หากว่าฉันหายไปในคืนนี้
คุณจะเขียนบทกวีถึงฉันไหม
ไม่ต้องตอบฉันหรอกมันยอกใจ
ก็เป็นแค่บางใครไม่สำคัญ
หากว่าฉันหายไปในคืนนี้
คุณจะเขียนบทกวีถึงฉันไหม
ไม่ต้องตอบฉันหรอกมันยอกใจ
ก็เป็นแค่บางใครไม่สำคัญ
ขดตัวอยู่ใต้ผืนผ้าแห่งความอบอุ่น
เก็บความรู้สึกดีๆ จากค่ำคืนเปราะบาง
ที่ทิ้งไว้เพียงรูปรอยของความฝัน
ความจริงฉ้อฉลมนุษย์ด้วยกฎศีลธรรมจากพระเจ้าองค์แรก
ชีวิตไม่ต่างกับใบไม้…คว้างไหวราวกับต้องคำสาป
ยูงยกหางข่มอีกา
อวดว่าข้าเลิศราศี
เอ็งมันเตี้ยต่ำบารมี
นกผี ปีศาจ ซาตาน
กางใบเรือ…
ล่องไหลในนิทรารมย์
อา…มหาสมุทรสีดำ
ฉันมองไม่เห็นชายฝั่ง
เขาต่อสู้กับความเงียบด้วยการกู่ตะโกน
ลืมว่าลิ้นตนถูกตัดไปขังไว้ในป่าช้า
ป้ายหลุมศพเย็นเฉียบ แช่แข็งลิ้นเขาไว้ในโลง
วิญญาณไร้ปากถูกสาปให้เฝ้าสรรพเสียง
โง่เขลาเกินกว่าจะรู้คุณค่าของคำพูด
มันไม่คล้องจองแม่
ครูเขาบอกไม่มีคำไหนสัมผัส
แม่ฟังฉันอยู่ใช่ไหม
ฉันเป็นเพียงนกเพนกวินโง่ตัวหนึ่ง
ที่อยากบินได้ ออกจากขั้วโลก
เพื่อปลดปล่อยความเชื่อของบรรพบุรุษ
ที่ถูกข่มขืนจากแมวน้ำ
มันไม่สัมผัสอะไรใช่ไหมพ่อ
ดูพวกเขาเอาถ้อยคำของฉัน
ไปประจานหน้าเสาธง
เหมือนอาชญากรรม
ฉันมุดอยู่ใต้โต๊ะนักเรียนทั้งวัน
เหมือนได้ปลดปล่อยเซรุ่ม
ออกจากลำตัว
งูตัวหนึ่งที่พยายามฝึกลอกคราบตัวเอง
พวกเขาไล่ตีด้วยด้ามจอบ
ให้ฉันหลังหัก
มันไม่เหมือนคนอื่นใช่ไหมแม่
ทุกบรรทัดของฉัน
จึงหลับใหล
ออกจากกฎเกณฑ์
จึงถูกจองจำคำนวณความสมมาตร
รูปทรงปริซึมให้อยู่ในวงกลม
เพื่อรองรอบพื้นที่ภาชนะ
รองรับน้ำตาตัวเอง
ไม่เคยมีใครเรียกว่าบทกวีใช่ไหม
หรือการลักลอบจุมพิตกับหนังสือสวดมนต์
ขณะมองดูเด็กชายกำพร้าความอบอุ่น
เดินหลงทางบนวงแหวนดาวเสาร์
อย่างโดดเดี่ยว
เพื่อโอบกอดแม่เม่นสลัดขน
ก้อนหินก้อนหนึ่งเพ้อรำพัน
ถึงครั้งเก่าก่อนตอนวันหวาน
ทับกระดาษอยู่รู้งาน
เนิ่นนานราวกับจะนิรันดร์
เช่นใดจึงเรียกได้ว่าฝน
เพียงหนึ่งหยดยังมิอาจขานนาม
น้ำไม่จำเป็นต้องเท่ากับฝน
รอยยิ้มไม่เท่ากับความสุขเสมอไป
ฉันไม่ได้ฝังศพเขาในป่าช้า
สัปเหร่อยิ้มทักในเงามืด
ไม่มีใครตายมานานแล้ว
ว่ากันว่าผู้คนเป็นอมตะ