข้างประหลาดใจคำตอบ แต่ ใช่ มันเหมาะกับหูฟังเรา และไม่ได้ใกล้เคียงที่ผมฟัง

 

“เป็นเหมือนบทสวดในช่วงเวลาแบบนั้นหรือเปล่า” ผมถาม

 

เธอจ้องผมนิ่ง เหมือนไม่ชอบคำถาม

 

“ใช่” เธอตอบ “เพลงทำให้ ลืมเจ็บปวด”

 

“ผมชอบ F. Scott Fitzgerald” ผมชวนคุยอีก

 

เธอเงียบ

 

“ผมอ่าน Mein Kampf”

 

เธอมองเบิ่งตาค้าง

 

“ก็แค่อ่าน” ผมยักไหล่

 

“ไม่คิดบ้างเหรอว่าผมเห็นแก่ตัว คนพวกนั้นก็เห็นแก่ตัว ที่ให้คุณไปยืนตรงนั้น” ผมเบือนหน้าไปทางอื่น

 

“คนละเรื่องกัน” เธอตอบ “ไม่ได้เกี่ยวกับว่าเขาดีเลว ฉันไม่ได้ดีใจที่ทำ เสียใจบ้าง แต่เป็นเรื่องที่ต้องทำ”

 

“คุณเป็นพระผู้ไถ่หรือไง” ผมขมวดคิ้ว

 

“ถ้าเป็นคุณ คุณก็ควรทำ” เธอบอก

 

“ไม่” ผมส่ายหน้า “ผมขวางคุณจำไม่ได้หรือไง”

 

“นั่นสิ ทำไม” เธอเอียงคอสงสัย

 

“พญามารล่ะมั้ง แล้วผมก็แพ้” ผมตอบ “นั่นเป็นทางหนึ่งที่ผมจะเป็นปกติได้ บางอย่างในตัวผมไม่เคยสงบ ผมคอยรบกวนระเบียบที่ดำเนินอยู่”

 

“แล้วระเบียบไม่ดียังไง” เธอไม่เข้าใจ

 

“ไม่รู้สิ” ผมตอบ “แค่ทนไม่ได้ อาจมีเหตุผลที่ตัวผมลงมือทำอะไรอย่างนั้นก็ได้ คิดว่ามี แต่มันคงตรงข้ามกับคุณทั้งหมด”

 

………

 

ผมอยู่ในกลุ่มได้ 1 ปีแล้ว

 

เธอไม่เคยเจ็บป่วยเลยแม้แต่วันเดียว นั่นอาจเป็นพรที่เธอได้รับ แลกเปลี่ยนกับการที่เธอคอยรักษาสมดุลให้เรา ผมไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ผมได้รับจากเธอคืออะไรบ้าง ผมแค่รู้สึกว่า ใช่ 1 ปีที่ผ่านมาตัวผมพร้อมก้าวออกจากชานชาลาที่หมายมากกว่าในปีก่อนๆ ไม่ใช่ว่าไม่พบอุปสรรค ไม่ป่วยไข้ (ผมอาหารเป็นพิษ 2 ครั้ง และมีความเสี่ยงไขมันในเลือดสูง มีปัญหากับหัวหน้างานครั้งหนึ่ง) ในแต่ละเช้า เธอเป็นเหมือนช่างคอยขันน็อต
บางตัวที่สำคัญต่อความเคลื่อนไหวของพวกเรา

 

ผมคุยกับเธอบ้างในมื้อเที่ยงหรือมื้อเย็น แต่เราก็อยู่กันเพียงลำพัง เหมือนคนอื่นๆ เรารู้ข้อมูลของอีกฝ่ายที่มีในโลกออนไลน์ เราพูดคุยเรื่องราวมากมาย แต่ผมไม่มั่นใจเลยว่ารู้จักเธอ

 

ถึงได้รับการดูแลจากเธอทุกเช้า แต่นั่นไม่ได้เกี่ยวกับความรู้สึกอ่อนแอในตัวผม ผมยังคงมองเห็นความขลาดของตัวเองชัดเจน หยากไย่ที่มองไม่เห็น ต้องสะบัดหนีให้หลุดพ้น ทำยังไงก็ได้

 

“ผมกำลังจะเปลี่ยนงาน” ผมบอกที่ชานชาลา เธอยืนสวมหูฟังอยู่ด้านหน้า ไม่รู้ว่าได้ยินหรือเปล่า

 

เรื่องปกติ ใครก็เปลี่ยนงาน ใช่ แต่ผมรู้สึกว่าในตัวเองมีความหมายบางอย่างหลับอยู่ ทั้งที่กำลังจะลงตัวกับสิ่งที่ตัวเองทำอยู่ แต่ผมไม่พอใจที่มันเป็นแบบนั้น

 

ผมเห็นคำถามในสายตาคนรอบข้างที่รู้การตัดสินใจของผม เห็นความวิตกกังวล ว่าจะต้องปรับเปลี่ยนอีกครั้ง ยุ่งยากวุ่นวาย

 

เธอปลดหูฟังลงข้างหนึ่ง

 

“ที่ทำงานใหม่อยู่อีกทาง ผมต้องไปขึ้นรถไฟสถานีอื่น”

 

ผมยังจำมือเปรอะโคลนของตัวเองได้ รู้สึกอยากขัดขืน ยากลำบาก สิ้นหวัง อับอาย แต่มุ่งมั่นอย่างชิงชัง

 

“ขอบคุณมาก” ผมพูดอย่างสุภาพที่สุด

 

วันนั้นผมไม่ได้ขึ้นรถไฟไปทำงาน ต้องย้ายของจากห้องพักเก่า แค่มาบอกลาเธอ

 

“เป็นผีของระบบ” เธอหันมามองผม “แบบนั้นรึเปล่า ที่คุณเป็น”

 

“อาจใช่ก็ได้ ไม่แน่ใจ แต่ผมไม่ได้คิดจะเขมือบกินใคร แค่ทำให้เฟืองมันแหว่งไปซักซี่ เครื่องจักรหมุนสะดุดหน่อย ผมแค่ทนไม่ได้ ต้องรบกวน ไม่ก็ไปซะให้พ้น” ผมตอบ

 

“เป็นเรื่องที่ต้องทำ?” เธอสงสัย

 

“เริ่มรู้สึกแบบนั้น” ผมตอบ “แต่ไม่ยิ่งใหญ่ขนาดนั้น มันไม่มีอะไรสำคัญด้วยซ้ำ”

 

“แน่ใจได้ยังไง?” เธอถาม

 

ผมไม่แน่ใจหรอก

 

ผมพยายามนึกบทสนทนาต่อ แต่นึกอะไรไม่ออก เรายืนมองกันจนรถไฟฟ้าเทียบชานชาลา เธอเดินขึ้นขบวน ผมยืนส่งอยู่ตรงนั้น แล้วเธอก็หันมา

 

บานประตูปิด รถไฟเคลื่อนขบวน

 

 

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

Kappasaisai@gmail.com

นักเขียนผู้หลงใหลการลับมีด เจ้าของเรื่องสั้น "ชายชราเบาหวาน" ที่ได้รับรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดประเภทเรื่องสั้น ปี 2555 ปัจจุบันใกล้จะมีนวนิยายของตัวเอง 1 เล่ม กับสำนักพิมพ์ Boligraf Book ยังคงเขียนงานอยู่อย่างต่อเนื่องที่บ้านของตน

Comments

comments

You may also like

Leave a comment

error: