เมื่อหนังสือเล่มหนึ่ง เขียนความคิด – ปันนารีย์
บุษบา บานเช้า เขียนถึง “แบบจำลองของเหตุผล” ของจรรยา อำนาจพันธุ์พงศ์
ความเรียง จะนิยามว่าอะไร เอาข้อความมาเรียงกัน อ่านแล้วมุ่งประเด็นให้ความรู้สึกด้านใดด้านหนึ่ง
ถ้าคุณเคยอ่านความเรียง
หนังสือเล่มนี้ ก็ไม่ใช่ความเรียงทั่วไป
เป็นเล่มที่เหมือนผู้เขียนตั้งคำถามกับผู้อ่านตลอดเวลา ไม่ว่าเขาจะเดินไปสู่สถานการณ์ใด
หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือปรัชญาประเภทมีหลักการมารองรับการเสาะแสวงหา
หนังสือเล่มนี้ไม่ใช่หนังสือรวบรวมคำคม
จรรยา อำนาจพันธุ์พงศ์ เขียนงานทั้งบทกวี เรื่องสั้น มายาวนาน
ไม่ต้องพูดถึงรางวัลที่เขาได้รับจากทั้งกวีนิพนธ์และเรื่องสั้น
รางวัลเหล่านี้ล้วนเป็นเครื่องยืนยันต่อการพยายามยืนหยัดต่องานเขียนแบบกระแสสำนึกอย่างมุ่งมั่น
ยี่สิบปีที่เขาสั่งสมการอ่านการเขียน สไตล์งานของจรรยา ไม่เหมือนใคร
ความสามารถอันโดดเด่นด้านภาษาของเขา สร้างภาพบรรยากาศอันแช่มช้าและอ้อยสร้อยเสมอ
ในบทกวี เขาคือบทสรุปของงานที่สะท้อนจิตสำนึกของกวีผู้รังสรรค์กวีนิพนธ์อันวิจิตร
และในเรื่องสั้น เขาได้สร้างภาพฝันอันคลุมเครือเพื่อมุ่งแสวงหาบทสรุปในตอนท้าย
ความเรียงเล่มนี้เหมือนเป็นการพยายามจะหาเหตุผลมารองรับการทำงานเขียนของเขาตลอดเวลาที่ผ่านมา
ฉันเชื่อว่าหนังสือเล่มนี้ผู้เขียนน่าจะใช้พลังมหาศาล
เพื่อการตกผลึกทางความคิด
ที่สำคัญ เขาพยายามส่งสารไปยังผู้อ่านให้เรียบง่ายที่สุด
เล่มนี้จรรยาเคยพูดไว้ในเฟชบุ๊คว่าเป็นงานเขียนที่ใช้เวลากลั่นกรองความคิดยาวนานถึงสามปี และแน่นอน มันต้องมาจากการจำลองเหตุและผลที่เขาใช้ประสบการณ์ในการทดลองสภาวการณ์ต่าง ๆ ทั้งหมดด้วยตนเอง
เหล่านี้คือสิ่งกล่อมเกลากลั่นกรอง แล้วนำมาสู่การแบ่งปัน
“เมื่อฉันโดดเดี่ยวมากขึ้น ฉันกลายเป็นที่รักของตัวเอง ขณะเดียวกันก็เกลียดชังตัวเองไปด้วย
สมดุลของสองสิ่งหลอมรวมเป็นหนึ่ง เดินออกไปเผชิญความจริงทุกสิ่งพร้อมกัน” (น.111)
งานบางชิ้นเหมือนบทกวี เป็นจริงที่กวีไม่อาจสลัดความเป็นกวีได้เลย
“หลายสิ่งผ่านเลยไป ริ้วรอยของเมฆ มิอาจเรียกว่าความทรงจำ
ที่เลือน ๆ อยู่กลางเส้นโค้งฟ้า และที่เรื่อเรืองอยู่ตรงขอบฟ้าก็ดุจเดียวกัน” (น.315)
ไม่ต้องพูดว่ามันซ่อนเชิงปรัชญานุ่มลึกเอาไว้
“การพยายามอยู่รอดอาจคือการดึงพลังทุกอย่างเพื่อจุดไฟแสงสว่างขึ้นมาในความคิด
เพื่อเดินหาความรู้สึกก่อนหน้านั้น ความรู้สึกที่มีมิอาจย้อนกลับไป
ไม่ว่าจะด้วยการมองเห็นแบบลืมตาหรือหลับตาก็ตาม” (น.187)
เล่มนี้ ถ้าอ่านต่อเนื่อง จะพบว่ามีวิธีการไล่เรียงเรื่องคล้ายกึ่งฝันกึ่งจริงอยู่บ้าง
หนักเบาสลับกันไปมา หลายชิ้นพบความเกี่ยวเนื่องในความรัก
“ฉันแค่อยากคิดว่า การมีความรักคือของแถมที่มาจากการหลอกลวง
คือมันจะจริงได้ยังไง เราก็ปลอมมันขึ้นมาทั้งนั้น
ปลอมแม้แต่ความรู้สึก” (น.192)
และบางชิ้นก็หนักเอาการ
“ความเข้าใจที่ฉันมีต่อโลก
ได้เก็บส่วนที่เป็นความลับเอาไว้
กระทั่งเมื่อความรู้โยนมันออกมาวางอยู่ตรงหน้า
ฉันถึงได้เห็นว่า มีฉันนอนกองอยู่ตรงนั้นในสภาพที่เต็มไปด้วยบาดแผล” (น.56)
บ้างที่มันอาจส่งเสียงร้องเตือน สะกิดต่อมความคิด
“ “ผ่านไปไม่นาน” “ผ่านไปแล้ว” สองสิ่งนี้คืออดีต
ปัญหาของเราคือการพยายามแยกมันออกจากกันในเวลาของปัจจุบัน
จึงเป็นเราเองมิใช่หรือ ที่เผลอทำอดีต แตกสลาย” (น.70)
ข้อความที่จะโอบกอดแล้วปลอบประโลมใจเราอย่างเข้าอกเข้าใจ
“หยดน้ำไม่ได้ร่วงลงช้า ๆ หรอก
แต่มันร่วงลงสู่ความเชื่องช้าในขณะที่เราฟังมันในความเงียบ”
(น.82)
ไม่ใช่เพียงข้อความที่ผู้อ่านจะเห็นด้วยทั้งหมด
บางครั้งก็แอบปฏิเสธสิ่งที่เขาเขียน
สิ่งที่เกิดขึ้น มันทำให้เกิดภาวะครุ่นคิดในตัวเรา ขึ้นมา
ข้อความเหล่านี้พยายามหาคำตอบของเหตุผลในเรื่องต่าง ๆ
มันไม่ได้อยู่ในประเด็นว่า ผู้เขียนจะตอบเราไว้แล้ว
หรือเป็นเราเองจะต้องตอบตัวเองให้ได้หลังจากการอ่าน
ความเรียงจำนวน 231 ชิ้น เข้าเล่มปกเย็บกี่อย่างดี
ออกแบบสวยงาม ตรวจทานข้อความถูกต้องครบถ้วน อ่านไม่สะดุด
สักกี่ฤดูชีวิตที่หมุนวนกลับไปมา
หนังสือสักเล่มที่จะอยู่ข้าง ๆ ความคิดของเราเสมอ
หากสักครั้ง ได้มีโอกาสถามเขา
ฉันจะถามเขาว่าเหตุผลแท้จริงของคนเราจะสามารถตีความว่าสิ่งนั้น ถูก / ผิด/ ชั่วหรือดี
ในจิตของคนเราต้องจำลองเหตุและผลใด มารองรับ
หรือบางที ก็ไม่ต้องถามเขา นอกจากหยิบหนังสือเล่มนี้มาอ่านซ้ำ ๆ ช้า ๆ