Slice of life no.2 – กอด

 

“ถือว่าปลอบใจแล้วกัน” เจ้าของร้านยื่นเครื่องดื่มให้อีกแก้ว เขารู้ว่าเกิดอะไร

 

โทรศัพท์เตือนว่ามีอีเมลบริษัทเข้า

 

ผมไม่นอนหลังรับอีเมลคืนวันศุกร์ อาจงีบสักพักในช่วงสายวันเสาร์เพื่อรออีเมลฉบับถัดไป แต่ถ้าทุกอย่างลุล่วงดี ค่ำวันเสาร์ผมก็อาจได้ออกไปดูหนังหรือทำอะไรอื่น

 

“แก้วไหนเหรอ” ผมเพ่งมอง วางท่อนแขนลงกับเคาน์เตอร์บาร์ แต่เพียงสัมผัสเบาๆ ก็ได้ยินเสียงแก้วหล่นกระทบพื้นแตก

 

คนในร้านหันจ้อง เสียงพึมพำอึงอลสงบลง เหลือเพียงทรัมเป็ตของ Miles Davis

 

“ขอโทษ ผมมองไม่เห็น” ผมเอ่ยประหม่า

 

“ไม่เป็นไร ไม่ต้องคิดมาก” เขายิ้ม

 

“ไม่ ผมหมายถึง ‘มองไม่เห็น’ จริงๆ” ผมบอก พยายามเศษแก้วแต่ก็ไม่เห็น

 

“เดี๋ยวผมให้บริกรทำความสะอาด คุณอย่าเพิ่งขยับลุกไปไหน”

 

ผมนั่งนิ่งระแวดระวังตัวเองไม่ให้เผลอขยับถูกแก้วที่มองไม่เห็นบาดเข้า เขาเอื้อมมือบีบไหล่ผมเบาๆ เหมือนให้แน่ใจว่าผมรับมือกับเรื่องนี้ไหว รอยยิ้มเขาเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นใบหน้าเข้าอกเข้าใจ นัยน์ตาเขาพูด ว่าสำหรับเขาแล้วมันน่าเศร้าอยู่บ้าง แต่ไม่เป็นไร มันก็คงจะเกิดขึ้นสักวัน

 

ที่นี่ซุกตัวอยู่บนชั้นสามของอาคารในย่านทำงาน ร้านเล็ก ตกแต่งเรียบและโปร่งโล่ง ขอบเส้นทุกอย่างดูบางเบาเหมือนจะหายไปจากสายตา เจ้าของร้านเป็นทั้งพ่อครัวและบาร์เทนเดอร์ มีบริกรสาวหนึ่งคน

 

เธอสวยตามคำบอกเล่าของเพื่อน ผมคิดว่าน่าจะเป็นแบบนั้น ผมมาที่นี่ไม่บ่อยนัก รู้จักก็หลังเปลี่ยนบริกรเป็นเธอ ผมสนิทสนมเจ้าของร้านได้รวดเร็ว

 

ได้กลิ่นน้ำหอมผู้หญิงคุ้นเคยอ้อยอิ่งอยู่ข้างๆ ผมมองไม่เห็นเธอ ตั้งแต่มาร้านนี้ครั้งแรก ผมเกือบจะเดินชนเธอถ้าเพื่อนไม่รั้งไว้

 

ผมคิดว่าลูกค้าทุกคนในร้านวันนี้ก็คงมองอะไรสักอย่างในชีวิตประจำวันไม่เห็น บางคนที่หันจ้องผมในเสี้ยวเวลานั้นก็อาจมองไม่เห็นเศษแก้ว

 

………..

 

“ครั้งแรกในรอบหลายเดือน” เสียงเขาซ่อนความกระตือรือล้นสนใจไว้ ผมมองอากาศว่างเปล่าเบื้องหน้า เป็นชายหนุ่ม อายุน่าจะพอๆ กัน เรายืนบนทางเท้าเลียบถนนใหญ่ ผู้คนเดินเบียดสวนไปมา ต่างคงเพิ่งกลับจากมื้อเที่ยง

 

“ผมมองเห็นคุณ พยายามเดินเบี่ยงแล้วแต่ไม่พ้น กะทันหันไปหน่อยกว่าจะรู้ว่าคุณมองไม่เห็นผม” เขาเอ่ย

 

“ผมขอโทษ” ผมรับผิด

 

ปกติแล้วเรารักษาระดับการมองไม่เห็นให้อยู่ในระดับที่ไม่เป็นอันตรายต่อชีวิตประจำวัน เป็นมากกว่านั้นก็คงไปรักษา ใช่ มันหายขาด ไม่ได้น่ากลัว

 

“ไม่” เขาบอก “ไม่ใช่แบบนั้น ‘ผมมองเห็นคุณ’ หมายถึงผมคิดว่าคุณต้องนอนหลับบ้าง ไม่สิ ต้องนอนหลับให้มากๆ”

 

แล้วไง นั่นก็ความหวังดีที่ผมได้รับสม่ำเสมอ

 

“ผมรู้ว่าฟังไร้สาระ” เขาหัวเราะ “ถ้าทุกคนเป็นหวัดก็ไม่เห็นเป็นเรื่องน่ากังวลอะไร อา… ใช่ ถึงในอดีตหวัดจะเคยฆ่าล้างทวีปอเมริกา แต่เราอยู่ในยุคสมัยที่มีภูมิคุ้มกันและการรักษาทำได้รวดเร็วน่าทึ่ง”

 

“ขอโทษ อาจดูหยาบคายและรบกวน” เขาพูด รู้สึกได้ว่ามีบางสิ่งสอดลงในกระเป๋าเสื้อเชิ้ตผม เมื่อเขาปล่อยมือวัตถุนั้นก็เผยรูปร่างของมัน

 

“นั่นนามบัตรผม มีคลินิกให้คำปรึกษาเรื่องการนอนหลับอยู่ทั่วไป พวกเขาทำให้คุณนอนหลับ รักษาคุณได้ด้วยจิตวิเคราะห์หรือตัวยา มันก็ได้ผล ผมยอมรับ แต่มันไม่สมบูรณ์แบบหรอก ผมคิดว่าคุณรู้ มันจะยังไม่เป็นปัญหาสำคัญ จนกว่าจะกระทบงาน” เขาเอ่ย

 

ผมอึดอัดเหมือนถูกคุกคาม

 

“คุณคิดว่าผมเป็นพวกบริษัทให้บริการทางการแพทย์ที่น่าสงสัยใช่ไหม?” เขาหัวเราะ “อย่ากังวล ไม่ใช่อะไรแบบนั้น เราไม่ได้ใช้วิธีการละเมิดจริยธรรม”

 

“คุณควรได้รับกอด” เขาบอก

 

……………

 

ผมไม่ใช่คนขาดไร้กอด

 

5 ปีนับแต่ทำงานที่นี่ผมไม่เคยหิวโหยทรมาน คืนศุกร์สัปดาห์ก่อนผมตื่นข้างๆ เพื่อนร่วมงานสาวที่มาช่วยแก้งานที่ห้อง อาจเดือนละครั้งหรือสองครั้ง หรือผมอาจไปนอนข้างๆ คนอื่น ไม่แน่ใจว่าเธอกอดใครอีกไหม สำหรับผมกับใครอื่น หากไม่ใช่ร่างกายเคลื่อนไหวเองในตอนหลับ ผมก็ไม่ได้แตะต้องเขา เหมือนเราเป็นเกาะร้างห่างกัน 1 ไม้บรรทัดคั่นด้วยร่องน้ำลึกถึงก้นสมุทร

 

แต่กอดแล้วยังไง ผมก็ยังมองไม่เห็นบริกรสาวคนนั้น แม้ในตอนเธอเปลือยเปล่าอยู่บนตัวผม

 

“คุณมองไม่เห็นเธอ แต่ก็ร่วมรักกับเธอ?” หญิงสาวถามผม อายุน่าจะอ่อนกว่าผมเล็กน้อย ไว้ผมยาวตรงถึงกลางหลัง ผมม้าปรกหน้าผาก แว่นเลนส์ใหญ่กรอบสีทอง สวมเชิ้ตสีแดงแขนยาว กระโปรงเข้ารูป ถุงน่องดำ เหมือนพนักงานบริษัทมากกว่านักบำบัดอะไรสักอย่าง คงเพราะเธอไม่สวมเสื้อกาวน์สีขาวหรืออะไรแบบนั้น

 

ข้างๆ โซฟาในส่วนรับแขกคอนโดมีเนียมผมที่เธอนั่งอยู่มีกระเป๋าลากใบกลางวางตั้งไว้

 

“ผมบอกเธอว่าอยากรู้มันเป็นยังไง ประหลาดที่ผมรู้สึกถึงตัวเธอผ่านรยางค์ของตัวเองเต็มเปี่ยม แต่มองเห็นมันหายเข้าไปในอากาศ เพราะมองไม่เห็นเธอ เธอเลยเป็นคนควบคุมทุกอย่าง”

 

ผมไม่แน่ใจว่าเรามาถึงจุดที่พูดกันเรื่องนี้ได้ไง

 

เริ่มจากแนะนำตัว บอกที่มาที่ไปของกัน แล้วอะไรอีก…. ผมนึกไม่ออก ไม่คิดว่าเกี่ยวกับยาคลายเครียดที่เพิ่งกินไปตามใบสั่งของคลินิกที่เข้ารับบำบัดและล้มเลิกหลัง 1 เดือนผ่านไป (ใช่ ล้มเลิก แต่ก็ยังกินยา มันช่วยให้หลับง่าย แม้การหลับจะไม่รักษาปัญหาบางอย่าง)

 

ในตอนนี้ผมไม่แน่ใจแล้วว่าที่จำไม่ได้นั้นเป็นผลมาจากโรค หรือแค่ลืมเพราะไม่ใส่ใจจำ

 

แต่มั่นใจว่ารหัสเปิดไฟล์ข้อมูลงานเป็นปัญหาของโรค

 

จำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไฟล์งานนี้ใส่รหัสไว้ ทั้งที่เป็นงานแก้ไขเสร็จเมื่อคืน งานมูลค่าหลายล้าน ไม่มีใครรู้รหัสนอกจากผม พยายามหาที่ซ่อนรหัส ควรจะต้องมีบันทึกคำใบ้ แต่ก็ไม่เจอ บ่ายวันนั้นเจ้านายเรียกพบ เขายื่นนามบัตรให้ เป็นคลินิกที่บริษัทผูกขาดไว้รักษาพนักงานเกี่ยวกับปัญหาการหลับ ผมเองเคยก็ใช้บริการ

 

เขาเลือกจะบำบัดผมมากกว่าจะว่าจ้างผู้เชี่ยวชาญมาเจาะระบบรหัส ความลับของข้อมูลเป็นสิ่งที่เสี่ยงรั่วไหลไม่ได้ นี่เป็นงานที่มีนอกมีใน

 

“ปัญหาของคุณเกี่ยวข้องกับวิญญาณของคุณเองด้วย ไม่ใช่ทุกอย่างที่เป็นตรรกะกลไก คลินิกบำบัดที่มองวิญญาณของคุณเป็นเพียงกลไกเครื่องจักรจะไม่สามารถเข้าใจและรักษาฟื้นฟูความทรงจำคุณได้ค่ะ ทำได้เพียงแค่รักษาบางอาการ” นักกอดบำบัดสาวบอกผม

 

“วิธีที่ถูกต้อง… ผมต้องมาพูดเรื่อง ‘อย่างนั้น’ ให้คุณฟัง?” ผมจิบฮ็อพหมักไร้แอลกอฮอล์ จริงๆ อยากดื่มเบียร์ แต่มันอาจมีผลต่อยาที่กินเข้าไป ผมอาจหลับตาย

 

“เพื่อรวบรวมข้อมูลว่าฉันต้องกอดคุณแบบไหนค่ะ หากสร้างรูปแบบการกอดไม่ถูกต้อง มันจะเป็นเพียงแค่การกอดอย่างธรรมดาที่ไม่มีประโยชน์” เธอตอบหน้าตาย

 

“กอดอย่างคนรักก็ธรรมดา?” ผมนึก

 

เธอพยักหน้า “ต้องเป็นกอดที่ ‘พิเศษ’ กว่านั้น”

 

“คนทั่วๆ ไปอย่างที่สำนักงานผมก็คงลืมอะไรไปบ้างแล้ว?” ผมคาดเดาสภาพโรค

 

“คงเป็นเช่นนั้นค่ะ แต่ไม่มีทางที่พวกเขาจะรู้ว่าลืมอะไรไปแล้ว ในเมื่อลืม มันเหมือนไม่เคยมีความทรงจำนั้น เว้นแต่มีบางสิ่งมากระตุ้นให้รู้ว่ากำลังเกิดเรื่องผิดประหลาด เช่น คุณรู้ว่าคุณแก้ไขงาน เป็นไปไม่ได้ที่คุณจะไม่รู้ว่าตั้งรหัสไฟล์งานไว้เมื่อไหร่ ในเมื่อเป็นระเบียบที่ต้องทำประจำ”

 

เธอนั่งหลังตรง ตอบฉะฉาน ถามตรงไปตรงมา น้ำเสียงรื่นหู แต่ก็ไม่เหินห่างหรือเป็นกันเอง นานๆ ทีเธออาจขยับแว่นตาสักครั้งหนึ่ง

 

“แปลว่าไม่ใช่แค่มองไม่เห็น แต่ความทรงจำบางอย่างก็ถูกลบไปด้วย?” ผมสงสัย

 

“มากมายกว่านั้นค่ะ” ริมฝีปากเหยียดตึงของเธอเหมือนคลี่ยิ้ม “การเต้นของหัวใจ การสมานแผล ระบบต่อมไร้ท่อ การบันทึกความทรงจำลงพันธุกรรม เป็นผลที่แสดงว่าตัวคุณเริ่มไม่สอดรับกับร่างกายชัดเจนมากขึ้น” เธออธิบาย ยกน้ำผลไม้จิบ

 

“คุณจำเป็นต้องนอนหลับโดยได้รับกอดอย่างถูกต้อง อย่าห่วงเลยค่ะ คุณไม่ใช่รายแรกที่บาดเจ็บจากการนอนไม่หลับ ฉันเป็นผู้เชี่ยวชาญการกอด ฉันจะรักษาคุณให้หาย เหมือนคนอื่นๆ”

 

…………

 

เราเริ่มกอดกันในคืนนั้น

 

กระเป๋าเธอเต็มแน่นเครื่องแต่งตัว สำคัญยังไงกับการกอดบำบัด? เธอเปลี่ยนเป็นชุดนอนผ้าลูกไม้สีขาว ขึ้นมานอนบนเตียงข้างๆ กัน ถอดแว่นวางไว้ จุดกำยานที่พกมาด้วย

 

“ฉันคิดว่ากำยานกลิ่นนี้จะทำให้คุณสงบเชื่อง” เธอพูดแผ่วเบา นอนตะแคงมองผม “การตื่นตัวจะทำให้คุณไม่หลับ การบำบัดจะไม่สัมฤทธิ์ผล”

 

“ใช่ ผมคิดว่าใช่” ผมเริ่มเคลิ้มง่วง “แต่คุณไว้ใจได้ยังไงว่าผมจะไม่ทำอะไร”

 

สิ้นคำถามผมได้ยินเสียงเคาะประตูคอนโดมีเนียม 3 ครั้ง จังหวะแปลกประหลาด

 

“นั่นคือหลักประกันค่ะว่าฉันจะปลอดภัย” เธอตอบ

 

“อันที่จริง” ผมเอ่ย “คุณใส่แว่นก็ได้นะ”

 

เธอเหลือบจ้องตาผม

 

“ฉันมีแว่นหลายอันอยู่ในกระเป๋าค่ะ จะให้ฉันลองใส่ไหมว่าคุณชอบอันไหน?”

 

“ไม่จำเป็นต้องถึงขนาดนั้นหรอก แต่เราน่าจะเริ่มบำบัดได้แล้ว” ผมเตือน เธอพยักหน้าทั้งที่นอนตะแคง สอดแขนโอบผมให้โผเข้าซบอกเธอ ในตอนที่แขนเธอไล้ไปกับร่างนั้น ผมเหมือน…ถูกผลักออกไปจากโลกใบนี้ แปลกประหลาด เหมือนทุกอย่างโกหก ผมไม่เคยมีอยู่ ไม่ใช่กอดอันดาษดื่นที่เคยได้รับ แม้แต่จากแม่ผู้มอบรักสูงสุดให้

 

เมื่อร่างผมแนบชิดเธอก็ดับลงสู่ภวังค์ฝัน

 

ผมหวังว่าเมื่อตื่น ผมจะจำอะไรสักอย่างได้

 

 

“ใช่ครับ ผมยังจำรหัสเปิดไฟล์…ไม่ได้” ผมตอบกระอักกระอ่วน เจ้านายถอนใจหงุดหงิด ส่ายหน้าเบาๆ

 

เขายังดูหนุ่ม โกนหนวดเคราเกลี้ยงเกลา ถึงล่วงเข้ากลาง 40 แต่กระฉับกระเฉง แต่งตัวตามสบาย สมองเฉียบแหลม ผลประกอบการหรูหรามาจากความปราดเปรื่องของเขา เขาเชื่อมั่นในความทุ่มเทของผม

 

ในทุกวัน เมื่อพบว่าผลการแก้ไขงานเป็นที่น่าพอใจ เขาจะเดินออกจากห้องมาบีบไหล่ พูดคุยปลุกใจ ทุกคืนเราส่งอีเมล แจ้งปัญหา การแก้ไข และเตรียมพร้อมวันพรุ่งนี้

 

เขาเป็นคนชี้เป้าหมายบนแผนที่ ผมลงมือในสนามรบ นอนหลับบนเตียงครุ่นคิดวิธีปฏิบัติ นึกออกก็ลุกมาบันทึก การนอนหลับตาได้พักผ่อนมากกว่านั่งเบิ่งค้างครุ่นคิด โดยปกติร่างกายผมจะปิดระบบเมื่อเข้า 2:00 น. และกลับมาใหม่อีกครั้งเมื่อ 6:00 น.

 

แต่ในช่วงที่ผมต้องบำบัดหลายเดือนมานี้เราไม่ได้ติดต่อกัน

 

“นั่นไม่ใช่ประเด็น” เขาหันจ้องผม “ผมรอเวลาบำบัดให้คุณหายขาดได้ แต่คลินิกแจ้งมาว่าคุณไม่ได้ไปบำบัด คุณแค่ให้เขียนบิลค่ารักษาไว้ บอกว่ามีงานต้องทำ แล้วรับยาไป”

 

นึกไว้อยู่แล้วว่าเขาต้องตรวจสอบ มันนานเกินไปแล้วจริงๆ เมื่อคิดว่าเรากลับมองเห็นปกติได้หลังเข้ารับบำบัดเพียงหนึ่งเดือน ระยะเวลาสิ้นสุดโครงการที่ต้องใช้ไฟล์นั้นก็ขยับใกล้เข้ามา ค่าปรับมหาศาล มูลค่าผลประโยชน์ไม่ใช่ตัวเลขที่ผมในชีวิตนี้หรือชีวิตหน้าจะชดใช้ได้

 

“ผมเริ่มฟื้นความทรงจำได้” ผมพูด “เพียงแต่ว่า ยังไม่เห็นรหัส”

 

“อะไรที่คุณจำได้” เขาเหมือนจะหัวเราะเย้ยๆ ขึ้นมา

 

“ไม่ ไม่สำคัญเลย ผมแค่จำได้ว่า ครั้งหนึ่งวันที่เธออยู่กับผม เธอบอกว่าชอบคุณครับ” ผมตอบ

 

มันเป็นความลับที่เราพบว่ามีคู่นอนร่วมกันคนหนึ่ง ผมรู้ว่าเขารู้ เขาก็รู้ว่าผมรู้ เขาเคยเชิญผมและเธอไปกินมื้อเย็นหรูหรา นั่นเป็นวันที่ดีมากๆ วันหนึ่ง ทั้งๆ ที่ในดวงตาของเราต่างเปล่งแสงวับวาวเล็กๆ เหมือนเป็นรหัสไขถึงเรื่องลับระหว่างกัน นิ้วนางซ้ายเขาสวมแหวนแต่งงานไว้เสมอ

 

เธอทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นเพื่อนกันผ่านตัวเธอ เธอเป็นคนร่าเริง ผมชอบบุคลิกนั้น มันทำให้ผมรู้สึกว่า ‘ช่างเถอะ เดี๋ยวก็ดีเอง’ และมันทำให้ผมมองคนในที่ทำงานด้วยสายตาที่รู้สึกดีขึ้นอีกนิด เธอเหมือนเป็นฟันเฟืองในการร่วมงานอันมีประสิทธิภาพของเรา นับว่าโชคดีพิลึกที่เป็นแบบนั้น ไม่ใช่ผลตรงข้าม

 

เขาเพ่งมองไปเบื้องหลังผม ครุ่นคิด

 

“คุณรักษาด้วยวิธีอะไรตอนนี้” เขาถาม ท่าทีหงุดหงิดเริ่มผ่อนคลาย

 

“กอด” ผมพูดตามตรง

 

“กอดแบบไหน” เขามองผมเหมือนครูที่เฝ้ารอคำตอบ

 

“นอนกอด กอดโดยผู้เชี่ยวชาญ กอดแล้วหลับเป็นตาย ฝันเบาสบาย เป็นสุข ตื่นขึ้นแล้วเหมือนโลกดีขึ้น แต่จะจำอะไรได้ไหม มันแล้วแต่” ผมอธิบาย

 

“ผมไม่เข้าใจว่าทำไมรหัสที่คุณจำได้แม่นยำกรอกมันอยู่ทุกวันถึงกู้กลับมายากเย็น” เขาทิ้งตัว ถอนใจเหนื่อยหนัก “ถ้ามันสำเร็จ ในเวลาที่เหมาะสม บริษัทจะจ่ายค่ารักษาให้”

 

งั้นก็จ่ายได้เลย ผมกู้มันคืนได้นานแล้ว

 

……………..

 

“ฉันคิดว่าคุณต้องรักษาอีกซักระยะ” เธอบอก

 

ผ่านไป 3 สัปดาห์ ทุกอย่างดีขึ้นตามลำดับ รหัสถูกจดลงสมุดบันทึก ต่อให้สมองผมกระทบกระเทือนเลือนเลอะรหัสก็จะไม่หายไปจากโลกนี้

 

ไม่ใช่แค่ฟื้นฟูความทรงจำ ในภาพรวมผมรู้สึกว่าร่างกายดีขึ้น เหมือนวิญญาณกับร่างกายสมดุล ผมชอบระบบความรู้สึกของตัวเองซึ่งถูกจัดระเบียบใหม่ผ่านการได้หลับอิ่มและรับการโอบกอด

 

ทุกเช้าผมจะตื่นเพราะนาฬิกาปลุก กลิ่นกำยานและกลิ่นของเธอดิ่งลึกอยู่ในตัวผม รู้สึกได้แม้ยังไม่ลืมตา ภาพแรกที่เห็น จะเป็นเธอที่ลืมตาเฝ้ารอผมที่อยู่ในอ้อมกอด

 

“ทำไมผมต้องหายขาด”

 

เธอรู้ว่าคำถามผมซื่อตรง

 

“คุณไม่อยากรู้งั้นหรือว่าลืมอะไรไป” เธอเอ่ย ดูอาการไม่ได้แปลกใจที่ผมถามแบบนั้น ราวกับเธอรู้ว่ามันจะเกิดขึ้นเมื่อการบำบัดผ่านไป

 

ผมเบือนหน้าหนีเธอ ถอนใจ

 

“ตั้งแต่วันแรกที่บำบัด” ผมเล่า “ผมนึกออกว่าผมไม่เคยกลับบ้านอีกแม้แต่วันเดียว หลายปีที่ผ่านมาผมไม่เคยนึกถึงเขา”

 

วันนั้นอยู่ๆ มันก็วูบเข้ามาในดวงตาโดยที่ไม่ต้องใช้อะไรไข ไม่ต้องมองรูปถ่าย ไม่ต้องมองท้องฟ้า แค่ลืมตาเรื่องราวของพ่อก็ไหลทะลัก

 

“ไม่มีเรื่องที่ดีฟื้นกลับมาเลย?” เธอมองสงสัย

 

“มี แต่… ผมอยากเป็นอิสระ” ผมตอบ

 

การเป็นตัวเองหมายถึงเป็นคนอื่น? ใช่ อาจหมายถึงอย่างนั้น

 

“ถ้างั้นจะจบการรักษาเพียงเท่านี้หรือคะ?” เธอถาม

 

“ไม่รู้เหมือนกัน”

 

ในวัยเด็กผมไม่ต้องการนอนหลับ มันมากเกินไป แต่ในตอนนี้ผมไม่อยากรับรู้อะไรอีก

 

“จริงๆ แล้วคุณก็เกลียดสภาพที่ตัวเองกลายเป็นคนป่วยไม่ใช่หรือคะ?” เธอทักท้วง

 

“ผมก็รักษาเมื่อป่วย มันก็เป็นงั้นมาตลอด” ผมโต้แย้ง

 

“คุณคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณตอนนี้ ‘ทุกๆ อย่าง’ รักษาได้งั้นเหรอคะ” เธอถามเสียงกระด้างขึ้นมา “ถ้าฉันบอกว่าตอนนี้การหายใจคุณมีปัญหา มันกลายเป็นโรคเรื้อรังรักษาไม่ได้ ตลอดชีวิตจากนี้คุณต้องหาทางบรรเทาโรคต่างๆ ที่เป็นผลจากการหายใจบกพร่องอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยง คุณจะยังรู้สึกว่า ‘เดี๋ยวก็หาย’ อีกรึเปล่า?”

 

ผมถูกสะกดอยู่ใต้ข้อเท็จจริงอันน่าระคายเคือง

 

“ฉันสัมผัสคุณ ฉันรู้ได้ว่าร่างกายคุณกลัวที่ชิ้นส่วนเริ่มผุสลายไม่อาจคืน แม้บางสิ่งยังอาจรักษา คุณมีค่ามากกว่าความทรงจำที่คุณไม่ต้องการ”

 

ไม่มีคำโต้ตอบ บางทีผมอาจแค่รอให้เธอชักจูงผมไป แค่ไม่อยากตัดสินใจ

 

“เชื่อฉันเถอะค่ะ รักษาต่อ คุณจะรับมือกับความทรงจำได้ คุณทำได้มาตลอดจนคุณลืมมันไป แต่คุณไม่มีวิธีรับมือร่างกายที่ผุพังได้ เราไม่ได้ถูกสร้างมาให้โดดเดี่ยวขนาดนั้น”

 

เธอเข้ามากอดผมที่นั่งอยู่โซฟารับแขกฝั่งตรงข้าม เป็นอ้อมกอดอบอุ่นเพื่อปลอบประโลมและโน้มน้าว ผมซุกลงในกลิ่นกายและฟูกอกอันคุ้นเคย

 

“บำบัดต่อเถอะค่ะ จนกว่าตัวคุณจะดียิ่งกว่านี้”

 

ในครั้งหลังๆ เมื่อเธอกอด ผมเหมือนคุ้นเคยมากเกินไป คุ้นเคยแม้แต่จินตนาการถึงร่างเปลือยเปล่าที่ไม่เคยเห็น หรือภายในร่างกายเธอที่ผมไม่เคยล่วงล้ำ มันไม่ใช่ในรูปแบบที่เราฝันหวานถึงเมื่อสำเร็จความใคร่ แต่ผมรู้สึกราวกับเราเป็นคู่นอนที่รู้จักกันมานาน มีจุดที่เบื่อหน่าย จุดที่อยากกระหาย ล่วงรู้ไปถึงกลิ่นเหงื่อและเสียงกระเส่าของเธอ

 

มันเป็นแค่จินตนาการ ความรู้สึกเหล่านั้นก็คงเป็นสิ่งที่ผมปรุงเอง แต่ผมกลับเชื่อมั่นว่าจินตนาการเหล่านั้นไม่เกินเลย มันมาจากความคุ้นเคยที่แท้จริง ผลข้างเคียงของการกอดคงทำให้เราผูกพันเกินไป มันกำลังปลูกความจริงใหม่ลงในตัวผม

 

มันเป็นสิ่งเสพติด เธอบอก มีผลกระทบ ผู้ป่วยไม่น้อยกลับมาหานักกอดบำบัดนานๆ ครั้ง เพราะร่างกายพวกเขาอยากนอนหลับวิเศษแบบนี้ ฝืนไม่ได้

 

……………

 

ผมต้องฟื้นฟูตัวเอง แต่ความทรงจำก็จะกลับมาเช่นกัน

 

วันนั้นผมกลับมาขอเงินที่บ้านใช้ทำงานภาคปฏิบัติวิชาบังคับปีสุดท้ายของมหาวิทยาลัย ผมเดินเข้าบ้าน ผ่านพ่อที่นั่งดูโทรทัศน์อยู่ในห้องนั่งเล่น กลัวว่าเขาจะทักทาย ผมแค่กลับมา หมดธุระกับแม่แล้วก็จะไป

 

แม่ห้อยอยู่กับพัดลมเพดานห้องนอน ผมมองดูอยู่ตรงประตู มองจนแน่ใจว่าคือแม่จริงๆ ผมจำได้ว่ามันไม่มีกลิ่นอะไรเลย นอกจากกลิ่นคนใช้ชีวิตอยู่ภายในห้องนี้ทุกๆ วัน ผมเดินไปที่หัวเตียงค้นเงินทุกบาทมา ปิดประตูห้องลง ผ่านห้องนั่งเล่นครั้งนี้พ่อบอกว่า ‘แม่นอนอยู่บนห้อง ไม่เจอรึไง’

 

ผมไม่เคยกลับมาบ้านอีกเลยแม้แต่งานศพแม่

 

แล้วแม่ก็ค่อยๆ เลือนไป รู้ตัวอีกทีผมกลายเป็นพนักงานระดับหัวหน้า ก่อนมีอาการมองไม่เห็น ก่อน ณ จุดหนึ่งของเวลาความทรงจำจะถูกกดไว้

 

ผมลืมไปกระทั่งว่าทำไมต้องลืม

 

ต้องบำบัดอีกนานเท่าไหร่? 2 เดือน 3 เดือน?

 

ผมเชื่อในการโอบกอดของเธอ แม้เมื่อความทรงจำอันปวดร้าวจะกลับมา ผมจะไม่เป็นไร

 

แต่เธอหายไป

 

จากเตียงตั้งแต่ก่อนผมตื่น พอไม่เห็นเธอ ผมก็รู้ว่าทุกๆ อย่างที่ผ่านมามันเป็นไปเพื่อให้วันนี้เกิดขึ้น

 

“คุณจำได้แล้วหรือคะ” เสียงปลายสายทักทายพอใจ

 

“เมื่อคืนคุณละเมอถึงชื่อใครคนหนึ่ง” เธอบอก “ฉันรู้ว่าฉันทำสำเร็จแล้ว”

 

“ใครคนหนึ่ง? ไม่ ชื่อเธอเอง อีกชื่อหนึ่ง” ผมตอบ

 

เธอจะไม่หยุดโอบกอดจนกว่าผมจะจำเธอได้

 

“บอกผมหน่อยสิว่าไม่ใช่เพราะผมลืมคุณไป คุณถึงกลายเป็นนักบำบัดเพื่อเฝ้ารอผม”

 

เธอหัวเราะเบาๆ อย่างสดใส

 

“เปล่าค่ะ ฉันทำเพราะเป็นงาน ฉันเลือกได้เหรอคะหลังจากที่คุณทำแบบนั้น มันเหลือไม่กี่อย่างที่ฉันจะทำได้เพื่อมีชีวิตที่ดี ถึงการกอดคนแปลกหน้าจะน่าขยะแขยงในตอนเริ่มงานแรกๆ แต่ฉันคุ้นชินดีแล้ว แม้แต่ความรู้สึกถูกล่วงละเมิด ถึงทุกครั้งที่เกิดเรื่องพวกเขาจะเข้ามาช่วยได้ทัน แต่สิ่งที่ถูกล่วงล้ำไปแล้วมันก็ทิ้งรอยไว้แบบนั้น… ในความทรงจำ”

 

“ฉันทดไว้ในใจว่าเป็นความผิดของคุณ” เธอเอ่ยเสียงยะเยือก

 

10 ปี หรือ 8 ปี ? ตั้งแต่จุดเริ่มต้นนั้น เธอเรียกร้องให้ผมรับผิดชอบทั้งหมดนี้

 

“เราเคยเดินสวนกันครั้งหนึ่งเมื่อ 2 ปีก่อน” เธอเล่า “ฉันมองคุณ จ้องเขม็ง แต่คุณกลับมองฉันด้วยดวงตาเปล่าดายเหมือนไม่เข้าใจ ฉันถึงรู้ว่าคุณลืมไปแล้ว ฉันทำทุกทางเพื่อจะลืมคุณ แต่เป็นไปไม่ได้ เพราะฉันรักษาสมดุลตัวเองเสมอเมื่อบำบัดให้คนอื่น ฉันซื้อข้อมูล เฝ้ามองว่าจะมีนักบำบัดคนไหนที่ได้รักษาคุณ คุณจะเชื่อในการบำบัดนี้ไหม เฝ้ารอ… นานและทรมาน”

 

เธอเล่าชัดถ้อยชัดคำและเย็นชา

 

“ผมคิดมาเสมอก่อนที่จะลืมคุณไปว่าผมมีลูกสาวอยู่ที่ไหนสักแห่ง” ผมเอ่ย

 

“ลูกสาว?” เธอทำเสียงเหมือนไม่เข้าใจ

 

“เราพบกัน 5 เดือน ฉันกำลังจะได้เลื่อนตำแหน่งในปีหน้า ทุกคนในบริษัทรู้จักเรา ชื่นชมเรา ในตอนนั้นฉันอายุ 25 ฉันไม่เข้าใจว่าทำไมคุณถึงคิดว่าฉันจะเลี้ยงดูลูกสาว” เธอเอ่ย “ทำไมเป็นลูกสาว ใครจะรู้ได้ ในโลกนี้ไม่มีใครรู้”

 

“เปล่า ผมไม่ได้เชื่อมั่นจริงจัง” ผมเอ่ย “ผมแค่คิดขึ้นมาเพื่อให้รู้สึกว่าอย่างน้อยผมอาจจะไถ่โทษได้”

 

“ไม่มีลูกสาวให้คุณไถ่โทษ” เธอตอบฉับพลัน “มีแค่ฉัน และสิ่งที่ฉันต้องการคือความทรงจำ น่ารังเกียจเหลือเกินที่กว่าฉันจะทำให้คุณจำได้ก็ใช้เวลานานขนาดนี้ ทุกข์ทรมานของฉันเป็นสิ่งไร้ค่า แต่ฉันไม่อาจลืม และต่อจากนี้ หากว่าคุณคิดจะทำให้ตัวเองลืม ในครั้งหน้าที่ต้องบำบัดมันก็คงจะกลับมาง่ายดาย เหมือนเหมือนเรื่องแม่ของคุณ”

 

เธอวางสาย นาฬิกาบอกเวลา 6:30 น. ในห้องเทาทึม ผมนึกถึงเธอ จำได้แล้วว่ารักเธอแบบไหน แล้วผมหายไปได้ยังไง ภายในร่างกายผมปั่นป่วน ผมเดินไปที่ตู้เย็น รินบรั่นดีให้ตัวเอง เสียงร้องไห้ของเธอยังดังก้องในหัว เสียงนั้นเก่าพร่าจากอดีต

 

ผมเป็นอิสระไม่ได้

 

ผมโทรบอกเจ้านายว่าจำรหัสได้แล้ว

 


 

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

ชินรัตน์ สายอุ่นใจ

Kappasaisai@gmail.com

นักเขียนผู้หลงใหลการลับมีด เจ้าของเรื่องสั้น "ชายชราเบาหวาน" ที่ได้รับรางวัลนายอินทร์อะวอร์ดประเภทเรื่องสั้น ปี 2555 ปัจจุบันใกล้จะมีนวนิยายของตัวเอง 1 เล่ม กับสำนักพิมพ์ Boligraf Book ยังคงเขียนงานอยู่อย่างต่อเนื่องที่บ้านของตน

Comments

comments

You may also like

Leave a comment

error: